ผมมีสกิลดูด EXP ขั้นเทพ 579 ใครฝ่าค่ายกลได้ก่อน

Now you are reading ผมมีสกิลดูด EXP ขั้นเทพ Chapter 579 ใครฝ่าค่ายกลได้ก่อน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 579 ใครฝ่าค่ายกลได้ก่อน

เดิมพัน?

พอได้ยินเชิญร่ำสุราเสนอแบบนี้กะทันหัน ทุกสายตาก็จับจ้องไปที่เขาพร้อมกัน

บนใบหน้าเยี่ยเว่ยหมิงเผยรอยยิ้มมีเลศนัย “จะเดิมพันอย่างไร”

“ตอนนี้อุปสรรคใหญ่สุดที่ขัดขวางชัยชนะของพวกเราก็คือ ‘ค่ายกลฟ้าดาวเหนือ’ พวกเรามาเดิมพันความสามารถในการฝ่าค่ายกลกัน!” เชิญร่ำสุรากล่าวอย่างมีแผนในใจ “คำแนะนำของข้าก็คือ พรุ่งนี้พวกเราทั้งสามต่างคนต่างใช้วิธีการของตัวเอง ดูว่าใครจะฝ่า ‘ค่ายกลฟ้าดาวเหนือ’ ของสำนักฉวนเจิน กวาดล้างหินขวางทางก้อนใหญ่ที่สุดในเส้นทางแห่งชัยชนะของทีมเราได้!”

พอได้ยินข้อเสนอของเชิญร่ำสุรา เยี่ยเว่ยหมิงก็ยิ้มพร้อมซักไซ้ต่อ “เช่นนั้นของที่ใช้เดิมพันคืออะไร”

“รางวัลชนะเลิศ!”

สายตาท้าทายจับจ้องบนใบหน้าเยี่ยเว่ยหมิง เชิญร่ำสุรากล่าวอย่างสบายๆ “คำนวณจากระบบคะแนนสะสมของการประลอง หากรุ่งนี้พวกเราได้รับชัยชนะในการสู้แบบทีม เจ้า ข้า รวมทั้งสหายฉางก็จะได้คนละห้าคะแนนและอยู่อันดับแรกสุด รางวัลอันดับสองและอันดับสามก็จะอยู่ในบรรดาพวกเราสามคนเช่นกัน…

…การเดิมพันที่ข้าเสนอก็คือ ในบรรดาพวกเราสามคน ใครที่ฝ่า ‘ค่ายกลฟ้าดาวเหนือ’ ของอีกฝ่ายได้ อีกสองคนที่เหลือก็ต้องยอมแพ้ในศึกหลังโดยไม่มีเงื่อนไข ผู้ชนะอันดับหนึ่งและรางวัลก็ให้คนที่ฝ่าค่ายกลได้ไป!”

เยี่ยเว่ยหมิงได้ยินแล้วดวงตาอมยิ้มอย่างนึกสนุก ที่แท้เชิญร่ำสุราก็เอาแต่คิดถึงรางวัลของผู้ชนะเลิศอันดับหนึ่งนี่เอง!

เขารู้ดีว่าหากประลองกันตัวต่อตัวย่อมสู้เยี่ยเว่ยหมิงไม่ไหว จึงคิดจะใช้ประโยชน์จากการเดิมพันนี้เพื่อบีบให้เยี่ยเว่ยหมิงเป็นฝ่ายยอมแพ้ในศึกช่วงชิงรางวัลชนะเลิศ

เพราะการได้หรือไม่ได้ชัยชนะแบบทีม ล้วนเกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ของทุกคนที่อยู่ตรงนี้ ดังนั้นใครที่คัดค้านในเวลานี้ ก็จะกลายเป็นเป้าโจมตีของคนส่วนใหญ่

เป็นแผนการที่ดีจริงๆ!

แต่จะว่าไปแล้ว การวางแผนของเขาก็ไม่ถือว่ามากเกินไป

กระทั่งตอนนี้ คนที่มีคะแนนสะสมสูงสุดจากทั้งสองทีมก็คือหนิวจื้อชุน รวมคะแนนประลองสองสนามได้สี่คะแนน

รองลงมาก็คือเยี่ยเว่ยหมิง เชิญร่ำสุรา ฉางซิงอวี่ ท่านเซียนไม่นอนดึก กูรูบทกวี ห้าคนนี้เป็นผู้เล่นระดับสองที่มีคนละสามคะแนน

ถ้าพรุ่งนี้ฝ่า ‘ค่ายกลฟ้าดาวเหนือ’ ไม่ได้ แพ้ในศึกตัดสินครั้งสุดท้าย เช่นนั้นผู้ที่ได้รางวัลชนะเลิศอันดับหนึ่งก็จะเป็นหนิวจื้อชุนอย่างไม่ต้องสงสัย ส่วนรางวัลอันดับสองและรางวัลอันดับสามก็จะอยู่ระหว่างท่านเซียนไม่นอนดึกและกูรูบทกวี ไม่เกี่ยวอะไรกับคนในทีมตัวแทนเจ็ดประหลาดแห่งเจียงหนานแล้ว!

อีกทั้งเครื่องสังหารใหญ่ระดับ ‘ค่ายกลฟ้าดาวเหนือ’ ต่อให้เป็น ‘หนึ่งปราณแปรสาม’ ของเยี่ยเว่ยหมิงก็อย่าหวังเลยว่าจะฝ่าได้ตรงๆ เชิญร่ำสุราแม้จะมีวิธีการอะไรสำหรับฝ่าค่ายกล แต่คาดว่าต้องจ่ายราคาไม่น้อยแน่นอน

ในเมื่อผู้ที่ฝ่าค่ายกลต้องทุ่มเทเพื่อผลประโยชน์ของทีม เช่นนั้นคนอื่นที่นั่งรอรับผลประโยชน์เฉยๆ ก็ควรแสดงท่าทีเช่นกัน

เชิญร่ำสุราให้คำนิยามว่าตำแหน่งและรางวัลของ ‘ผู้ชนะอันดับหนึ่ง’ เยี่ยเว่ยหมิงรู้สึกว่าเป็นวิธีการที่สมเหตุสมผล

ยิ่งไปกว่านั้น สำหรับวิธีการว่าจะฝ่า ‘ค่ายกลฟ้าดาวเหนือ’ อย่างไร เขามีวิธีการพิจารณาของตัวเองอยู่แล้ว

เยี่ยเว่ยหมิงพยักหน้าอย่างใจกว้าง “ได้สิ ข้าเห็นด้วยกับการเดิมพันนี้”

พอพูดจบ เยี่ยเว่ยหมิงและเชิญร่ำสุราก็หันไปมองฉางซิงอวี่ที่ยังเงียบพร้อมกัน

จู่ๆ ก็รู้สึกว่าตัวเองกลายเป็นเป้าโจมตีของคนส่วนใหญ่ ฉางซิงอวี่กล่าวอย่างอึดอัดนิดหน่อยว่า “พวกเจ้ามองข้าทำไม หากพูดถึงทักษะยุทธ์ ข้าต้านหนึ่งปราณแปรสามของสหายเยี่ยไม่ได้แน่นอน แถมข้ายังฝ่าค่ายกลฟ้าดาวเหนือไม่ไหวด้วย”

เขายักไหล่พลางตอบ “ดังนั้น ข้าเห็นด้วยกับการเดิมพันของพวกเจ้า นอนรอชัยชนะจงเจริญหมื่นๆ ปี พอใจหรือยัง ตราบใดที่ไม่ให้ข้าไปแกล้งแพ้การประลอง เป็นฝ่ายทิ้งสิทธิ์การแข่งขันในทีม ก็ยังอยู่ในขอบเขตที่ข้ารับได้”

ฉางซิงอวี่ก็เป็นคนฉลาดเช่นกัน เข้าใจผลได้ผลเสียต่างๆ ชัดเจน แม้การเป็นฝ่ายยอมแพ้ในการชิงตำแหน่งผู้ชนะอันดับหนึ่งจะไม่ค่อยสอดคล้องกับปณิธานของเขา แต่ยามเผชิญหน้ากับปัญหาเรื่องชัยชนะของทีม ก็ใช่ว่าเขาจะไม่รู้จักปรับตัว

บางเรื่องยากจะเลอะเลือนได้

เมื่อเห็นว่าตกลงเดิมพันกันเรียบร้อยแล้ว ตอนนี้โหยวโหยวกลับยืนขึ้นบอกว่า “ข้ารู้สึกว่าการเดิมพันนี้ไม่ยุติธรรม!”

เมื่อโหยวโหยวกล่าวคำนี้ ก็ดึงดูดให้ทุกสายตาจับจ้องไปที่ตัวนางทันที จากนั้นนางก็พูดต่อ “พวกเจ้าสามคนเดิมพันกันสนุกสนาน มีสิทธิ์อะไรไม่นับรวมพวกเราสี่คนด้วย”

ทุกคนได้ยินแล้วงุนงงพร้อมกัน เชิญร่ำสุราอธิบายอย่างจนใจ “ที่ข้าตั้งเดิมพันแบบนี้ แน่นอนว่าไม่ใช่เพราะดูถูกใคร เพียงแต่ถ้าอิงตามกติกาการประลอง มีเพียงคนที่คะแนนสะสมใกล้เคียงกันเท่านั้นถึงจะเข้าชิงสามอันดับสุดท้ายได้ ดังนั้น…”

ยังไม่ทันรอให้เขาพูดจบ โหยวโหยวก็แย่งพูดต่อ “ถ้าข้าฝ่าค่ายกลได้คนแรก ก็จะมอบอันดับหนึ่งให้เยี่ยเว่ยหมิงได้เหมือนกัน แบบนี้พาข้าไปด้วยอีกคนได้ไหม”

หลังจากเชิญร่ำสุราครุ่นคิดครู่หนึ่ง ก็พยักหน้าอย่างไม่ลังเล “ไม่มีปัญหา!”

……

นอกเมืองจยาซิ่ง ป่าลมหยิน

ที่นี่มีเมฆครึ้มทั้งปี มีเสียงร้องประหลาดอันน่าสยดสยองดังมาเป็นระยะ แม้แต่เสียงลมภูเขาที่พัดผ่านต้นไม้ยังฟังดูเยือกเย็นน่ากลัวเป็นพิเศษ

สาเหตุที่ทำให้เกิดสถานที่อันเป็นเอกลักษณ์แห่งนี้ ก็คือภารกิจ ‘คนผียังไม่สิ้นวาสนา’ ตอนเทศกาลสารทจีน หลังจากภารกิจนั้นผ่านไป แม้สถานที่หลายแห่งจะไม่มีผีอีกแล้ว แต่บางจุดที่มีปราณหยินเข้มข้นกลับเป็นที่รวมตัวของผีร้ายจำนวนมาก ป่าลมหยินแห่งนี้ก็คือหนึ่งในเขตที่ผีร้ายยึดครอง

หากใช้คำของทางการมาอธิบายจะต้องฟังดูลึกลับซับซ้อนแน่นอน แต่ถ้าพูดอย่างตรงไปตรงมาสักหน่อยก็คือระบบเห็นว่าผู้เล่นเลเวลอัปกันหมดแล้ว จึงถือโอกาสใช้กิจกรรมของระบบอัปเดทจุดตีมอนสเตอร์ที่เลเวลสูงขึ้น

ในป่าลมหยินจะรีเฟรชมอนสเตอร์ผีร้ายที่มีเลเวลระหว่างห้าสิบถึงหกสิบ มอนสเตอร์ประเภทนี้มีลักษณะพิเศษที่ไม่กลัวการโจมตีกายภาพทั่วไป โดยปกติแล้วเป็นจุดอัปเลเวลตัวเลือกแรกๆ ของหลวงจีน นักพรตเต๋าและผู้เล่นที่กล้าหาญส่วนหนึ่ง

เมื่อสามวันก่อนหลังจากไต้อวี๋ผิงค้นพบจุดอัปเลเวลนี้ ก็รู้สึกชอบมันอย่างลึกซึ้ง

เพราะลักษณะเด่นของมอนสเตอร์ที่อยู่ที่นี่ได้กำหนดแล้วว่ามันไม่มีทางกลายเป็นจุดอัปเลเวลที่คนส่วนใหญ่นิยมได้ ประกอบกับบรรยากาศที่เย็นครึ้มน่ากลัว จึงทำให้ผู้เล่นที่ไม่มีความสามารถตกใจถอยออกไปจากจุดนี้แล้วไม่น้อย

ด้วยสาเหตุสองอย่างข้างต้น จึงทำให้ที่นี่มีผีเยอะคนน้อย ต่อให้บางครั้งมี BOSS ถูกรีเฟรชออกมา แต่ก็ไม่ต้องกังวลว่าจะมีคนมาแย่งกันเยอะ

ไต้อวี๋ผิงที่เป็นหนึ่งในผู้เข้าร่วมการประลองใหญ่หอหมอกพิรุณ หลายวันมานี้นอกจากจะไม่ใช้เวลาว่างไปกับการพักผ่อนแล้ว ยังอัปเลเวลอย่างเอาเป็นเอาตายยิ่งกว่าก่อนหน้านี้เสียอีก

เจตนาที่เขาทำแบบนี้ก็บริสุทธิ์มากเช่นกัน นั่นก็คือพยายามเพิ่มเลเวลวิชาหลักที่ตัวเองฝึก ก่อนที่ฝ่ายสำนักฉวนเจินจะอาศัย ‘ค่ายกลฟ้าดาวเหนือ’ คว้าชัยชนะ มีเพียงการฝึกทักษะนี้ให้เพิ่มอีกหนึ่งเลเวล รางวัลสุดท้ายของการประลองใหญ่ถึงจะมีมูลค่ามากขึ้นอีกเท่าเมื่ออยู่บนตัวเขา!

วันนี้หลังจากได้เห็น ‘หนึ่งปราณแปรสาม’ ของเยี่ยเว่ยหมิง ไต้อวี๋ผิงก็ยิ่งถูกกระตุ้นไม่ใช่น้อยๆ ก่อนออกจากเมืองได้เตรียมยาบำรุงไว้ครบครัน ก่อนที่จะการประลองใหญ่จะเริ่มขึ้น เขาเตรียมจะตีมอนสเตอร์อัปเลเวลในป่าลมหยินแห่งนี้จนฟ้าสว่าง!

หากถามว่าการทำเช่นนี้จะส่งผลกระทบต่อสภาพร่างกายของตนเองหรือไม่ จะทำให้การโจมตีในวันพรุ่งนี้ผิดปกติหรือไม่

ไต้อวี๋ผิงคิดว่านั่นไม่ใช่เรื่องใหญ่เลย!

อาศัยอานุภาพของ ‘ค่ายกลฟ้าดาวเหนือ’ ต่อให้สภาพร่างกายเขาไม่ดี แต่ก็ไม่ส่งผลกระทบภาพรวมมากขนาดนั้น เพราะความเป็นไปได้ที่จะส่งผลให้แพ้การประลองมีน้อยมากจนมองข้ามได้

ใช้ผลประโยชน์ที่ทุกคนมีร่วมกันไปช่วงชิงโอกาสเก้าสิบเก้าเปอร์เซ็นต์ที่จะเพิ่มรางวัลให้ตัวเองหนึ่งเท่า ไต้อวี๋ผิงรู้สึกว่าธุรกิจนี้ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็ไม่ขาดทุน

ทว่าตอนที่เขาเดินมาถึงทางเข้าป่าลมหยินด้วยความมั่นอกมั่นใจ ตรงหน้ากลับมีเงาของคนผู้หนึ่งแวบผ่านมากะทันหัน สวมชุดสีแดงทั้งตัว หน้าตาหล่อเหลาขาวหมดจด เงาร่างที่ทำให้เขาแยกไม่ออกว่าเป็นหญิงหรือชายมาขวางอยู่ตรงหน้าเขา

เมื่อเห็นหนุ่มน้อยที่แยกเพศลำบากมาขวางตรงหน้า ไต้อวี๋ผิงก็ถอยหลังก้าวหนึ่งโดยสัญชาตญาณ พร้อมทั้งเอ่ยเรียกชื่ออีกฝ่าย “เชิญร่ำสุรา!”

ขณะขวางทางไต้อวี๋ผิงที่เตรียมจะไปอัปเลเวลที่ป่าลมหยิน เชิญร่ำสุราก็ใช้นิ้วลูบจอนผมของตัวเอง พร้อมเอ่ยตอบเสียงเบา “สหายไต้ไม่ยอมตอบรับคำขอเป็นเพื่อนของข้าเลย พอข้าอยากจะเจอสักครั้ง ก็ทำได้เพียงใช้แผนการต่ำๆ นี้ หวังว่าสหายไต้จะไม่ถือสา”

เชิญร่ำสุราแม้ภายนอกจะดูไรพิษภัย แต่ไต้อวี๋ผิงมีหรือจะกล้าดูถูกคู่ต่อสู้ผู้น่ากลัวที่โจมตีเอาชนะท่านเซียนไม่นอนดึกได้

พอได้ยืนดังนั้นก็ถอยหลังอีกก้าวแล้วบอกว่า “ต่อให้สหายเชิญร่ำสุราสังหารข้าตายที่นี่หนึ่งครั้งก็ไม่มีประโยชน์ ข้าตายที่นอกเมืองหนึ่งครั้ง แม้ค่าสเตตัสจะลดลงบ้าง แต่หากสหายเชิญร่ำสุราคิดว่าการทำเช่นนี้จะลดประสิทธิภาพของค่ายกลฟ้าดาวเหนือได้ เช่นนั้นเจ้าก็คิดผิดแล้ว”

“ดังนั้น วันนี้ข้าไม่ได้มาทำให้สหายไต้ลำบาก” ระหว่างที่เชิญร่ำสุรากล่าว บนใบหน้าก็เผยรอยยิ้มอบอุ่น แล้วใช้น้ำเสียงกึ่งหญิงกึ่งชายอันเป็นเอกลักษณ์ของเขากล่าว “ที่ข้ามาที่นี่ในวันนี้ ก็เพื่อเจรจาธุรกิจกับสหายไต้สักหน่อย”

……

พอออกจากห้องประชุมเตรียมต่อสู้ เยี่ยเว่ยหมิงกับโหยวโหยวก็เดินเคียงกันอยู่บนถนนที่เมืองจยาซิ่ง ทั้งสองคุยกันเรื่องสัพเพเหระขณะเดินไปยังจุดพักม้าอย่างไม่รีบร้อน

เมื่อเห็นจุดพักม้าตรงประตูเมืองอยู่ตรงหน้าแล้ว ในที่สุดเยี่ยเว่ยหมิงก็อดหันมาถามสิ่งที่คาใจไม่ได้ว่า “จะว่าไป ท่าทางเจ้าดูมั่นใจมากนะว่าจะฝ่า ‘ค่ายกลฟ้าดาวเหนือ’ ของอีกฝ่ายได้ อย่าบอกนะว่ามีทีเด็ดอะไร”

“ถ้าจะเรียกให้ถูก มันคือปืนใหญ่แผนที่ที่มีพลังทำลายล้างสูงมาก” สีหน้าโหยวโหยวเริ่มเปลี่ยนเป็นจริงจัง “ของนั่นข้ามีแค่ชิ้นเดียว แต่ข้ารับประกันได้เลยว่าถ้าใช้มันแล้ว นอกจากเจ้ากับข้า คนในสนามไม่ว่าจะเป็นฝ่ายไหนก็ตายหมดเพราะเครื่องสังหารนี้แน่นอน…

…แต่ยังดีที่กติกาการประลองคล้ายกับการต่อสู้บนสังเวียน ตายแล้วจะไม่ถูกลงโทษ ใช่ไหม”

เยี่ยเว่ยหมิงได้ยินแล้วกลับไม่ถามเลยสักนิดว่าเครื่องสังหารของนางคืออะไร โบกมือบอกว่า “ในเมื่อเป็นของที่ล้ำค่าเช่นนี้ เจ้าเก็บไว้ใช้เองดีกว่า ส่วน ‘ค่ายกลฟ้าดาวเหนือ’ นั่นข้ามีวิธีฝ่าค่ายกลอยู่แล้ว จุดนี้เจ้าไม่ต้องเป็นห่วงเลย”

ระหว่างที่คุยกัน ทั้งสองก็เดินมาถึงจุดพักม้าแล้ว พอจ่ายเงินตำลึงก็ถูกส่งตัวกลับเมืองเปี้ยนจิง โหยวโหยวยังต้องไปเติมลูกระเบิดอีกนิดหน่อย ส่วนเยี่ยเว่ยหมิงก็กลับไปที่ห้องพักของตัวเองคนเดียว

แต่ใครจะคิด ตอนเพิ่งเดินออกจากประตูลานบ้านใหญ่ ก็เห็นเงาร่างอันคุ้นเคยแต่คาดคิดไม่ถึงมายืนอมยิ้มให้เขาอยู่นอกประตูใหญ่แล้ว

ไม่น่าเชื่อว่าสาวน้อยที่ดูเหมือนมายืนรอเขานานแล้วจะเป็น…

หวังอวี่เยียน?

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด