ผมมีสกิลดูด EXP ขั้นเทพ 421 โฉดชั่วบาปหนัก

Now you are reading ผมมีสกิลดูด EXP ขั้นเทพ Chapter 421 โฉดชั่วบาปหนัก at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 421 โฉดชั่วบาปหนัก

เมื่อมองตามเสียงก็เห็นหลวงจีนชุดขาวที่บุคลิกสง่างามรูปหนึ่งเดินเนิบนาบออกมาจากร่มไม้สนที่อยู่ข้างทางเล็กๆ อีกฝ่ายประนมมือทักทายทั้งสองแล้ว

ผู้ที่มาไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นคนที่ฉางซิงอวี่เชิญมาให้ช่วยทำภารกิจชำระจิตใจหลี่มั่วโฉวให้สำเร็จในช่วงกิจกรรมวันสารทจีน หลวงจีนจิตแพทย์หลิวอวิ๋นนั่นเอง

เยี่ยเว่ยหมิงรู้จากอินปู้คุยตั้งแต่แรกแล้วว่าเขาก็เคยถามข้อมูลของสี่คนโฉดและหุบเขาว่านเจี๋ยเช่นกัน จึงเดาออกว่าเขาอาจจะอยู่ในดันเจี้ยนนี้เหมือนกัน เพียงแต่นึกไม่ถึงว่าหลวงจีนที่ไม่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิตรูปนี้จะฝีมือสูงและกล้าหาญกว่าตนเสียอีก ไม่น่าเชื่อว่าจะบุกดันเจี้ยนหุบเขาว่านเจี๋ยคนเดียว

แต่ดูจากท่าทางจนๆ ของเขา ไม่รู้เหมือนกันว่าในภารกิจเยี่ยเอ้อร์เหนียงกับจั่วซานซานก่อนหน้านี้ คนที่ไม่ฆ่าสัตว์ชีวิตอย่างเขาได้ใช้วิธีการอะไรทำภารกิจให้สำเร็จ

สารพัดความคิดแวบผ่านเข้ามาในหัว เยี่ยเว่ยหมิงถามอย่างสบายๆ ว่า “ครั้งนี้สหายหลิวอวิ๋นมาตะลุยด่านหุบเขาว่านเจี๋ยคนเดียว เหตุใดกลับหยุดอยู่ที่นี่แทนที่จะเดินหน้าต่อ”

“ตะลุยหุบเขาคนเดียว?” หลิวอวิ๋นได้ยินแล้วรีบส่ายหน้า “ตัวข้าเองนอกจากพยายามใช้ปากแล้ว ที่จริงความสามารถด้านอื่นก็แย่มาก จะมีศักยภาพตะลุยหุบเขาคนเดียวได้อย่างไร สหายเยี่ยประเมินข้าสูงเกินไปแล้ว”

เยี่ยเว่ยหมิงได้ยินแล้วขมวดคิ้วมุ่น “เช่นนั้นสหายร่วมทีมของเจ้า…”

ในเมื่อหลิวอวิ๋นไม่ได้มาคนเดียว อีกทั้งสหายร่วมทีมของเขาก็ไม่ได้อยู่ข้างกาย อย่าบอกนะว่าทุกคนตายด้วยน้ำมือคนโฉดคนแรกไปหมดแล้ว

เนื่องจากหลิวอวิ๋นเป็นจิตแพทย์ จึงเชี่ยวชาญการสังเกตสีหน้าท่าทางกว่ามืออาชีพอย่างซานเย่ว์นิดหน่อย เมื่อเห็นสถานการณ์ดังนั้น มีหรือที่จะไม่รู้ว่าในใจเยี่ยเว่ยหมิงคิดอะไร

เขาส่ายหน้าเล็กน้อยแล้วอธิบายอย่างใจเย็น “ที่จริงแล้ว อาตมาได้รับคำเชิญจากสหาย ได้รับภารกิจจากองค์ชายฝั่งใต้แห่งต้าหลี่ต้วนเจิ้งฉุนให้มาสืบข่าวที่หุบเขาว่านเจี๋ย จึงมาที่นี่พร้อมสหายไม่กี่คน แต่หลังจากพวกเราบุกด่านที่สามแล้ว กลับติดอยู่ที่ด่านสี่ ก้าวไปไหนไม่ได้”

“อ้อ?” ตอนนี้เยี่ยเว่ยหมิงถึงได้เข้าประเด็นสำคัญ รีบถามว่า “ฝีมือของคนโฉดนั่นร้ายกาจมากหรือ เขาเลเวลไหนกันแน่”

หลิวอวิ๋นถอนหายใจเบาๆ เฮือกหนึ่ง “เดินไปข้างหน้าอีกสามสิบก้าว ก็จะเจอการก่อกรรมทำชั่วของหัวโจกสี่คนโฉดแล้ว เขาแตกต่างกับ BOSS เวอร์ชั่นถูกตอนโหมดภารกิจหลายคนก่อน อาตมาสงสัยว่าโฉดชั่วบาปหนักคนนี้จะเป็น BOSS ร่างแท้โหมดปกติ เพราะเท่าที่พวกเราเห็น ชื่อ เลเวลและค่าสเตตัสของเขาเป็นเครื่องหมายคำถามหมด มองตื้นลึกหนาบางไม่ออกเลย”

เยี่ยเว่ยหมิงได้ยินแล้วอดงงไม่ได้ “คู่ต่อสู้ที่ร้ายกาจขนาดนี้ เจ้าหนีออกมาได้อย่างไร”

“เพราะอีกฝ่ายไม่ได้คิดจะฆ่าพวกเราให้ตายเลย เขาเพียงทิ้งแบบทดสอบหนึ่งไว้เท่านั้น”

หลิวอวิ๋นแบมือยักไหล่ แล้วถือโอกาสอธิบายว่า “เขาวางกระดานหมากล้อมหินไว้แผ่นหนึ่งตรงที่ว่างข้างหน้า ผู้เล่นที่ต้องการบุกด่านต้องอาศัยพลังนิ้ววางตัวหมากสู้กับเขาบนกระดานหมากล้อม หากยืนหยัดได้ห้าสิบก้าวโดยไม่แพ้ เขาก็จะบอกตัวตนที่แท้จริงของเขาให้พวกเรารู้”

เยี่ยเว่ยหมิงได้ฟังแล้วขมวดคิ้ว “ฟังจากที่พวกเจ้าบรรยายมา โฉดชั่วบาปหนักนั่น พวกเราต้องสู้ไม่ไหวแน่นอน จึงได้แต่ทำตามกติกาของเขา หลังจากผ่านบททดสอบแล้ว ถึงจะได้ข้อมูลที่พวกเราต้องการอย่างนั้นหรือ…

…แต่ถ้าอยากผ่านบททดสอบของอีกฝ่าย ทักษะการเล่นหมากล้อมก็ต้องเหนือกว่าอีกฝ่ายสิ หรือพูดได้อีกอย่างว่า ตอนนี้พวกเรายังขาดยอดฝีมือหมากล้อมไปคนหนึ่ง?”

หากเป็นการต่อสู้หรือใช้กลอุบาย เยี่ยเว่ยหมิงก็ไม่กลัวที่จะท้าสู้อะไร ถ้าหากจะให้เล่นหมากล้อม…จะว่าไปแล้ว มาตรฐานการตัดสินแพ้ชนะของหมากล้อมคืออะไรนะ

เรียงหมากห้าตัวในแนวเดียวกัน?

“เรื่องนักหมากล้อม สหายเยี่ยไม่ต้องกังวล” หลิวอวิ๋นอธิบายพร้อมรอยยิ้ม “ต้วนอาทิตย์อัสดงไร้ซุ่มเสียง สหายที่เชิญข้ามาที่นี่รู้จักยอดฝีมือหมากล้อมอยู่คนหนึ่ง ที่จริงแล้วเมื่อก่อนข้าก็ไม่เคยคุยกับเจ้าหมอนั่นเช่นกัน หากเขายอมยื่นมือช่วย การจะทำภารกิจของโฉดชั่วบาปหนักให้สำเร็จ ด้านฝีมือการเล่นหมากล้อมก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร ปัญหาคือยอดฝีมือพลังนิ้วที่จะลงตัวหมากบนหินต่างหาก ไม่ทราบว่าสหายเยี่ย…”

เยี่ยเว่ยหมิงได้ยินแล้วอดงงไม่ได้ “แค่ประทับรอยบนหิน เป็นเรื่องยากมากเลยหรือ”

เยี่ยเว่ยหมิงแม้ตอนนี้ยังไม่รู้ว่าต้วนอาทิตย์อัสดงไร้ซุ่มเสียงที่หลิวอวิ๋นเอ่ยถึงคือลูกหลานสกุลต้วนที่ใช้ดรรชนีเอกสุริยันลอบโจมตีเขาที่วัดร้างอู๋เจียน ทั้งยังถูกเขาใช้ ‘ตราบชั่วฟ้าดิน’ โจมตีตาย แต่ฟังจากชื่อของอีกฝ่ายก็เดาสำนักของอีกฝ่ายออกแล้ว

ในเมื่อเป็นลูกหลานสกุลต้วน ทั้งยังเป็นยอดฝีมือที่คบค้ากับหลิวอวิ๋นได้ คาดว่าคงเคยเรียนดรรชนีเอกสุริยันมาเหมือนกัน

และผู้เล่นที่เคยเรียนดรรชนีเอกสุริยันมาก่อน ถ้าอยากจะประทับรอยนิ้วไว้บนหิน ก็เหมือนจะไม่ใช่เรื่องยากอะไร

เมื่อได้ยินคำถามที่สมเหตุสมผลของเยี่ยเว่ยหมิง หลิวอวิ๋นก็ไม่ได้อธิบายเช่นกัน เพียงชี้ไปยังป้ายศิลาที่เขียนว่า ‘คนแซ่ต้วนเข้ามา ดับสูญตลอดกาล’ ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากข้างกาย พร้อมกล่าวอย่างเนิบช้า “ตามที่โฉดชั่วบาปหนักนั่นบอก ป้ายศิลาแผ่นนี้คุณภาพเหมือนกับกระดานหมากล้อมที่เขาทำขึ้นมา สหายเยี่ยไปทดสอบระดับความแข็งของป้ายศิลานี้ก่อนก็ได้ น่าจะเข้าใจว่าเหตุใดพวกเราถึงกังวลเรื่องนี้”

ทั้งสามล้อมอยู่รอบป้ายศิลา เยี่ยเว่ยหมิงรู้ว่าในเมื่อเป็นการทดสอบพลังนิ้ว ก็แสดงว่าใช้อาวุธลับช่วยไม่ได้ จึงยกมือซ้ายขึ้นเบาๆ แล้วใช้พลังสามส่วนดีดลงบนจุดหนึ่งของป้ายศิลาเบาๆ หนึ่งที

แกร๊ง!

หนึ่งดรรชนีที่เขาสร้างผลปลิดชีพให้ NPC ทั่วไปได้ ไม่น่าเชื่อว่าจะไม่ทิ้งร่องรอยใดๆ ไว้บนป้ายศิลาเลย!

หินก้อนนี้เหมือนจะแข็งไปหน่อยนะ…

เยี่ยเว่ยหมิงโคจรพลังสิบส่วนอย่างไม่เชื่ออะไรง่ายๆ ดีดนิ้วลงบนป้ายศิลาอีกครั้ง

แกร๊ง!

ครั้งนี้ มุมหนึ่งของป้ายศิลาถูกดีดจนแตกเป็นเสี่ยง เศษหินกระเด็นปลิว

หลิวอวิ๋นที่อยู่ข้างๆ เห็นฉากนี้แล้วหนังตากระตุ้นด้วยความทึ่ง

ต้องทราบไว้ว่าสหายร่วมทีมที่เคยเรียนดรรชนีเอกสุริยันคนนั้นของเขา ต่อให้โจมตีสุดกำลังก็ยังทิ้งไว้เพียงรอยเล็กๆ บนป้ายศิลาเท่านั้น

แต่เจ้าหมอนี่ดีดป้ายศิลาแตกกระเด็นแล้ว!

ต้องแรงเยอะขนาดนี้เลยเหรอ

เยี่ยเว่ยหมิงยกมือนวดจมูกแล้วกล่าวอย่างจนใจ “ครั้งนี้เหมือนจะใช้พลังเยอะไปหน่อย ถ้าใช้พลังแบบนี้ลงหมาก เกรงว่าโฉดชั่วบาปหนักคงจะแตกคอกับเราตรงนั้น ที่จริงแตกคอก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ที่สำคัญคือสู้ไม่ไหว…”

ขณะที่พึมพำกับตัวเอง เยี่ยเว่ยหมิงก็ดีดนิ้วบนป้ายศิลาต่อไป หลังจากทดสอบหลายครั้ง ในที่สุดก็แน่ใจแล้วว่าถ้าใช้พลังเจ็ดส่วน ก็จะควบคุมขนาดและรูปร่างของรอยที่ทิ้งไว้ได้พอดี

เยี่ยเว่ยหมิงเก็บมือกลับมาอย่างพอใจ แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง “การโจมตีแบบนี้ ถ้าใช้ต่อเนื่องครั้งสองครั้งก็ยังพอไหว แต่ถ้าคิดจะใช้พลังแบบนี้เล่นหมากล้อมกับคนอื่น ต่อให้เป็นข้าก็ต้องใช้ยามาฟื้นฟูกำลังภายในตลอด แถมต่อให้ใช้ยาฟื้นฟู แต่ก็ไม่มีทางยืนหยัดได้นานเกินไป เดินประมาณเจ็ดสิบก้าวก็ถึงขีดจำกัดแล้ว แต่ถ้าให้ทนถึงห้าสิบก้าว ก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไร”

“อ้อ?” เมื่อเสียงของเยี่ยเว่ยหมิงเงียบลง จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงที่ปนอารมณ์ตื่นเต้นดังมาจากข้างหลัง “เดิมทีข้ายังกังวลว่าดรรชนีเอกสุริยันของตัวเองจะไม่มีทางยืนหยัดได้ถึงห้าสิบก้าว ถึงขั้นเตรียมจะใช้ยาน้ำค้างหยกเก้าดอกที่ช่วยฟื้นฟูกำลังภายในได้เร็ว นึกไม่ถึงว่าทางฝั่งสหายหลิวอวิ๋นจะเจอยอดฝีมือวิชาดรรชนีที่แข่งหมากล้อมกับต้วนเหยียนชิ่งได้ ข้าจะได้ประหยัดยาไปเม็ดหนึ่ง”

เมื่อได้ยินดังนั้น เยี่ยเว่ยหมิงก็หันกลับไปมอง เห็นผู้เล่นสี่คนเดินมาจากทางที่พวกเขาจากมา ตอนนี้กำลังเดินมาทางนี้แล้ว

ตอนที่เยี่ยเว่ยหมิงเห็นพวกเขา ในที่สุดพวกเขาก็ได้เห็นหน้าเยี่ยเว่ยหมิงชัดเจนแล้ว

จากนั้น คนสองกลุ่มกลับตะลึงงันพร้อมกัน

จู่ๆ อากาศก็ไม่ถ่ายเท

ตอนนี้บรรยากาศเปลี่ยนเป็นตึงเครียดแล้ว!

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด