ผมมีสกิลดูด EXP ขั้นเทพ 534 เขียวคู่แดง

Now you are reading ผมมีสกิลดูด EXP ขั้นเทพ Chapter 534 เขียวคู่แดง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 534 เขียวคู่แดง

หลังจากอ่านค่าสเตตัสของอาหวง น้องดาบก็เงียบไปนานมาก แล้วจู่ๆ ก็รู้สึกอยากร้องไห้

นี่ยังเป็นหมาอยู่หรือเปล่า

มารดามันเถอะ นี่มันหน่วยเอาต์พุตที่ศักยภาพไม่ด้อยกว่ายอดฝีมือทั่วไปชัดๆ!

ตัวเองพยายามไปตั้งเยอะขนาดนั้น ลำบากลำบนรวบรวมข้อมูลต่างๆ แต่ผลปรากฏว่าสุดท้ายก็ได้รับทักษะที่เหมือนสุนัขตัวหนึ่งของเยี่ยเว่ยหมิงเท่านั้น

อีกทั้ง ‘วิชาอรหันต์สยบมาร’ ของอาหวงก็เลเวลสูงกว่านางอีก!

สวรรค์ยังมีกฎอยู่ไหม

บ้านเมืองยังมีกฎเกณฑ์อยู่ไหม

เยี่ยเว่ยหมิงเห็นท่าทางนางเหมือนคนไม่ได้รับความยุติธรรม จึงทำใจไม่ได้นิดหน่อย เอ่ยปลอบใจว่า “คิดให้เป็นหน่อยสิ ที่จริงเลเวลของวิชากำลังภายในตัดสินอะไรไม่ได้หรอก นี่ข้าไม่ได้ยกยอเจ้านะ แต่ถ้าให้สู้กันตัวต่อตัว อาหวงสู้เจ้าไม่ไหวแน่นอน”

น้องดาบได้ยินแล้วกลอกตามองบน

ใครเขาปลอบใจกันแบบนี้บ้าง

“ข้าไม่สน เจ้าต้องรับผิดชอบมื้อเที่ยงวันนี้ ข้าจะกินปลาย่าง!”

เยี่ยเว่ยหมิงรีบยกมือยอมแพ้ “ไม่มีปัญหา”

……

วัตถุดิบอาหารชั้นเลิศ ใช้เพียงการปรุงอย่างง่ายเท่านั้น

โหยวโหยวมีพื้นเพมาจากกองทัพ ใช้เวลาเพียงสิบนาทีนางก็ใช้ฉมวกที่ทำขึ้นเองจับปลาหลีตัวใหญ่อ้วนสวยได้ห้าตัวแล้ว

ตอนที่นางนำปลากลับมาที่ค่าย น้องดาบผู้ขยันขันแข็งก็ก่อกองไฟที่ลุกโชนกองหนึ่งไว้เรียบร้อยแล้ว

มือปราบอาหมิงที่เป็นพ่อครัวใหญ่ก็ใช้กระบี่ล้ำค่าเหลาหินแบนก้อนหนึ่งให้กลายเป็นแผ่นหินที่หนาประมาณหนึ่งจั้ง หลังจากล้างในแม่น้ำแล้ว ก็เอาไปวางไว้บนเปลวเพลิงจนร้อนฉ่า

จากนั้นก็ล้างและกำจัดสิ่งสกปรกในท้องปลาหลีที่โหยวโหยวหามา ก่อนจะใช้มีดสั้นกัวจิ้งหั่นเป็นชิ้นๆ ใส่น้ำมันถั่วลิสง เกลือ พริกและเครื่องปรุงต่างๆ หมักไว้ห้านาที แล้วทั้งสามก็นั่งอยู่หน้าถาดย่างที่เรียบง่าย พอนำเนื้อปลาที่หมักไว้ปูบนแผ่นหินที่ถูกเผาจนร้อนชิ้นแล้วชิ้นเล่า ก็มีเสียงดังฉ่าๆ ทันที

ชั่วพริบตาเดียว กลิ่นหอมของเนื้อปลาก็โชยไปทั่วแล้ว

ตอนนี้อาหมิงนำ ‘สูตรสุราหยกราชสำนัก’ ที่ทำเองออกมาสามขวด แล้วมื้อปิ้งย่างที่บรรยากาศสุขสันต์ก็ถูกเตรียมไว้อย่างเรียบง่ายแบบนี้แล้ว

ก่อนงานเลี้ยงปิ้งย่างที่ชื่อว่าฉีฉีฮาเอ๋อร์[1]บาร์บีคิวจะเริ่มขึ้น เยี่ยเว่ยหมิงก็ไปเรียกอาจ่งที่อยู่ในถ้ำคนเดียวมาด้วยเช่นกัน หวังว่าจะเชิญเขามากินอาหารด้วยกัน

แต่ตอนนี้อาจ่งกลับจมอยู่ในความทุกข์ที่ต้องแยกกับแม่นางอาซิ่วในดวงใจโดยไม่ได้ลา บอกเขาว่าขออยู่เงียบๆ ก็พอ

ภายใต้ความจนใจ เยี่ยเว่ยหมิงทำได้เพียงทิ้งโอกาสที่จะสร้างค่าความรู้สึกดีต่อ เขากับโหยวโหยวและน้องดาบจึงดื่มด่ำช่วงเวลาของมื้อเที่ยงด้วยกันอย่างตั้งใจ

ความเงียบสงบของเกาะควันม่วง เหมือนเป็นดินแดนในอุดมคติของเกม ‘วีรบุรุษนิรันดร์กาล’ สามยอดฝีมือที่งานยุ่งมาเกินครึ่งปี หลังจากผ่านมื้อเที่ยงไปแล้วกลับไม่รีบออกจากเกาะแห่งนี้

หลังจากมื้อปลาย่างจบลงแล้ว น้องดาบก็ดึงโหยวโหยววิ่งไปชื่นชมทิวทัศน์ต่างๆ บนเกาะ ส่วนเยี่ยเว่ยหมิงที่อยู่ตรงนี้คนเดียวก็นำตำราลับตระหนักรู้ที่ได้จากการคลำศพสาม BOSS สกุลติงก่อนหน้านี้ออกมาแล้วเริ่มอ่านศึกษาทีละตัวอักษร

แม้จะบอกว่าเป็นการพักผ่อน แต่เยี่ยเว่ยหมิงก็ยังไม่ยอมพลาดโอกาสในการเพิ่มความสามารถให้ตัวเอง

ถึงแม้น้องดาบจะโมโหค่าสเตตัสของอาหวงแทบแย่ ปล่อยให้เยี่ยเว่ยหมิงเป็นฝ่ายได้เปรียบตอนปะทะฝีปากกัน แต่ ‘วิชาอรหันต์สยบมาร’ ของนางก็ทำให้เยี่ยเว่ยหมิงรู้สึกกดดันอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนสำเร็จแล้วเช่นกัน!

ความรู้สึกที่อาจจะถูกไล่ตามทันหรือวิ่งแซงหน้าได้ตลอดเวลา

สำหรับชาวยุทธ์คนหนึ่ง ความรู้สึกแบบนี้ดีหรือแย่ เยี่ยเว่ยหมิงก็ไม่รู้เช่นกัน

เขารู้สึกเพียงว่า ไม่อยากให้มีใครวิ่งแซงหน้า!

แต่บอกตามตรงว่าตำราลับตระหนักรู้ของสามคนสกุลติงทำให้เยี่ยเว่ยหมิงผิดหวังมาก

สาเหตุก็ไม่ใช่เพราะอะไร ก็แค่ไม่ตรงสายเท่านั้นเอง!

ทักษะยุทธ์ของสามคนนี้ล้วนถ่ายทอดมาจากสกุลติงลิ่วเหอเหมือนกัน ดังนั้นแม้คุณภาพของตำราที่พวกเขาดรอปจะต่างกันอยู่บ้าง แต่รูปแบบที่แต่ละคนมีกลับเป็น ‘ตระหนักรู้วิชาหมัดเท้า’ หนึ่งเล่ม ‘ตระหนักรู้วิชามือคว้าจับ’ หนึ่งเล่ม ‘ตระหนักรู้วิชาอาวุธฉีเหมิน’ หนึ่งเล่ม ตำราลับตระหนักรู้สามเล่มนี้ถ้าตกอยู่ในมือโหยวโหยว จะต้องทำให้ความสามารถของนางก้าวหน้าขึ้นมาแน่นอน

แต่สำหรับเยี่ยเว่ยหมิง ไม่มีสักวิชาที่เขาใช้ได้โดยตรง ทำได้เพียงเรียนรู้ผ่านเรื่องทำนองเดียวกันเท่านั้น

เรื่องเดียวที่ควรค่าแก่การยินดี ก็คงจะเป็นวิชาที่ติงปู้ซานเรียนค่อนข้างปะปนกัน นอกจากสามประเภทที่กล่าวไปข้างต้นแล้ว ยังดรอป ‘ตระหนักรู้เคล็ดกระบี่’ อีกเล่มด้วย

เยี่ยเว่ยหมิงส่ายหน้า แล้วเริ่มอ่านศึกษา

อาจเป็นเพราะแม้แต่ผู้ออกแบบเกมก็ยังขี้เกียจวิเคราะห์ทักษะยุทธ์ของพวกครึ่งๆ กลางๆ อย่างสกุลติงลิ่วเหอ ตำราลับที่ติงปู้ซานและติงปู๋ซื่อดรอปได้แต่ละเล่มให้ค่าประสบการณ์ 196000 (โบนัสโลงไม้หนานมู่40%) เหมือนกันหมด ส่วนตำราลับสามเล่มของติงตังให้ค่าประสบการณ์ 78000 (โบนัสโลงไม้หวงฮว่า 30%)

หลังจากเยี่ยเว่ยหมิงอ่านศึกษาตำราลับพวกนี้ทีละเล่ม ค่าประสบการณ์ที่ได้จากตำราลับตระหนักรู้ของปู้ซานปู๋ซื่อก็เปลี่ยนเล่มละ 294000 ส่วนค่าประสบการณ์ที่ได้จากตำราลับตระหนักรู้ติงตังก็เปลี่ยนเป็น 117000

ในจำนวนนั้น เขาเพิ่มค่าประสบการณ์ที่ได้จาก ‘ตระหนักรู้เคล็ดกระบี่’ ของติงปู้ซานไปยัง ‘กระบี่เก้าสะท้านฟ้า’ โดยตรง ส่วนที่เหลือทำได้เพียงเรียนรู้ผ่านเรื่องทำนองเดียวกัน

หลังจากเรียนรู้ผ่านเรื่องทำนองเดียวกันเก้าครั้ง สามเล่มในนั้นเพิ่มไปบน ‘กระบี่เก้าสะท้านฟ้า’ อีกสองเล่มเพิ่มไปบน ‘ทะยานบันไดเมฆา’ อีกสองเล่มเพิ่มไปบน ‘เคล็ดกระบี่ฉวนเจิน’ เล่มสุดท้ายก็ไปตกอยู่บน ‘เคล็ดกระบี่วีรสตรี’

ถ้ามองจากภาพรวม ผลจากการเรียนรู้ผ่านเรื่องทำนองเดียวกันครั้งนี้นับว่าธรรมดา

อย่างไรเสีย ‘ไท้ซัวเป็นไฉน’ ที่เยี่ยเว่ยหมิงเฝ้าคอยที่สุดก็ไม่ได้กำไรจากการเรียนรู้ผ่านเรื่องทำนองเดียวกันแม้แต่ครั้งเดียว

ดูผลจากการเรียนรู้ผ่านเรื่องทำนองเดียวกันของวิทยายุทธ์เหล่านี้ปราดหนึ่ง แล้วเยี่ยเว่ยหมิงก็ใช้ค่าตบะที่ได้มาล่าสุดเพิ่มเลเวลให้ ‘กระบี่เก้าสะท้านฟ้า’ จากเลเวลห้าเป็นเลเวลหกอย่างไม่ลังเล

[กระบี่เก้าสะท้านฟ้า (สุดยอดวิชา) (ไม่สมบูรณ์)]

ท่ากระบี่อันน่าตื่นตะลึงที่สร้างขึ้นจากการรวมสองแก่นแท้วิทยายุทธ์ของบรรพชนผู้แข็งแกร่งแห่งยุค!!

เลเวล: 6 (+1)

ค่าประสบการณ์: 0/2000000

โจมตี +360% (+60%)

แม่นยำ +360% (+60%)

เอฟเฟ็กต์พิเศษ: เจาะเกราะ ทำลายกระบวนท่า

เจาะเกราะ: โจมตีโดยมองข้ามการป้องกันของคู่ต่อสู้ (นอกจากอุปกรณ์ป้องกันพิเศษกับปราณแท้ป้องกันตัว)

ทำลายกระบวนท่า: มีโอกาสทำลายกระบวนท่าของฝ่ายตรงข้ามขณะที่กำลังใช้กระบวนท่าสู้กัน โจมตีสร้างบดขยี้ที่เกือบอันตรายถึงชีวิตได้โดยตรง!

หมายเหตุ: เนื่องจากเป็นกระบวนท่าของสุดยอดวิชาที่ไม่สมบูรณ์ จึงมีขีดจำกัดของเลเวล ถ้าจะเพิ่มให้ถึงเลเวลหก ผู้เล่นต้องมีเลเวลห้าสิบขึ้นไป

……

ค่าสเตตัสหลังจาก ‘กระบี่เก้าสะท้านฟ้า’ เพิ่มเลเวลนับว่าได้มาตรฐานปานกลาง ไม่ได้สร้างความประหลาดใจใดๆ เป็นพิเศษ แต่ก็ทำให้ความสามารถของเขาเพิ่มขึ้นอย่างมั่นคงเช่นกัน

เยี่ยเว่ยหมิงปลุกใจให้ฮึกเหิม สายตามองไปบนผิวแม่น้ำที่อยู่ไกลๆ แต่ในหัวกลับไม่ได้คิดอะไร เพียงดื่มด่ำกับเวลาพักผ่อนในเกมที่หาได้ยากอย่างเงียบๆ

ติงติงติง… ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไร ได้ยินเสียงติงติงตังตังดังแววมาข้างหลัง เสียงนี้เริ่มจากที่ไกลๆ จนเข้ามาใกล้ ค่อยๆ เข้ามาใกล้ด้วยความเร็วที่คงที่

เยี่ยเว่ยหมิงมองผิวแม่น้ำที่ไหลเป็นระลอกอย่างเหม่อลอยต่อไป กระทั่งเสียงนั้นอยู่ห่างจากข้างหลังของเขาประมาณหนึ่งจั้ง ถึงได้ค่อยๆ หันตัวไป กลับเห็นเงาร่างสีแดงกับสีเขียวมาปรากฏตัวตรงหน้าของเขาแล้ว

สีแดงย่อมเป็นน้องดาบไม่ผิดแน่ ส่วนสีเขียวกลับเป็นโหยวโหยวที่เปลี่ยนชุดใหม่ ดูแล้วงดงามอ่อนโยนแบบผู้หญิงธรรมดามากกว่าเมื่อก่อนเล็กน้อย

เมื่อเห็นเยี่ยเว่ยหมิงหันมา น้องดาบก็เอามือโอบบ่าโหยวโหยวแล้วกล่าวพร้อมรอยยิ้มว่า “ข้าบอกแล้วว่าถ้าโหยวโหยวเปลี่ยนชุดแล้วจะสวยกว่าเมื่อก่อนเยอะ เจ้าดูสิ ขนาดชายแท้อย่างเจ้ามือปราบหน้าเหม็นยังอดมองสองรอบไม่ได้เลย เป็นอย่างไร เจ้ามือปราบหน้าเหม็น ข้ากับโหยวโหยวแต่งตัวแบบนี้แล้วยืนด้วยกัน เจ้าว่าดูเข้ากันเป็นพิเศษไหม”

เยี่ยเว่ยหมิงพยักหน้าเหมือนจริงจังกับเรื่องนี้มาก “ใช่แล้ว สีสันสดใส ดึงดูดสายตาผู้คนมาก มีประโยคหนึ่งกล่าวไว้ดีมาก ข้ารู้สึกว่าเหมาะจะใช้บรรยายการแต่งตัวคู่กันของพวกเจ้าตอนนี้ ประโยคนั้นเรียกว่าอะไรนะ…”

เยี่ยเว่ยหมิงครุ่นคิดสองวินาที จากนั้นถามว่า “แดงกับเขียว เชยเหมือนตดสุนัข”

“เจ้ามือปราบหน้าเหม็น ไปตายซะ!”

ท่ามกลางเสียงตะโกนอันโกรธเกรี้ยว น้องดาบซัดเยี่ยเว่ยหมิงล้มคะมำ แม้แต่โหยวโหยวก็ฉวยโอกาสหยิกที่จุดอ่อนของเขาอย่างแรงเช่นกัน

เจ้าหมอนี่พูดจาน่าโมโหเกินไปแล้ว!

ทักษะโกงของเจ้าคือเก็บรวบรวมศพ ไม่ใช่รวบรวมอารมณ์ด้านลบ อย่าเอามาปนกันสิ!

หลังจากวุ่นวายกันอยู่พักหนึ่ง ทั้งสามก็ศีรษะชนกัน เอนกายอยู่บนหาดทรายริมแม่น้ำ ถ้ามองจากข้างบนลงมา จะเห็นเป็นภาพพิเศษภาพหนึ่งที่เกิดจากเงาร่างสีแดง น้ำเงินและเขียว

ก็เหมือนรูปสามเหลี่ยมด้านเท่า สอดคล้องกับความงามทางเรขาคณิตมาก

แล้วก็ผ่านไปอย่างนี้ ทั้งสามนอนมองเมฆขาวที่ขอบฟ้าเงียบๆ

ในบรรดาพวกเขา แต่ละคนล้วนเป็นผู้แข็งแกร่งที่แท้จริงในเกม ‘วีรบุรุษนิรันดร์กาล’

แต่ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดก็มีสิทธิ์เหนื่อยล้าเช่นกัน มีอิสระที่จะพักผ่อนหลังจากยุ่งวุ่นกับเรื่องบางเรื่องเสร็จแล้ว

พวกเขาในตอนนี้กำลังดื่มด่ำกับเวลาแห่งอิสระ

วิถีแห่งบุ๋นบู๊ ตึงได้ผ่อนได้!

ผ่านไปอีกนานมาก จู่ๆ น้องดาบก็เอ่ยว่า “เจ้ามือปราบหน้าเหม็น สนใจจะร่วมกันทำงานใหญ่สักครั้งไหม”

เยี่ยเว่ยหมิงได้ยินแล้วหลุดขำ “ทำไมเจ้าเสนอแต่งานใหญ่ๆ พวกนี้มา ครั้งนี้เป็นภารกิจเนื้อเรื่องขนาดใหญ่อะไรอีก”

“ไม่ผิดหรอก เป็นภารกิจขนาดใหญ่ แต่ถ้าอยากจะเข้าร่วมกลับยากมาก ไม่ใช่ว่าข้าแค่แชร์ภารกิจแล้วจะดึงคนมาร่วมทีมด้วยได้แน่นอน” ครั้งนี้น้ำเสียงของน้องดาบเคร่งขรึมเป็นพิเศษ “ถ้าอยากจะเข้าร่วมภารกิจครั้งนี้ ก็ต้องทำตามเงื่อนไขสามข้อก่อน”

เมื่อได้ยินแบบนี้ เยี่ยเว่ยหมิงกับโหยวโหยวก็เกิดความสนใจขึ้นมาพร้อมกันทันที อยากรู้ว่าเงื่อนไขสามข้อที่นางบอกคืออะไรกันแน่

ตอนนี้กลับได้ยินน้องดาบกล่าวอย่างสบายๆ ว่า

“ข้อแรก คนที่เข้าร่วมปฏิบัติการจะต้องเป็นยอดฝีมือที่แท้จริงในเกม แม้จะไม่เก่งเท่าเจ้ากับข้า แต่ก็ต้องไม่แย่กว่ามากเกินไป ไม่อย่างนั้น ก็จะเข้าไปแทรกแซงการต่อสู้ระดับนั้นไม่ไหว…

…ข้อสอง บนตัวของยอดฝีมือคนนี้จะต้องมีภารกิจที่เกี่ยวข้องกัน จะถูก NPC จากสองฝั่งบีบคั้นพร้อมกัน ต่อสู้ได้ยากมาก ถึงขั้นว่าเข้าไปยังแผนที่ปิดตายพิเศษก็ยังทำไม่ได้…

…ข้อสาม ถ้าเป็นไปได้ ทางที่ดีต้องดำเนินการอย่างลับๆ อย่างไรเสีย เป้าหมายที่ข้าต้องล่าครั้งนี้ก็เจ้าเล่ห์มาก ถ้าเขาจับได้ว่าผู้เล่นที่เข้าไปในแผนที่นั้นมีจำนวนเยอะเกินไปหรือฝีมือแข็งแกร่งเกินไป ก็อาจจะโดนเขาเพ่งเล็งก่อน ”

เยี่ยเว่ยหมิงได้ยินแล้วหลุดขำ “ได้ยินเจ้าพูดแบบนี้ เหมือนเจ้าจะแน่ใจแล้วสินะว่าข้าสอดคล้องกับเงื่อนไขทุกข้อ?”

“ถูกต้อง!”

น้องดาบตอบอย่างตรงไปตรงมา ขณะกำลังจะอธิบายอย่างละเอียด จู่ๆ กลับเห็นพิราบขาวสองตัวโผล่มาบนฟ้าด้านบนของทั้งสามคน จากนั้นก็แยกกันบินไปเกาะบนบ่าของเยี่ยเว่ยหมิงกับโหยวโหยว

หลังจากอ่านข้อความที่ส่งมา เยี่ยเว่ยหมิงก็กล่าวเสียงต่ำว่า “อีกสามวันหลังจากนี้จะมีการประลองยุทธ์ที่หอหมอกพิรุณ ข้าต้องไปเข้าร่วมภารกิจประลองยุทธ์ครั้งนี้ที่เมืองจยาซิ่ง แล้วภารกิจของเจ้าด่วนมากไหม”

เยี่ยเว่ยหมิงถามประโยคนี้กับน้องดาบ แต่ตอนนี้โหยวโหยวกลับกล่าวสิ่งที่เหนือความคาดหมายของทั้งสอง “ข้าก็เหมือนกัน”

[1] ฉีฉีฮาเอ๋อร์ 齐齐哈尔 ชื่อเมืองหนึ่งของจีน คนนิยมกินปิ้งย่าง

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด