ผมมีสกิลดูด EXP ขั้นเทพ 412 จักรพรรดิแคว้นต้าหลี่ต้วนเจิ้งหมิง

Now you are reading ผมมีสกิลดูด EXP ขั้นเทพ Chapter 412 จักรพรรดิแคว้นต้าหลี่ต้วนเจิ้งหมิง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 412 จักรพรรดิแคว้นต้าหลี่ต้วนเจิ้งหมิง

ทางฝั่งซ่งปิงอี่ เยี่ยเว่ยหมิงกับซานเย่ว์ไม่เพียงแค่ได้รับภารกิจที่เกี่ยวข้องกับวิทยายุทธ์ระดับสูงกับสุดยอดวิชาฉบับไม่สมบูรณ์ ขณะเดียวกันยังได้รับข่าวที่มีประโยชน์ด้วย

นั่นคือสิทธิพิเศษส่วนหนึ่งที่ผู้เล่นได้รับหลังจากค่าวีรบุรุษถึงระดับปราชญ์จอมยุทธ์

ยกตัวอย่างเช่นบางสำนักในยุทธภพ หรือไม่ก็เขตลับยุทธภพ บางแห่งปฏิเสธให้คนที่อยู่นอกยุทธภพเข้า ต่อให้เป็นคนในยุทธภพ แต่หากจะเข้าไปสถานที่เหล่านั้นก็มักต้องมีหลักฐานอย่างเช่นจดหมายแนะนำ

แต่ถ้าคุณเป็นปราชญ์จอมยุทธ์ แค่รายงานชื่อก็เข้าไปได้โดยตรง สะดวกกว่ามาก

พูดไปคุณก็อาจจะไม่เชื่อ พระราชวังของต้าหลี่เป็นสถานที่ที่เหมือน ‘ยุทธภพ’ มาก

เยี่ยเว่ยหมิงถึงขั้นสงสัยด้วยว่าซ่งปิงอี่ถูกใจข้อได้เปรียบนี้ของ ‘ปราชญ์จอมยุทธ์’ จึงได้แจกภารกิจของตัวเองให้แค่ปราชญ์จอมยุทธ์ เนื่องจากบทสนทนาก่อนหน้านี้และการแอบสังเกตของซานเย่ว์ เยี่ยเว่ยหมิงถึงได้พบเรื่องที่น่าสนใจมากเรื่องหนึ่ง

ซ่งปิงอี่คนนี้ก็เหมือนกับเหวยเสี่ยวเป่า ไม่รู้หนังสือ!

ดังนั้น เขาก็คงจะเขียนจดหมายแนะนำไม่เป็น?

เช่นนั้นตำราลับ ‘มังกรผยองได้สำนึก’ ของเขามาจากไหน

เมียเขียนแทน?

หลังจากเยี่ยเว่ยหมิงกับซานเย่ว์มาถึงนอกประตูใหญ่ของพระราชวังต้าหลี่และรายงานชื่อของตัวเองแล้ว ทหารยามสองคนที่เฝ้าประตูพระราชวังก็ทำความเคารพทั้งสองอย่างนอบน้อมทันที “ที่แท้ก็เป็นปราชญ์จอมยุทธ์ทั้งสองท่าน ผู้น้อยจะไปรายงานฝ่าบาทเดี๋ยวนี้ขอรับ ทั้งสองกรุณารอสักครู่”

“เช่นนั้นก็รบกวนพี่ใหญ่แล้ว”

ขณะมองทานยามคนนั้นหายไปในประตูใหญ่ของพระราชวัง จู่ๆ เยี่ยเว่ยหมิงก็บอกในช่องทีมอย่างจริงจังว่า [ระวังหน่อย ภารกิจที่ซ่งปิงอี่นั่นให้พวกเรา ข้ารู้สึกว่ามันแปลกๆ หลังจากเข้าไปแล้ว เจ้าคอยใช้ทักษะ ‘สังเกตสีหน้าท่าทาง’ ด้วย]

[อืม ที่จริงเจ้าไม่ต้องบอกข้าหรอก ถ้าพบว่ามีคนโกหก เตือนข้าในช่องทีมทันที]

ซานเย่ว์ได้ยินแล้วอึ้ง [อาหมิง เจ้าหมายความว่าซ่งปิงอี่นั่นมีปัญหาหรือ]

เยี่ยเว่ยหมิงพยักหน้าอย่างใจเย็น “ประการแรก เขาเป็นอดีตผู้อาวุโสของพรรคกระยาจก จะนำตำราลับ ‘มังกรผยองได้สำนึก’ ไปฝากกับใครก็ไม่ฝาก ดันนำไปฝากไว้ในพระราชวังของต้าหลี่ แถมในพระราชวังต้าหลี่ยังมีกลุ่มจอมยุทธ์อยู่ด้วย ได้ยินมาว่าแม้แต่ฮ่องเต้ก็เป็นจอมยุทธ์เหมือนกัน แบบนี้ต่างอะไรกับเก็บตำราลับไว้ที่เส้าหลินกับอู่ตัง…

…ไหนจะซ่งปิงอี่ที่ส่งภารกิจให้พวกเราสองคนอีก ดูเหมือนเป็นเรื่องเดียวกันแท้ๆ ทำไมต้องใช้สองวิธีการพูดที่แตกต่างกัน บรรยายผ่านมุมมองของ NPC คนละคนกัน” ขณะที่พูด เยี่ยเว่ยหมิงก็ส่ายหน้าอย่างกลุ้มใจนิดหน่อย “ส่วนรายละเอียดข้าก็บอกไม่ถูก แค่รู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ชอบมาพากล”

ซานเย่ว์ได้ยินแล้วอดสงสัยไม่ได้ “ในเมื่อรู้ว่ามีปัญหา ทำไมเจ้าไม่ถามอินปู้คุย”

เยี่ยเว่ยหมิงส่ายหน้า “ตอนนี้พวกเรายังไม่เจอแม้แต่ NPC ที่จะบอกรายละเอียดภารกิจด้วยซ้ำ ถ้าให้ถามเลยก็เร็วไปหน่อย ถ้าไม่มีข้อมูลภารกิจที่ละเอียด ต่อให้เป็นอินปู้คุยก็บอกกลยุทธ์ได้แค่คร่าวๆ แถมเจ้าหมอนั่นก็ต้องใช้เวลาประมาณหนึ่งวันในการเตรียมกลยุทธ์แบบสมบูรณ์…”

ตามที่เยี่ยเว่ยหมิงคิดไว้ หากพระราชวังต้าหลี่แห่งนี้มีส่วนเกี่ยวข้องกับภารกิจเนื้อเรื่องโดยละเอียดจริงๆ เช่นนั้นกลยุทธ์ที่ครอบคลุมก็เป็นสิ่งจำเป็น แต่ก็ไม่ได้รีบใช้ตอนนี้

ยังต้องรอให้พวกเขาเจอ NPC ที่แจกภารกิจและทำความเข้าใจสถานการณ์ ค่อยขอกลยุทธ์โดยพุ่งเป้าไปที่ขอบเขตเล็กๆ ของภารกิจนี้ก่อน แบบนี้ถึงจะรับประกันได้ว่าภารกิจจะไม่ถูกถ่วงให้ล่าช้า

ส่วนกลยุทธ์แบบครอบคลุม ถึงอย่างไรก็ไม่รีบใช้ตอนนี้ เดี๋ยวค่อยให้เขาค่อยๆ ช่วยเขียนให้ในภายหลังก็ได้

ขณะที่ผู้เล่นทั้งสองกำลังคุยกัน ทหารยามที่วิ่งเข้าไปในพระราชวังก่อนหน้านี้ก็วิ่งออกมาแล้วบอกพวกเขาด้วยสีหน้าตื่นเต้น “ฝ่าบาทตรัสว่าให้ขุนนางปราชญ์จอมยุทธ์ซานเย่ว์กับขุนนางปราชญ์จอมยุทธ์จอมยุทธ์น้อยมือกระบี่เยี่ยเว่ยหมิงเข้าเฝ้าได้ เชิญทั้งสองตามข้ามา”

มารดามันเถอะ ขุนนางปราชญ์จอมยุทธ์จอมยุทธ์น้อยมือกระบี่เยี่ยเว่ยหมิง อะไรของเจ้า!

คำเรียกที่ทหารยามพระราชวังเรียกทำให้เยี่ยเว่ยหมิงรู้สึกหมดแรงตำหนิ แม้แต่น้องซานเย่ว์ที่น่ารักว่านอนสอนง่ายมาตลอดก็ยังต้องกลั้นขำ ดูท่าแล้วคงลำบากมาก

หลังจากทั้งสองเดินตามหลังทหารยามเข้าไปในพระราชวัง ซานเย่ว์ที่กำลังกลั้นหัวเราะก็ส่งข้อความในช่องทีมด้วยความอยากรู้อยากเห็น [อาหมิง ข้าจำได้ว่าเจ้าไม่ใช่คนที่เสียเปรียบใครเรื่องคำพูดนี่นา ไม่ว่าจะเจอ BOSS เก่งขนาดไหนก็เถียงได้ ทำไมไม่เถียงทหารยามของพระราชวังคนนั้นล่ะ]

“เถียงบ้าอะไรล่ะ…” เยี่ยเว่ยหมิงกล่าวอย่างกลุ้มใจ “เจ้าหมอนั่นน่ะ แค่มองปราดเดียวก็รู้แล้วว่าเป็น NPC เลเวลต่ำที่ไม่ต้องไปถือสาหาความด้วย จัดเป็นประเภทพูดตามโหมดคงที่ด้วยซ้ำ ยกตัวอย่างเช่นตอนพูด พวกเขาก็จะเติมชื่อเรียกที่ระบบยอมรับข้างหน้าชื่อของผู้เล่นเพื่อแสดงความเคารพ แต่กลับแยกแยะหลักการในสังคมโดยละเอียดไม่ได้เลย ยิ่งไม่รู้ด้วยว่าฉายานั้นดีหรือแย่…

…ไม่คุ้มที่จะไปเอาชนะหุ่นยนต์ประเภทนี้”

ความจริงก็เป็นอย่างนี้ เยี่ยเว่ยหมิงถึงขั้นจินตนาการได้ว่าหลังจากต้วนเจิ้งหมิงได้ฟังรายงานของพวกเขาแล้ว ก็น่าจะตอบง่ายๆ ประมาณว่า ‘เชิญ’ หรือไม่ก็ ‘เชิญปราชญ์จอมยุทธ์ทั้งสอง’ ไม่ได้แนะนำให้พวกเขามาพูดจาน่าสะอิดสะเอียนใส่เยี่ยเว่ยหมิงแน่นอน

แต่ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ เยี่ยเว่ยหมิงก็ยังกลุ้มใจมาก

แม้จะบอกว่าเรื่องนี้ไม่มีใครผิด แต่ก็ทำให้รู้สึกสะอิดสะเอียนแล้วจริงๆ!

สำหรับเรื่องนี้ เยี่ยเว่ยหมิงทำได้เพียงจดบัญชีนี้ไว้ก่อน ตัดสินใจว่าในภายหลังค่อยหาโอกาสที่เกิดผลกระทบน้อยๆ เอาคืนให้อีกฝ่ายสะอิดสะเอียนบ้าง

……

ต้วนเจิ้งหมิงเป็นชายวัยกลางคนที่ภายนอกดูเหมือนอายุประมาณสี่สิบห้าสิบปี ทำให้คนรู้สึกว่าสุขุมและมีความเป็นผู้ใหญ่ มีความน่าเกรงขามในตัวเอง

หลังจากทั้งสองบอกจุดประสงค์ในการมาแล้ว ต้วนเจิ้งหมิงกลับเผยสีหน้าเหมือนรำลึกถึงอดีตโดยไม่รู้ตัว พึมพำกับตัวเองว่า “ซ่งปิงอี่ เจ้าหมอนั่นกลับใช้ชีวิตอย่างอิสระเสรี แม้พวกเราจะอยู่ในเมืองเดียวกัน แต่นับๆ ดูก็ไม่ได้เจอกันมาสิบกว่าปีแล้ว ข้ายังจำได้ว่าประโยคสุดท้ายที่เขาบอกข้าในปีนั้นคืออะไร”

เมื่อต้วนเจิ้งหมิงเริ่มพูดขึ้นมา ก็มีท่าทางไม่เหมือนบุคคลที่อยู่ในตำแหน่งเหนือผู้คนเลยสักนิด ถึงขั้นเรียกแทนตัวเองว่า ‘ข้า’ ไม่ใช่ ‘เจิ้น[1]’ จะเห็นได้ว่าเขายอมรับฐานะในยุทธภพของตัวเองมากกว่าฐานะจักรพรรดิ

แน่นอน สาเหตุอาจเป็นเพราะสองคนที่อยู่ตรงหน้าเขาคือ ‘ชาวยุทธ์’ ถึงอย่างไรฐานะของเยี่ยเว่ยหมิงกับซานเย่ว์ก็ค่อนข้างพิเศษในยุทธภพ ถ้าเขาใช้ฐานะจักรพรรดิแคว้นต้าหลี่สนทนากับมือปราบสองคนจากภาคกลาง ไม่ว่าจะพูดคุยประเด็นใดก็กลายเป็นเรื่องใหญ่โตได้

“ตอนนั้นซ่งปิงอี่บอกข้าว่า ผู้ที่ตัดสินว่าพรรคกระยาจกใหญ่ขนาดไหนไม่ใช่ประมุขพรรคกระยาจก แต่เป็นจักรพรรดิของแต่ละแคว้นต่างหาก หากแต่ละแคว้นไม่ทำสงครามเลย แต่ปกครองประเทศให้ประชาชนอยู่อย่างสงบสุข ใครจะอยากไปเป็นขอทานล่ะ…

…สิบกว่าปีมานี้ คำชี้แนะอันล้ำค่าของผู้อาวุโสซ่งยังก้องอยู่ในหูข้า ทุกครั้งที่นึกถึงจะรู้สึกแบกรับภาระหนักอึ้ง ไม่กล้าเกียจคร้านแม้แต่น้อย”

เมื่อได้ฟังคำพูดของต้วนเจิ้งหมิง เยี่ยเว่ยหมิงกับซานเย่ว์ก็มองหน้ากันเลิกลั่ก

พวกเขาจินตนาการไม่ออกเลยว่าซ่งปิงอี่ที่ดูไม่ค่อยเอาถ่านจะพูดจาที่แฝงความหมายล้ำลึกเช่นนี้ออกมาได้

แต่เยี่ยเว่ยหมิงกับซานเย่ว์ไม่ได้สนใจหลักการของกษัตริย์อยู่แล้ว สิ่งที่ทำให้เขาสนใจจริงๆ ก็คือ “ผู้อาวุโสซ่งกล่าวว่าเหมือนฝ่าบาทจะประสบปัญหาบางอย่างที่ไม่สะดวกจะใช้กำลังของทางการแก้ปัญหา จึงให้พวกเรามาช่วย ทั้งยังบอกด้วยว่ารางวัลภารกิจคือตำราลับ ‘มังกรผยองได้สำนึก’ ที่เก็บไว้กับฝ่าบาท ไม่ทราบว่า…”

เมื่อเห็นเยี่ยเว่ยหมิงพูดจาตรงประเด็นแบบนี้ ต้วนเจิ้งหมิงก็รู้สึกว่าคำพูดของตัวเองก่อนหน้านี้เหมือนดีดฉินให้ควายฟัง

เป็นอย่างที่คาดไว้ ชาวยุทธ์ก็คือชาวยุทธ์ ต่อให้มีพื้นเพมาจากขุนนาง แต่ก็เป็นเรื่องยากที่จะสนใจเรื่องราวสำคัญในใต้หล้า แต่เจ้าเด็กนี่ก็ตรงไปตรงมาเหมือนกัน

ต้วนเจิ้งหมิงส่ายหน้าถอนหายใจแล้วบอกว่า “เกิดปัญหากับคนในครอบครัว!…เรื่องเป็นอย่างนี้ บลาๆๆ…”

[1] เจิ้น 朕 คำเรียกแทนตัวเองของกษัตริย์

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด