Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล 1461 หนี้รัก

Now you are reading Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล Chapter 1461 หนี้รัก at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

วันรุ่งขึ้น หลังจากที่จักรพรรดิลู่มาถึงเมืองต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ ปรากฏเมืองต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ได้มีการถ่ายทอดประกาศิตศักดิ์สิทธิ์ออกมา บรรดายอดฝีมือผู้บำเพ็ญตนจำนวนมากที่อยู่ในเมืองต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ล้วนแล้วแต่ได้รับประกาศิตศักดิ์สิทธิ์เช่นนี้

“จะมีการจัดการประชุมหมื่นเผ่าพันธุ์ขึ้นที่เมืองต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์!” ข่าวที่สะเทือนฟ้ายิ่งดั่งพายุที่โหมกระหน่ำไปทั่วเมืองต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์

“ประชุมหมื่นเผ่าพันธุ์?” พลันที่ผู้ยิ่งใหญ่จำนวนมากเมื่อได้รับประกาศิตศักดิ์สิทธิ์เช่นนี้แล้ว ต่างรู้สึกสะเทือนหวั่นไหวยิ่งนัก การประชุมในลักษณะเช่นนี้ไม่ได้จัดมานานมากแล้วสิ ลือกันว่า สมัยที่ราชันเซียนหยินเทียนยังไม่ได้เป็นราชันเซียนเคยเรียกประชุมเช่นนี้มาครั้งหนึ่ง ต่อมาภายหลังก็ไม่มีการเรียกประชุมในลักษณะเช่นนี้อีกเลย”

“ประชุมหมื่นเผ่าพันธุ์!”แม้แต่บุคคลระดับปฐมบรรพบุรุษยังรู้สึกตระหนกตกใจยิ่งกับข่าวนี้ กล่าวว่า “ใช่ว่าใครที่ไหนก็สามารถจัดให้มีการประชุมหมื่นเผ่าพันธุ์ขึ้นมาได้ เวลานี้มีการเรียกประชุมหมื่นเผ่าพันธุ์ขึ้นมาอย่างกะทันหัน มันเป็นเพราะอะไรกันแน่? ใครกันที่มีคุณสมบัติเป็นผู้จัดการประชุมลักษณะเช่นนี้ได้?”

“บุตรเทพเจ้าแห่งทะเล บรรพบุรุษคนที่สองของเผ่าพฤกษา ฐานะเช่นนี้มีคุณสมบัติพอที่จะเป็นผู้จัดให้มีการประชุมหมื่นเผ่าพันธุ์ได้แล้วกระมัง” ผู้ที่ทำหน้าที่มาถ่ายทอดประกาศิตศักดิ์สิทธิ์ได้เอ่ยถึงความลึกลับที่ซ่อนอยู่ภายใน

ระดับผู้ยิ่งใหญ่เมื่อเข้าใจถึงความลึกลับที่อยู่ภายในแล้วรู้สึกตกใจยิ่งนัก พึมพำออกมาว่า “พายุฝนฟ้าคะนองกำลังจะมาแล้วรึ?”

“ถูกต้อง พายุฝนฟ้าคะนองกำลังมา ทุกสิ่งที่เป็นศัตรูกับเผ่าวิญญาณเทพ เผ่าปีศาจทะเล เผ่าพฤกษาพวกเราต้องถูกกำจัด ตำแหน่งราชันเซียนในชาตินี้จะต้องอยู่ในแดนวิญญาณสวรรค์” ผู้ที่มาทำหน้าที่ถ่ายทอดประกาศิตศักดิ์สิทธิ์กล่าวด้วยความมั่นใจเต็มเปี่ยม

“ประชุมหมื่นเผ่าพันธุ์ อะไรคือประชุมหมื่นเผ่าพันธุ์?” กลุ่มคนรุ่นใหม่น้อยคนนักที่เคยได้ยินชื่อของประชุมหมื่นเผ่าพันธุ์ กล่าวด้วยความแปลกใจ

“ประชุมหมื่นเผ่าพันธุ์มีสองความหมาย หนึ่ง ทุกเผ่าพันธุ์ในแดนวิญญาณสวรรค์ล้วนแล้วแต่เข้าร่วมประชุมได้ สอง เป็นการประชุมเพื่อแก้ไขปัญหาของทุกๆ เผ่าพันธุ์ที่อยู่ในแดนวิญญาณสวรรค์ การประชุมในลักษณะเช่นนี้ยิ่งใหญ่มาก อีกทั้งยังมีลักษณะเป็นตัวแปร โดยทั่วไปแล้ว ผู้ที่ไม่ได้อยู่ในระดับที่สูงพอ ได้แต่เป็นผู้เข้าร่วมประชุม ไม่มีสิทธิ์ร่วมตัดสินมติของที่ประชุม…”

“…เรื่องราวต่างๆ ที่ใหญ่และมีความสำคัญยิ่งซึ่งเกี่ยวข้องกับแดนวิญญาณสวรรค์ก็จะถูกหยิบยกขึ้นมาในที่ประชุม แน่นอนที่สุด การตัดสินใจในขั้นตอนสุดท้าย ขึ้นอยู่กับการประชุมลับของบรรดาสำนักต่างๆ ที่เป็นผู้ยิ่งใหญ่เป็นผู้ตัดสินชี้ขาด หลังจากที่ตัดสินชี้ขาดแล้วก็จะนำมตินั้นแจ้งต่อทุกคนที่อยู่ในที่ประชุมทราบ” ผู้อาวุโสของสำนักได้อธิบายให้กับผู้เยาว์ภายในสำนัก

“เฉกเช่นสำนักของพวกเราคงเป็นได้แค่เข้าร่วมประชุมเท่านั้นเอง เป็นผู้ฟังเพียงอย่างเดียว” ผู้เยาว์ถึงกับเอ่ยขึ้นมา

ผู้อาวุโสพยักหน้า กล่าวว่า “ถูกต้อง ผู้ที่สามารถตัดสินในประชุมหมื่นเผ่าพันธุ์ก็จะมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้น ส่วนคนอื่นๆ ที่เข้าร่วมประชุมหมื่นเผ่าพันธุ์แค่เป็นผู้ที่จะถ่ายทอดมติที่ประชุมเท่านั้น เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์สำนัก เผ่าพันธุ์ หรือยอดฝีมือผู้บำเพ็ญตน เกิดขัดแย้งกันขึ้นขณะที่มีการปฏิบัติตามมติของที่ประชุมในอนาคต การตัดสินใจที่เกิดขึ้นในที่ประชุมมักจะส่งผลกระทบต่อแดนวิญญาณสวรรค์ เป็นยุคสมัยๆ หนึ่งได้เสมอ…”

“…เหมือนดั่งเช่นเจ้ายุทธจักรราชันปู ครั้งนั้นหลังจากเสร็จศึกผายุทธแล้ว เป็นการวางรากฐานราชันเซียนที่สูงสุดของเขา ต่อมา แดนวิญญาณสวรรค์ได้จัดการประชุมหมื่นเผ่าพันธุ์ขึ้น เผ่าปีศาจทะเล เผ่าพฤกษา เผ่าวิญญาณเทพต่างให้การรับรองฐานะของเจ้ายุทธจักรราชันปูร่วมกัน จากนี้เป็นต้นมาไม่ว่าจะเป็นสำนักใดๆ ของเผ่าปีศาจทะเลก็จะไม่ต่อต้านฐานะของเจ้ายุทธจักรราชันปูอีก ไม่คิดที่จะทดลองไปทำให้ทวนสามง่ามออกจากการให้การยอมรับในตัวเจ้ายุทธจักรราชันปู ด้วยเหตุนี้เอง จึงทำให้เจ้ายุทธจักรราชันปูสามารถกวาดล้างสิ่งกีดขวางบนเส้นทางได้ทั้งหมด ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งเทพเจ้าแห่งทะเลในที่สุด”

“การจัดการประชุมหมื่นเผ่าพันธุ์ในครั้งนี้เพื่ออะไรกันแน่?” มีผู้เยาว์เอ่ยถามขึ้นด้วยความสงสัย

ผู้อาวุโสถึงกับนิ่งเงียบกับปัญหาข้อนี้ ไม่อาจให้คำตอบได้

“เจ้าคนอวดดี จะมีการจัดประชุมหมื่นเผ่าพันธุ์ขึ้นแล้วนะ เจ้าจะไปมั้ย” เย่เสี่ยวเสี่ยวพลันได้ยินข่าวนี้ก็นำไปแจ้งต่อหลี่ชิเย่ในทันที ยิ้มแต้กล่าวว่า “ฟังว่าคราวนี้ดำเนินการประชุมโดยบุตรเทพเจ้าแห่งทะเล และบรรพบุรุษคนที่สองของเผ่าพฤกษา ดูท่ามีความเป็นไปได้เพื่อเล่นงานเจ้า”

“ประชุมหมื่นเผ่าพันธุ์งาน คงเป็นงานเข่นฆ่าใหญ่กระมัง” หลี่ชิเย่เผยรอยยิ้มออกมา กล่าวว่า “เล่นงานข้าน่ะดีที่สุด จัดการพวกเขาทั้งหมดในคราเดียว จะได้ไม่ต้องเสียเวลาไปจัดการทีละคนๆ ให้มันยุ่งยาก มันยุ่งยากมากเกินไป”

“เกรงว่าศัตรูก็มีแนวความคิดเช่นนี้แหละ ไม่แน่นักพวกเขาอาจขุดหลุมพรางเอาไว้รอเจ้ากระโดดลงไป ให้เจ้าเป็นศัตรูกับทุกๆ เผ่าพันธุ์ของแดนวิญญาณสวรรค์” ซูหย่งหวงออกปากกล่าวเตือนหลี่ชิเย่

หลังจากพักรักษาตัวมาหลายวัน อาการบาดเจ็บบนตัวนางได้หายเป็นปรกติแล้ว

หลี่ชิเย่ถึงกับหัวเราะขึ้นมา กล่าวว่า “ขุดหลุมพรางให้ข้ากระโดดลงไป? ให้ข้าเป็นศัตรูกับทุกเผ่าพันธุ์? มันไม่ดีตรงไหน ก็แค่ศัตรูเท่านั้นเอง เจ้าเข่นฆ่าเขาหนึ่งแสน พวกเขาอาจเข้าใจว่ายังสามารถรบอีกสักครั้ง เจ้าสังหารพวกเขาหนึ่งล้าน พวกเขารู้สึกว่ายังสามารถขัดขืนได้ แต่เมื่อเจ้าสังหารพวกเขาเป็นล้านล้าน ทั่วทั้งแดนวิญญาณสวรรค์ก็จะหุบปากเงียบ ถึงเวลานั้นทั่วแดนวิญญาณสวรรค์ก็จะเงียบงันไปทั่ว…”

“…หมื่นเผ่าพันธุ์เท่านั้นเอง รอให้ข้าจัดการสังหารหมู่พวกมันให้หมด จะต้องมีคนที่เข้าใจว่าควรยืนอยู่ข้างไหนจึงเป็นการนกระทำที่ฉลาดเลือก คล้อยตามข้าอยู่ ขัดใจข้าม้วย ใครขวางทางของข้า ฆ่าไม่มีละเว้น! ต่อให้ต้องเลือดท่วมไปทั่วแดนวิญญาณสวรรค์ จะเป็นไรไป” เมื่อเอ่ยมาถึงตรงนี้แล้ว เขายิ้มอย่างอ่อนโยน

ประโยคที่โชกไปด้วยเลือดเช่นนี้ หลี่ชิเย่กลับพูดมันออกมาด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนที่สุด ทำให้คนฟังถึงกับรู้สึกขนลุกขนพองขึ้นมาทันที

เย่เสี่ยวเสี่ยวที่ตั้งใจจะแกล้งหลี่ชิเย่เล่นเมื่อได้ยินคำพูดลักษณะเช่นนี้แล้ว นางถึงกับรู้สึกสะท้านภายในใจ และนางมั่นใจว่าหลี่ชิเย่หาใช่พูดไปอย่างนั้นเอง เกรงว่าเขาวางแผนที่จะทำเช่นนี้ก่อนหน้านานมาแล้ว

สำหรับซูหย่งหวงนั้น นางได้แต่ฝืนยิ้ม นางเคยชินกับความโหดที่พลันโกรธก็เข่นฆ่าสิ้นหมื่นเผ่าพันธุ์ของหลี่ชิเย่เสียแล้ว

ทันใดนั้น สายตาของหลี่ชิเย่เต้นกระตุกทีหนึ่ง ขมวดคิ้วนิดหนึ่งแล้วลุกขึ้นยืนทันที กล่าวกับซูหย่งหวงว่า “เจ้าคิดจะสังหารโอรสสวรรค์ปกสมุทรใช่มั้ย เขาต้องไปที่การประชุมหมื่นเผ่าพันธุ์แน่นอน ถึงเวลานั้นเจ้าไปที่นั่นก็ได้แล้ว”

“ไปสังหารโอรสสวรรค์ปกสมุทรที่งานประชุมหมื่นเผ่าพันธุ์ เกรงว่าจักรพรรดิหอยสังข์ต้องให้การคุ้มครองเขากระมัง” เย่เสี่ยวเสี่ยวถึงกับเอ่ยขึ้นมา

หลี่ชิเย่มอบสิ่งของสิ่งหนึ่งให้กับซูหย่งหวงไปตามอารมณ์ กล่าวกับซูหย่งหวงว่า “ไปพบเทพธิดาเจินหวู่ หากเจ้าเต่าหดหัวหอยสังข์กล้าหาเรื่องเจ้า นางจะคอยคุ้มครองเจ้าให้เอง เจ้าจัดการสังหารโอรสสวรรค์ปกสมุทรกลางในงานประชุมหมื่นเผ่าพันธุ์เสีย ให้ผู้คนใต้หล้าได้รู้ว่า ใครหาญกล้าแตะต้องคนที่อยู่ข้างกายข้าจะมีจุดจบเช่นใด!”

กล่าวจบ หลี่ชิเย่หันหลังจากไปทันที

“เจ้าจะไปไหน?” หลังจากได้สติกลับมาแล้ว ซูหย่งหวงถึงกับส่งเสียงดังออกไป

“ข้าไปพบคนๆ หนึ่ง พวกเจ้าไม่ต้องรอข้า ถ้าหาก่ข้าไม่กลับมาล่ะก็ ต้องคนต่างแยกย้ายกันไปก็แล้วกัน มาทางไหนกลับไปทางนั้น” หลี่ชิเย่กล่าวไม่ทันจบคำ ก็ได้หายไปบนท้องฟ้าเสียแล้ว

ทันใดนั้น บนท้องฟ้าของเมืองต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ปรากฏร่างเงาสายหนึ่งแวบผ่านไป ร่างเงาสายนี้รวดเร็วเหลือเกิน เร็วจนกระทั่งไม่มีผู้ใดพบเห็น

แต่ว่า ร่างเงานี้เพิ่งจะแวบผ่านไปหลี่ชิเย่ก็ไล่ติดตามไปทันที หลี่ชิเย่ได้สำแดงกายเซียนเหินจนถึงขีดสูงสุด อาศัยความเร็วที่สุดจะประเมินได้ ไล่ติดตามไป

ในที่สุด หลี่ชิเย่ก็ไล่กวดร่างเงาสายนั้นจนทัน เธอคนนั้นเป็นผู้หญิงคนหนึ่ง นางวิ่งผ่านท้องฟ้าไปอย่างรวดเร็ว แลดูเหมือนว่านางก้าวเดินอย่างช้าๆ แต่กลับเป็นความเร็วที่รวดเร็วมาก การก้าวข้ามท้องฟ้าไปคล้ายดั่งเทพธิดาที่กำลังเดินเที่ยวเล่น ท่วงท่าที่งดงาม งามยิ่งกว่าใครๆ นางคือนางฟ้าลงมาจุติ

เมื่อหลี่ชิเย่ไล่ตามมาจนทัน ผู้หญิงที่ท่วงท่างดงามดังเทพธิดาได้หยุดอยู่ตรงยอดเขาลูกหนึ่ง นางหันหลังกลับมา มองดูหลี่ชิเย่อย่างเย็นชา

เมื่อหลี่ชิเย่ไล่ตามผู้หญิงได้ทันแล้ว หลี่ชิเย่ก็ได้หยุดลงและมองดูนางที่เสมือนดั่งนางฟ้า

“ข้ารอเจ้าอยู่” หลี่ชิเย่เอ่ยขึ้นช้าๆ ขณะจ้องมองไปที่ผู้หญิงคนนั้น

ผู้หญิงคนนั้นเพียงจ้องมองหลี่ชิเย่อย่างเย็นชา เสมือนกำลังมองดูคนแปลกหน้าอย่างนั้น ไม่ได้เอ่ยคำใดออกมา สายตาของนางเปี่ยมด้วยปณิธานที่เย็นยะเยือก

หลี่ชิเย่ถึงกับยิ้มอย่างขมขื่นเมื่อมองเห็นสายตาของผู้หญิงคนนั้นที่เปี่ยมด้วยปณิธานที่เย็นยะเยือก กล่าวว่า “ข้ารู้ ผลที่เกิดขึ้นล้วนแล้วแต่เป็นเพราะข้าเอง มันคือความผิดของข้าโดยแท้ ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม ข้าคาดหวังให้เรื่องนี้ยุติจบลง และข้าก็หวังว่าก่อนที่ข้าจะไปจากที่นี่สามารถคลายพันธนาการที่อยู่ในใจของเจ้าได้”

“แช้งค์…” กระบี่ออกจากฝัก ปลายกระบี่จ่ออยู่ที่คอของหลี่ชิเย่โดยพลัน ขอเพียงหลี่ชิเย่ขยับแม้เพียงน้อยนิด กระบี่เล่มนี้ก็จะแทงทะลุคอของหลี่ชิเย่ในทันที

หลี่ชิเย่ที่ถูกกระบี่จ่อที่คอไม่ได้มีท่าทีตระหนกตกใจแต่อย่างใด เขาหลับตาลงช้าๆ ทอดถอนใจออกมาทีหนึ่ง กล่าวว่า “ถ้าหากฆ่าข้าแล้วสามารถทำให้ความแค้นที่อยู่ในใจเจ้าถูกกปลดปล่อยได้ งั้นเจ้าก็ฆ่าข้าเสีย ต่อให้เจ้าสับข้าให้เป็นเนื้อบด ข้าก็ไม่โทษเจ้า”

“เจ้าฝึกตำรามรณะมาแล้ว!” ในที่สุด ผู้หญิงคนนี้ได้ปริปากพูดออกมาแล้ว น้ำเสียงของนางดั่งเสียงสวรรค์ แม้ว่าจะแฝงไว้ซึ่งความเย็นชา แต่ มันช่างไพเราะน่าฟังเหลือเกิน คล้ายดั่งเทพธิดา

“ถูกต้อง ข้าได้ฝึกตำรามรณะมา” หลี่ชิเย่ไม่ได้ปิดบัง ยิ้มกล่าวด้วยท่าทีเรียบเฉยว่า “เจ้าเข้าใจข้ามาโดยตลอด รู้ใจข้า”

“เข้าใจเจ้า รู้ใจเจ้า?” น้ำเสียงของผู้หญิงแฝงไว้ซึ่งความเย็นชา กล่าวว่า “ถ้าหากข้าเข้าใจและรู้ใจเจ้า ก็คงไม่ถูกเจ้าหลอกแล้ว!”

หลี่ชิเย่นิ่งเงียบกับคำพูดดังกล่าว อ้าปากกำลังจะพูด

แต่ทว่า ผู้หญิงคนนั้นได้กล่าวตัดบทคำพูดของเขาด้วยท่าทีน่าเกรงขามว่า “เจ้าอย่าบอกนะว่าทำเพื่อข้า ข้ารู้ว้าเจ้าดีแต่พูดแบบนี้ เจ้ามีข้ออ้างอยู่เสมอ! อาจารย์ที่ปรึกษาของราชันเซียนนี่ มีเรื่องอะไรที่ทำแล้วไม่มีข้ออ้างที่สวยงามบ้าง?”

“ข้อแรก ข้ายอมรับ ข้าหลอกเจ้า ข้อสอง ไม่ว่าเจ้าจะเชื่อหรือไม่ก็ตาม ข้าหวังเพียงต้องการให้เจ้ามีชีวิตอยู่ต่อไป ข้าเคยรับปากบิดาของเจ้า ขอเพียงข้ายังมีชีวิตอยู่บนโลกนี้ ใครก็สังหารเจ้าไม่ได้!” หลี่ชิเย่กล่าวด้วยท่าทีจริงจังว่า “ข้ารู้ว่าเจ้าคงไม่เชื่อ แต่ ช่างเถอะทุกอย่างล้วนไม่มีความหมายแล้ว”

คิดว่าข้าจะต้องตายอย่างนั้นรึ? เจ้าคิดว่าข้าจะต้องพ่ายแพ้อย่างนั้นรึ?”

“ข้าเข้าใจเจ้า” หลี่ชิเย่กล่าวว่า “แต่ ข้ายิ่งเข้าใจนาง เจ้าคิดว่าระหว่างพวกเจ้าทั้งสอง สามารถมีชีวิตอยู่ได้ทั้งสองคนรึ?” ครั้นเอ่ยถึงตรงนี้แล้ว เขาถึงกับหัวเราะเจื่อนๆ ออกมา

“ดังนั้น เจ้าจึงเลือกนาง!” ผู้หญิงคนนี้กล่าวด้วยท่าทีน่าเกรงขามออกมา

“ไม่ใช่ข้าเลือกนาง” หลี่ชิเย่กล่าวด้วยท่าทีจริงจังว่า “ยามที่สุดยอดสัจธรรมปราศจากผู้ต่อกรของนางก้าวสู่ขั้นสมบูรณ์ในเวลานั้น ข้าก็รู้แล้วว่านางสามารถสยบเป็นนิรันดร์ ไม่ว่าใครก็ขวางทางเดินของนางได้ เจ้าก็เช่นกัน ไม่ว่าสัจธรรมของนางจะเป็นเช่นใด ไม่ว่านางจะปราศจากผู้ต่อกรอย่างไร ตัวเจ้าในครั้งครานั้น เจ้าจะยอมอ่อนข้อให้รึ?”

ผู้หญิงคนนั้นจ้องมองหลี่ชิเย่ท่าทีเย็นชา ไม่พูดอะไรออกมา

“เจ้าก็รู้ว่าเจ้าไม่ยอมอ่อนข้อให้แน่ เจ้าไม่เคยอ่อนข้อยอมแพ้อยู่แล้ว ข้าก็รู้!” หลี่ชิเย่จ้องมองนัยน์ตาทั้งสองของนาง สู้กับสายตาของนางอย่างไม่สะทกสะท้าน กล่าวว่า “สู้กันจนถึงที่สุด มีจุดจบเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น เจ้าต้องตายอย่างแน่นอน!”

“ดังนั้น สมควรที่ข้าต้องขอบใจเจ้าที่ช่วยข้าเอาไว้ ทุกอย่างที่เกิดขึ้นล้วนเป็นความผิดของข้า” ผู้หญิงคนนั้นจ้องมองหลี่ชิเย่อย่างเย็นชา

“ไม่ เป็นความผิดของข้า” หลี่ชิเย่หัวเราะด้วยความขมขื่น กล่าวว่า “ทุกคนต่างบอกว่าข้าสามารถควบคุมทุกสิ่งทุกอย่าง สามารถแปรเปลี่ยนจักรวาล แต่ ข้าก็มีช่วงเวลาที่จนด้วยเกล้าเหมือนกัน ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเป็นความผิดของข้า!”

Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *