Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล 2459 เฒ่าตัดฟืน

Now you are reading Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล Chapter 2459 เฒ่าตัดฟืน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

สำหรับเขาหงฮวงซาน และหรือทะเลสาบที่อยู่ด้านหลังของหงฮวงซานนั้น หลี่ชิเย่ไม่ค่อยจะไปใส่ใจกับมันมากนัก เขาเพียงจ้องมองไปที่ยังถ้ำยักษ์ที่อยู่ห่างไกลออกไป และหรือก็คือคุกหลวงดึกดำบรรพ์นั่นเอง

หลี่ชิเย่ถึงกับเผยรอยยิ้มเต็มใบหน้าขึ้นมาขณะจ้องมองไปที่คุกหลวงดึกดำบรรพ์ ยิ้มบางๆ และกล่าวว่า “ดูท่าฮ่องแต้ไท่ชิงเองก็เคยอยากได้คุกหลวงดึกดำบรรพ์มาครอบครองยิ่งนัก เสียดาย เขาก็ไม่สามารถค้นพบความลึกซึ้งยอดเยี่ยมที่อยู่ภายใน”

ความจริงแล้ว ในระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่หากเอ่ยถึงชื่อของคุกหลวงดึกดำบรรพ์แล้วผู้คนจำนวนมากต่างก็รู้จัก การที่ผู้คนจำนวนมากในระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่รู้จักคุกหลวงดึกดำบรรพ์หาใช่เป็นเพราะตัวของคุกหลวงดึกดำบรรพ์เอง แต่เป็นเพราะฮ่องแต้ไท่ชิง

แม้ว่าไม่มีใครทราบว่าเพราะอะไรคุกหลวงดึกดำบรรพ์จึงถูกเรียกว่าเป็นคุกหลวง แต่ว่ามีคำเล่าลือว่าในยุคโบราณมากๆ นั้น คุกหลวงดึกดำบรรพ์ก็เคยเป็นที่คุมขังของคนบางคน เคยมีผู้ที่ดำรงอยู่ในฐานะแข็งแกร่งปราศจากผู้ต่อกรถูกขุมขังเอาไว้ข้างใน

ด้วยเหตุนี้เอง ขอเพียงคนผู้นั้นถูกจับขังเข้าไปอยู่ในคุกหลวงดึกดำบรรพ์ก็จะไม่สามารถกลับออกมาได้ตลอดกาล ได้แต่ถูกคุมขังเอาไว้อยู่ในนั้นตลอดไป

กระทั่งในอดีตที่นานมากก็เคยมีการเล่าลือกันว่า คุกหลวงดึกดำบรรพ์เคยถูกปฐมบรรพบุรุษของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่นำมาใช้คุมขังผู้ที่โหดร้ายยิ่งบางคนของแดนลัทธิราชัน ภายหลังมีช่วงเวลาหนึ่งที่ยาวนานมาก ระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่ก็เคยใช้เพื่อการคุมขังคนบางคน

เพียงแต่กระทั่งภายหลังต่อมา คุกหลวงดึกดำบรรพ์ก็ไม่เคยได้คุมขังผู้ใดอีกเลย เหตุผลนั้นง่ายมาก ถ้าหากสามารถจับตัวคนที่สุดโหด และหรือศัตรูสักคนเอาไว้ได้แล้วนำไปขังเอาไว้ในคุกหลวงดึกดำบรรพ์ นั่นเป็นการบ่งบอกว่าเขาได้สูญสิ้นกำลังที่จะต่อต้านโดยสิ้นเชิงแล้ว สุดแต่เจ้าจะเชือดเฉือน กับคนที่อยู่ในสภาพเช่นนี้ย่อมสามารถสังหารเขาได้อย่างสิ้นเชิงได้อยู่แล้ว

อีกทั้งหลังจากที่จับเข้าไปขังเอาไว้ในคุกหลวงดึกดำบรรพ์ก็จะไม่สามารถกลับออกมาได้อีก ทั้งไม่ว่าใครก็ไม่สามารถไปเยี่ยมผู้ต้องขังได้ การถูกจับขังไว้ในคุกหลวงดึกดำบรรพ์ย่อมบ่งบอกถึงความตาย ซึ่งมันก็ไม่ได้ต่างอะไรกับการสังหารเขาเสีย

ในเมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ทำไมจะต้องสิ้นเปลืองพลังงานมากมายเพื่อคุมตัวคนสุดโหดและหรือผู้เป็นศัตรูของตนเล่า? จัดการสังหารพวกเขาเสียโดยตรงก็พอแล้ว

แต่ทว่า ไม่ทราบด้วยสาเหตุอันใด หลังจากที่ฮ่องแต้ไท่ชิงได้ควบคุมอำนาจปกครองของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่แล้วนั้น เมื่อเขาได้ก้าวไปถึงจุดสูงสุดอย่างแท้จริง และยิ่งใหญ่แต่ผู้เดียวทั่วหล้า เขาถึงกับเริ่มต้นใช้คุกหลวงดึกดำบรรพ์มาคุมขังศัตรูบางคน

มีช่วงระยะเวลาหนึ่งที่ยาวนานมาก ฮ่องแต้ไท่ชิงได้จัดการส่งตัวศัตรูบางส่วนไปคุมขังเอาไว้ในคุกหลวงดึกดำบรรพ์ อีกทั้งผู้ที่ถูกจับไปขังเอาไว้ในคุกหลวงดึกดำบรรพ์ล้วนแล้วแต่เป็นศัตรูที่แข็งแกร่งมากที่สุดของฮ่องแต้ไท่ชิง กระทั่งเคยมีบางคนที่มีความแข็งแกร่งยิ่งกว่าฮ่องแต้ไท่ชิงเสียอีก!

ทุกคนต่างไม่เข้าใจว่าเพราะอะไรฮ่องแต้ไท่ชิงถึงจับตัวศัตรูเหล่านี้ไปขังไว้ในคุกหลวงดึกดำบรรพ์ เนื่องจากตัวเขาเองสามารถสังหารศัตรูของตนได้อย่างสิ้นเชิงอยู่แล้ว แต่เขากลับสิ้นเปลืองกำลังกายและกำลังสมองนับไม่ถ้วนเพื่อจับเป็นศัตรูเหล่านั้น จากนั้นนำตัวไปขังเอาไว้ในคุกหลวงดึกดำบรรพ์

มีระดับบรรพบุรุษบางคนคาดเดากับลับๆ ว่า การที่ฮ่องแต้ไท่ชิงนำตัวศัตรูบางคนของตนไปขังไว้ในคุกหลวงดึกดำบรรพ์หาใช่ต้องการสอบสวนด้วยการลงทัณฑ์ต่อศัตรูของตน แต่ทำไปเพื่อต้องการทดสอบหยั่งเชิงดู บางทีภายในคุกหลวงดึกดำบรรพ์อาจมีอะไรบางอย่างที่เขาต้องการ

ความจริงแล้ว เคยมีปรัชญาเมธีและราชันแท้จริงในระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่คาดเดาไว้ว่า ในยุคเก่าแก่โบราณไม่ว่าจะเป็นปฐมบรรพบุรุษจิ่วมี่ หรือว่าบรรพบุรุษดึกดำบรรพ์คนอื่นๆ การที่นำเอาคุกหลวงดึกดำบรรพ์มาคุมขังคนสุดโหดและหรือผู้เป็นศัตรู พวกเขาล้วนแล้วแต่ไม่ได้ต้องการคุมขังคนใดคนหนึ่งจริงๆ ที่ถูกต้องบอกว่าเป็นการนำเอาคนเหล่านี้มาเป็นตัวทดลอง พวกที่ถูกนำไปคุมขังเป็นเพียงเป้าหมายของการทดลองเท่านั้น

ดังนั้น ตลอดเวลาที่ผ่านมาก็มีคนคาดเดาว่า ภายในคุกหลวงดึกดำบรรพ์มีสิ่งของบางอย่าง เป็นสิ่งของบางสิ่งที่แม้แต่ปฐมบรรพบุรุษจิ่วมี่ก็อยากได้ เพียงแต่ปฐมบรรพบุรุษจิ่วมี่เองก็ไม่ได้สิ่งนั้นมาเท่านั้นเอง

“สิ่งที่คนอื่นเก็บเกี่ยวไปไม่ได้ เช่นนั้นแล้วข้าเอง” หลี่ชิเย่ที่มองดูคุกหลวงดึกดำบรรพ์แล้วหัวเราะทีหนึ่ง จากนั้นหันหลังกลับเข้าไปภายในตำหนักศิลา

เป็นดังนี้แหละ หลี่ชิเย่เขาพักอาศัยอยู่ในหงฮวงซาน แม้ว่าหลี่ชิเย่จะเป็นแขกของเขาจิ่วเหลียนซาน แต่ปราศจากศิษย์คนใดคนหนึ่งของเขาจิ่วเหลียนซานมาปรนนิบัติ

ความจริงแล้ว ไม่ว่าใครก็ตามที่มายังเขาจิ่วเหลียนซาน จะมาเป็นแขกก็ดี บรรลุสัจธรรมก็ช่าง เขาจิ่วเหลียนซานก็จะไม่ปรนนิบัติ ต่อให้เป็นฮ่องแต้ไท่ชิงเสด็จมาที่เขาจิ่วเหลียนซานด้วยตนเอง ทางเขาจิ่วเหลียนซานก็จะไม่มีศิษย์ที่มาคอยให้การปรนนิบัติ อย่างมากที่สุดก็แค่ทำบันทึกประวัติเท่านั้น

ส่วนเรื่องอื่นๆ นั้น สมควรทำเช่นใดก็ให้ทำไปตามนั้น ดังนั้น แม้แต่ฮ่องแต้ไท่ชิงจะพักอาศัยอยู่ที่เขาจิ่วเหลียนซานสักระยะหนึ่งเพื่อบรรลุสัจธรรมล่ะก็ ต้องนำคนรับใช้ของตนติดตามมาด้วย ทางเขาจิ่วเหลียนซานจะไม่ส่งศิษย์มาคอยให้การปรนนิบัติอยู่แล้ว

ใช่จะเพียงฮ่องแต้ไท่ชิงเท่านั้นที่ไม่ได้รับการปฏิบัติเช่นนี้ ก่อนหน้านั้น แม้แต่ราชันแท้จริงเจิ้นตี้ที่มีความปราดเปรื่องน่าทึ่งมาที่เขาจิ่วเหลียนซาน ทางเขาจิ่วเหลียนซานก็ไม่ได้จัดให้ศิษย์คนใดคนหนึ่งมาคอยให้การปรนนิบัติเขาเช่นเดียวกัน

เขาจิ่วเหลียนซานเป็นเช่นนี้ตลอดมา และนี่ก็คือสิ่งที่มีเพียงหนึ่งเดียวไม่มีสองที่เป็นที่สุดของเขาจิ่วเหลียนซาน

แม้จะเป็นเช่นนี้ก็ตาม ตลอดเวลาที่ผ่านมาก็ไม่มีผู้ใดที่ทำหน้าบึ้งตึงด้วยความโกรธกับเรื่องเพียงเท่านี้ ความจริงแล้ว พันล้านปีที่ผ่านมา ผู้ที่กล้าพาลเกเรและทำกำเริบเสิบสานในเขาจิ่วเหลียนซานนั้นมีไม่มากนัก แม้แต่ราชันแท้จริงที่ปราศจากผู้ต่อกรมาถึงเขาจิ่วเหลียนซานก็ดูจะอ่อนน้อมถ่อมตนอยู่หลายส่วน ไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่าม

หลังจากที่หลี่ชิเย่ได้พักอาศัยในหงฮวงซานแล้ว เขาไม่ได้ใส่ใจว่ามีใครมาคอยปรนนิบัติเขาหรือไม่ กล่าวสำหรับตัวเขาแล้ว ต่อให้เป็นการนอนกลางดิน กินกลางทรายก็ไม่นับเป็นอะไร

หลังจากที่หลี่ชิเย่รั้งอยู่ที่หงฮวงซานแล้วก็ไม่ได้ไปทดลองหยั่งเชิงคุกหลวงดึกดำบรรพ์ในทันที แต่กลับเป็นการบริโภคน้ำค้างบรรลุสัจธรรม อีกทั้งยังได้นั่งสมาธิเข้าฌานทุกวันบนยอดเขา หันหน้าไปทางคุกหลวงดึกดำบรรพ์ ตั้งแต่ก่อนพระอาทิตย์จะขึ้น และปล่อยให้จิตล่องลอยไป

แน่นอน การนั่งสมาธิและเข้าฌานอยู่ที่ตรงนั้นของหลี่ชิเย่นั้น ไม่ปรากฏรัศมีศักดิ์สิทธิ์ และไม่มีปรากฎการณ์ที่เป็นมงคลลงมา เสมือนหนึ่งเป็นการเขาฌานที่ไม่มีข้อแตกต่างอะไรจากมนุษย์ปุถุชนธรรมดาคนหนึ่ง

ขณะที่ภายในลัคนาของหลี่ชิเย่นั้น ต้นโลกดึกดำบรรพ์ปรากฏ ผลสัจธรรมลูกสน และผลสัจธรรมลูกโอ๊กสุกงอมเต็มที่ พร้อมที่จะร่วงหล่นจากต้นได้ทุกเมื่อ

ในเวลานี้เองบนต้นโลกดึกดำบรรพ์ได้ออกดอกสัจธรรมดอกที่สาม โดยที่ดอกสัจธรรมดอกนี้ปรากฎประกายสีทองแวบวับ ดอกสัจธรรมเหมือนหลอมสร้างขึ้นมาจากทองคำทั้งดอกอย่างนั้น มีความบริสุทธิ์ยิ่งนัก

เมื่อดอกสัจธรรมดอกที่สามเบ่งบาน ตลบอบอวลไปด้วยกลิ่นอายของยุคดึกดำบรรพ์ก่อนที่โลกจะแยกฟ้าดินออกเป็นสองส่วน และต้นโลกดึกดำบรรพ์ทั้งต้นเสมือนดั่งถือกำเนิดขึ้นใหม่อย่างนั้น

ความจริงแล้ว ดอกสัจธรรมดอกที่สามจำเป็นต้องอาศัยพลังมหาศาลจากต้นโลกดึกดำบรรพ์มาให้การสนับสนุน มิฉะนั้นแล้วมันก็จะไม่สามารเติบโตแข็งแรงได้ แน่นอนที่สุดพลังแค่นี้หลี่ชิเย่ยังคงรับได้ไหวอยู่แล้ว

การที่ต้นโลกดึกดำบรรพ์ต้องการพลังมหาศาลมาให้การสนับสนุนนั้น แต่ก็นำมาซึ่งกลิ่นอายยิ่งใหญ่ไม่มีสิ้นสุดในยุคดึกดำบรรพ์ก่อนที่โลกจะแยกฟ้าดินออกเป็นสองส่วนมาให้กับหลี่ชิเย่ ให้หลี่ชิเย่ได้นำเอาพลังที่ยิ่งใหญ่และไม่มีสิ้นสุดดังกล่าวมาหลอมกลั่นให้เป็นของตน และหลอมรวมเข้าไปภายในเลือดเนื้อของหลี่ชิเย่ ทำให้เลือดเนื้อของหลี่ชิเย่แตกต่างจากผู้อื่น และกลายเป็นมีความแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น

หลี่ชิเย่นั่งสมาธิและเข้าฌานบรรลุสัจธรรมบนยอดเขาทุกวัน ซึ่งเงียบสงบยิ่งนัก และไม่มีผู้ใดมารบกวน เหมือนว่าทั่วฟ้าดินก็จะเงียบสงบเช่นนี้ทั้งสิ้น

จะอย่างไรเสีย หงฮวงซานตั้งอยู่ด้านใต้สุดของเขาจิ่วเหลียนซาน และก็เป็นบริเวณที่ห่างไกลความเจริญมากที่สุดของเขาจิ่วเหลียนซาน ตลอดเวลาที่ผ่านมามีน้อยคนนักที่มาถึงที่ตรงนี้ ย่อมไม่มีผู้คนมารบกวนหลี่ชิเย่อยู่แล้ว

แต่ ใช่ว่าจะมีเพียงหลี่ชิเย่คนเดียวเท่านั้นที่เข้าฌานบรรลุสัจธรรมโดยเผชิญหน้าอยู่กับคุกหลวงดึกดำบรรพ์ นอกเหนือจากหลี่ชิเย่แล้ว ยังมีอีกคนที่นั่งสมาธิเข้าฌานที่หันหน้าเข้าหาคุกหลวงดึกดำบรรพ์

คนผู้นี้เป็นผู้เฒ่าคนหนึ่ง ผู้เฒ่าผู้นี้สวมใส่ชุดชาวบ้านโดยเป็นชุดของคนตัดฟืน มีเชือกป่านคาดเอวเอาไว้ และยังมีขวานเล่มหนึ่งบริเวณเอว มันเป็นขวานที่เห็นได้ทั่วไปสำหรับตัดฟืนในโลกมนุษย์ ขวานเล่มนี้มีสีเทาของเหล็ก ส่วนที่เป็นคมถูกลับจนขาววาวและคมกริบ เหมือนว่ามันมีความคมเป็นพิเศษสำหรับการตัดฟืน

ใบหน้าของผู้เฒ่าผู้นี้เต็มไปด้วยรอยย่น ใบหน้าออกเป็นสีดำน้ำตาล อีกทั้งสีดำน้ำตาลลักษณะเช่นนี้เหมือนผ่านการขัดเกลามาแล้วอย่างนั้น ดูให้ความรู้สึกที่เป็นจริงมาก ใบหน้าแก่ๆ ใบนี้เหมือนผ่านการขัดเกลาจากพายุหิมะมานับไม่ถ้วน ทุกๆ รอยเหี่ยวย่นล้วนแล้วแต่ผ่านการตกผลึกมาแล้วอย่างนั้น

ดวงตาคู่นั้นของผู้เฒ่าไม่มีอะไรที่เป็นพิเศษ บอกได้แต่เพียงดวงตาคู่นี้ใสชัดเจนมาก ดุจดั่งเป็นน้ำลำธารที่ไหลระหว่างร่องเขาอย่างนั้น ต่อให้อากาศร้อนสุดขีดมากกว่านี้ก็จะรู้สึกถึงเย็นชุ่มฉ่ำทันทีที่ได้เห็นดวงตาลักษณะเช่นนี้คู่นั้น

ทุกๆ วันขณะพระอาทิตย์ยังไม่ทันขึ้น ผู้เฒ่าผู้นี้ก็ได้มาถึงเชิงเขาของเขาหงฮวงซานแล้ว นั่งสมาธิเข้าฌานโดยหันหน้าไปยังคุกหลวงดึกดำบรรพ์จากระยะห่างไกล เผชิญกับกลิ่นอายชั่วร้ายที่พวยพุ่งออกมาจากคุกหลวงดึกดำบรรพ์ด้วยการผ่อนลมหายใจเข้าออก เหมือนว่าต้องการกลืนกินกลิ่นอายชั่วร้ายเหล่านี้ลงท้องอย่างนั้น

เมื่อถึงเวลาที่พระอาทิตย์ขึ้นมา เขาก็ได้ประสบผลสำเร็จแล้ว และไปตัดฟืนใต้เขาหงฮวงซาน เมื่อตัดจนได้มาหนึ่งมัดใหญ่ๆ แล้ว จากนั้นก็จะไปชำระร่างกายที่บริเวณทะเลสาบที่อยู่ด้านหลังของเขาหงฮวงซาน จากนั้นก็แบกเอาฟืนมัดใหญ่เดินจากไป

“เดิมข้าเป็นมนุษย์ปุถุชนธรรมดา ไม่ขึ้นไปยังตำหนักเซียน…” จังหวะที่ผู้เฒ่าได้หาบเอาฟืนเดินจากไปนั้น เสียงลูกคอที่ดังกังวานดังขึ้น ฮัมท่วงทำนองเพลงของชาวเขาขึ้นมา

แสงในยามรุ่งอรุณปกคลุมเทือกเขาที่ขึ้นลงสลับ เสียงเพลงที่หนักแน่นเบิกบานใจดังก้องสะท้อนอยู่ท่ามกลางขุนเขา เหมือนว่าภาพนี้ได้ถูกหยุดนิ่งเอาไว้กลายเป็นนิรันดร์

ผู้เฒ่าผู้หนึ่งที่มานั่งเข้าฌานทุกวัน ตัดฟืนเพียงแค่หาบหนึ่งทุกวัน จากนั้นส่งเสียงร้องเป็นเพลงๆ หนึ่ง ช่างดูเป็นธรรมชาติ ช่างดูอิสระเสรี เหมือนว่าทุกสิ่งทุกอย่างล้วนแล้วแต่อยู่ในป่าแห่งนี้

หลี่ชิเย่เผยรอยยิ้มบางๆ ออกมาเมื่อได้เห็นภาพเช่นนี้แล้ว เขาชื่นชมภาพนี้อย่างเงียบๆ เหมือนหนึ่งกำลังชื่นชมอยู่กับภาพวาดภูเขาและแม่น้ำอย่างนั้น นับเป็นงานศิลปะที่สมบูรณ์แบบชิ้นหนึ่ง

มาวันนี้ หลังจากที่ผู้เฒ่าได้นั่งเข้าฌานเสร็จสิ้นแล้วก็ได้เริ่มตัดฟืน ขณะที่หลี่ชิเย่เองก็เรียกสติกลับจากการเขาฌานเช่นกัน จึงเดินไปตามอารมณ์ดั่งเดินเล่นอยู่ในสวนหลังบ้านของตน เดินไปถึงภายในป่า พบกับผู้เฒ่าที่กำลังตัดฟืนอยู่

“พ่อหนุ่ม วันนี้ประสบความสำเร็จได้ไวนะเนี่ย” หลังจากที่ผู้เฒ่ามองเห็นหลี่ชิเย่แล้วก็หยุดและกล่าวทักทายหลี่ชิเย่

ดูท่าผู้เฒ่าก็รู้ว่าหลี่ชิเย่พักอยู่ที่เขาหงฮวงซาน เพียงแต่ตลอดเวลาที่ผ่านมาไม่ได้รบกวนหลี่ชิเย่เท่านั้น

“พอดีว่างไม่มีอะไรทำ” หลี่ชิเย่ยิ้มๆ สายตาตกไปอยู่ที่ขวานตัดฟืนที่อยู่ในมือของผู้เฒ่า มันเป็นขวานผ่าฟืนที่ธรรมดามากๆ เหมือนว่าทำขึ้นมาจากโลหะโลกมนุษย์

“เป็นขวานที่ดีมากเล่มหนึ่ง” หลี่ชิเย่กล่าวชมขึ้นมาตามอารมณ์

เหอะ เหอะของที่เอาหากิน ผู้เฒ่าหัวเราะและกล่าวว่า “ขัดเกลาทุกวัน มันก็จะคมสักนิดหนึ่ง เวลาตัดผืนก็จะคล่องหน่อย”

“ที่ขัดเกลาไม่ได้มีเพียงขวานเล่มนี้ หลี่ชิเย่ส่ายหน้าหัวเราะ และกล่าวว่า “ที่ขัดเกลายังมีจิตแห่งการบำเพ็ญเพียรดวงหนึ่ง”

เดิมทีผู้เฒ่ากำลังเงื้อขวานขึ้นเพื่อตัดฟืน แต่ว่า พลันที่ได้ยินคำพูดเช่นนี้จากหลี่ชิเย่แล้วก็หยุดลงทันที หยุดการกระทำและมองไปที่หลี่ชิเย่ด้วยความประหลาดใจ และกล่าวว่า “คำพูดนี้ของพ่อหนุ่มนับว่าเป็นคำเตือนที่ล้ำค่ายิ่งนัก”

“แค่พูดออกไปอย่างนั้นเอง” หลี่ชิเย่หัวเราะ และนั่งลงบนกิ่งไม้ของต้นไม้ที่แห้งตายซึ่งยื่นขวางออกมา ท่าทางเอ้อระเหยยิ่งนัก

ผู้เฒ่าก็พลันสนใจขึ้นมาทันที วางขวานที่อยู่ในมือลง และนั่งลงมาเช่นกัน ม้วนบุหรี่ม้วนหนึ่งและสูบไปคำหนึ่งแล้วกล่าวว่า “พ่อหนุ่มพูดออกมาตามอารมณ์ประโยคเดียว ทุกตัวอักษรล้วนเป็นทองพันชั่ง ตาเฒ่าอย่างข้าไม่ค่อยรู้หนังสือ แต่ก็ทราบถึงความหมายของมัน”

“เจ้าน่ะไม่เข้าใจ” หลี่ชิเย่หัวเราะขึ้นมา และกล่าวว่า “นี่เป็นการคุ้นเคยต่อสิ่งนี้อย่างมากของเจ้า”

Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *