Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล 1956 รัศมีศักดิ์สิทธิ์ ข้ายังคงอยู่

Now you are reading Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล Chapter 1956 รัศมีศักดิ์สิทธิ์ ข้ายังคงอยู่ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“แว้งค์” เสียงหนึ่งดังขึ้น ในขณะนี้รัศมีบนตัวของจอมราชันที่ต่อสู้ชี้ขาดกับวัวทรายเริ่มสลัวลง ขณะที่อักขระยันต์แต่ละตัวกลับกลายเป็นสว่างไสวมากขึ้น

ย่อมไม่ต้องสงสัย จอมราชันผู้นี้ได้รับผลกระทบจากวัวทรายเสียแล้ว พลังแห่งศรัทธาได้ส่งผลกระทบโดยตรงต่อจิตแห่งการบำเพ็ญเพียรของเขาแล้ว

กล่าวสำหรับจอมราชันแล้ว ถ้าหากจิตแห่งการบำเพ็ญเพียรถูกสั่นคลอนเมื่อไหร่ล่ะก็ มันหนักหนาสาหัสมากกว่ากายเนื้อถูกทำลายเสียอีก เพราะว่ามันจะฝากเงามืดที่ไม่สามารถลบเลือนได้ตลอดกาลเอาไว้

แต่ทว่า โชคยังดีตรงที่ยามเมื่อรัศมีบนตัวของจอมราชันผู้นี้มืดสลัวลงนั้น ชะตาฟ้าทั้งสามสายที่คอยคุ้มครองเขาอยู่ก็จะส่งประกายเจิดจ้าขึ้นมาโดยพลัน และได้ยินเสียงดัง “แว้งค์” ขึ้นมาภายในระยะเวลาอันสั้น รัศมีบนตัวของจอมราชันพลันสว่างไสวขึ้นมาอีกครั้ง

ย่อมไม่เป็นที่สงสัย ในจังหวะที่กำลังได้รับอันตราย ชะตาฟ้านั้นมีประโยชน์อย่างคาดไม่ถึง มันได้ให้การช่วยเหลืออีกแรงให้กับจอมราชันอีกครั้งหนึ่ง ช่วยรักษาจิตแห่งการบำเพ็ญเพียรของเขาเอาไว้

“แข็งแกร่งเหลือเกิน น่าสยองขวัญมากเหลือเกิน แม้แต่จอมราชันยังได้รับผลกระทบได้” ระดับจอมเทพที่มองออกถึงความลึกซึ้งและลึกลับที่ซ่อนอยู่ถึงกับตกใจเมื่อได้เห็นภาพนี้ จิตแห่งการบำเพ็ญเพียรของจอมราชันเซียนหวังหาใช่ยอดฝีมือทั่วไปสามารถเทียบเคียงได้ จิตแห่งการบำเพ็ญเพียรของพวกเขาเรียกได้ว่ามั่นคงยากจะมีในโลก แต่ยังคงได้รับผลกระทบจากวัวทราย ย่อมสามารถจินตนาการได้ว่า พลังศรัทธาของวัวทรายนั้นสยองขวัญเพียงใดแล้ว

ขณะเดียวกัน ก็ทำให้ระดับจอมเทพต้องอิจฉา เมื่อถึงคราวอันตรายแล้ว ชะตาฟ้ามักจะส่งผลสำคัญอยู่เสมอๆ กระทั่งสามารถช่วยชีวิตเอาไว้ได้ เฉกเช่นจอมราชันผู้นี้ ในจังหวะที่ตกอยู่ในยามคับขัน ชะตาฟ้าได้ช่วยให้เขามั่นในจิตแห่งการบำเพ็ญเพียรเอาไว้

ข้อนี้ ดวงตราสัญลักษณ์ของจอมเทพไม่สามารถเทียบได้เลย แม้จะกล่าวว่าดวงตราสัญลักษณ์ได้สืบทอดพลังสัจธรรมของจอมเทพ และสืบทอดลัคนาของจอมเทพ แต่ อย่างไรเสียก็ไม่สามารถเทียบเคียงกับชะตาฟ้าได้เลย เมื่อเปรียบเทียบกับชะตาฟ้าแล้ว มันคือความบกพร่องโดยกำเนิดของดวงตราสัญลักษณ์เอง ซึ่งช่วงห่างที่ก่อเกิดจากข้อบกพร่องนี้ ใช่ว่าจะชดเชยกันง่ายดายด้วยดวงตราสัญลักษณ์เพียงหนึ่งถึงสองดวงเท่านั้น

พวกจอมราชันเซียนหวังทั้งสี่ของราชันมารเซ่าเจี้ยนที่ต่อสู้ชี้ขาดกับสี่จอมโหดแห่งไกลกันดารนั้นไม่ได้เปรียบแต่อย่างใด กระทั่งมีจอมราชันเซียนหวังที่ตกเป็นรองอยู่ กล่าวได้ว่าไม่เป็นผลดีต่อพวกจอมราชันเซียนหวังของราชันมารเซ่าเจี้ยนอย่างยิ่ง พวกเขาไม่ทันได้แตะต้องแม้แต่ชายเสื้อของหลี่ชิเย่ก็ถูกสยบเสียแล้ว

ผู้คนจำนวนมากถึงกับใจหายใจคว่ำเมื่อได้เห็นภาพนี้แล้ว นี่มันระดับจอมราชันเซียนหวังนะเนี่ย แค่เริ่มต้นออกศึกก็ถูกสยบเสียแล้ว เรียกได้ว่าลางไม่ดีเสียแล้ว ยิ่งไปกว่านั้น ตั้งแต่ต้นจนจบหลี่ชิเย่ยังไม่ได้ลงมือจริงๆ ด้วยซ้ำ

“ฉึก…”เสียงหนึ่งดังขึ้น ในขณะนี้พวกของราชันมารเซ่าเจี้ยนกำลังสู้กับสี่จอมโหดแห่งไกลกันดารไม่สามารถตัดสินแพ้ชนะได้อยู่นั้น ทันใดนั้น ประกายเยือกเย็นสายหนึ่งได้พุ่งเข้าเจาะคอหอยของหลี่ชิเย่ โดยที่ประกายสายนี้มีขนาดเล็กและแหลมคมมาก ทั้งยังรวดเร็วปราศจากผู้เทียบเทียม พลันที่ประกายสายนี้ถูกยิงออกไป เรียกได้ว่าสามารถยิงทะลุทางช้างเผือก อีกทั้งเป็นการโจมตีที่มุ่งถึงชีวิต มันคล้ายดั่งเป็นหางพิษของแมงป่องโหดที่อยู่ในความมืด ถือโอกาสจังหวะที่ฝ่ายตรงข้ามไม่ทันระวังตัวมากที่สุด โจมตีครั้งเดียวถึงตาย

นี่เป็นการลอบจู่โจมครั้งเดียวให้ถึงตาย ต่อให้ระดับจอมเทพที่มีแปดหรือสิบดวงตราสัญลักษณ์ในครอบครอง เมื่อมองเห็นประกายสายนี้ที่ถูกยิงออกมาอย่างรวดเร็ว ถึงกับรูม่านตาหดตัว ประกายโจมตีที่ถึงแก่ชีวิตสายนี้คือการโจมตีระดับเข่นฆ่าเทพอย่างแน่นอน

เสียง “ปุ ปุ ปุ…” ดังขึ้น ประกายขนาดเล็กพลันยิงทะลุช่องว่าง แต่เป็นการยิงทะลุผ่านมิติแล้วมิติเล่า ทิ้งไว้เพียงรูเข็มขนาดเล็ก เมื่อประกายขนาดเล็กนี้ยิงไปถึงคอหอยของหลี่ชิเย่จริงๆ นั้น อานุภาพของมันคงเหลืออยู่ในระดับที่อ่อนมาก แค่ยื่นนิ้วออกไปหนีบเบาๆ ก็หนีบติดมือได้แล้ว

หากไม่ใช่ระดับจอมเทพจะไม่สามารถเข้าใจถึงการโจมตีในครั้งนี้ ขณะที่ระดับจอมเทพเข้าใจถึงความลึกซึ้งพิสดารของมัน เนื่องจากหลี่ชิเย่ไม่ได้อยู่ตรงนี้แล้ว การลอบโจมตีในครั้งนี้ต้องทะลุผ่านมิติจำนวนนับไม่ถ้วนไปแล้วจึงสามารถถึงมิติที่หลี่ชิเย่อยู่จริงๆ

นี่คือวิชาช่องว่างผิดที่ แม้ดูเหมือนหลี่ชิเย่จะอยู่ใกล้แค่นี้เอง แต่กลับไม่รู้ว่าความจริงแล้ว มันมีการผิดที่ไปแล้วไม่รู้กี่ช่องในฉับพลัน ต่อให้การโจมตีครั้งนี้ทรงพลังเพียงใดก็ตาม จำเป็นจะต้องทะลุผ่านช่องว่างแล้วช่องว่างเล่าไปแล้วจึงสามารถเข้าถึงตัวของเขาได้

“สุนัขย่อมแก้นิสัยไม่ให้กินมูลได้” หลี่ชิเย่หนีบประกายนั้นด้วยท่าทีเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น กล่าวเรียบๆ ว่า “โจรอย่างไรก็ยังคงเป็นโจร ต่อให้กลายเป็นจอมเทพที่มีดวงตราสัญลักษณ์สิบเอ็ดดวง ก็ยังคงเป็นโจรอยู่ดี! สุนัขตัวหนึ่งต่อให้กลายเป็นสุนัขเทพไปแล้วก็ยังคงกินมูลเหมือนเดิม คำพูดประโยคนี้หมายถึงเจ้า!”

ผู้ที่ลงมือลอบโจมตีก็คือจอมเทพมังกรหลวงนั่นเอง ในเวลานี้หลี่ชิเย่ได้เปรียบตัวเขาเป็นสุนัขตรงๆ ทำให้สีหน้าของเขาดูไม่จืดถึงขีดสุด

เขาต้องการทดลองลอบโจมตีหลี่ชิเย่ในจังหวะที่ไม่ทันระวังตัวมากที่สุด ไม่นึกเลยว่าการลอบโจมตีไม่ประสบผลสำเร็จ ความจริงแล้วเขาไม่ได้คาดหวังว่าจะมีโอกาสสำเร็จสักกี่ส่วน เพียงต้องการทดสอบดูเท่านั้นเอง

“คนบางคนไม่สามารถเป็นจอมราชันเซียนหวังได้ตลอดกาล นั่นมันมีเหตุผลอยู่แล้ว จอมราชันโหดร้ายทารุณได้ ไร้ความปราณีได้ แต่ต่ำช้าไม่ได้!” หลี่ชิเย่โยนประกายที่อยู่ในมือทิ้งไป ดวงตาทั้งสองส่งประกายออกมา บังเกิดตวามคิดขึ้นมา

“แว้งค์ แว้งค์ แว้งค์…” ทันใดนั้นเอง ทั่วทั้งไกลกันดารปรากฎประกายศักดิ์สิทธิ์ลอยขี้นมา โดยประกายศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้ได้ลอยขึ้นไปรวมตัวอยู่บนท้องฟ้า

“แว้งค์ แว้งค์ แว้งค์” เสียงที่เบามากดังขึ้นมาเป็นระลอก ประกายศักดิ์สิทธิ์มีจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ ภายในระยะเวลาอันสั้น ประกายศักดิ์สิทธิ์จำนวนนับไม่ถ้วนได้รวมตัวกัน เหมือนเป็นน้ำในคลองที่ไหลรวมกันจนกลายเป็นมหาสมุทรภายในระยะเวลาอันสั้น ตลอดขั้นตอนนั้นเป็นไปอย่างยิ่งใหญ่และน่าเกรงขาม

ควรจะทราบว่า ทั่วทั้งไกลกันดารมีสีเทาเข้มและความตายเป็นหลัก ที่ตรงนี้เคยถูกเก็บเกี่ยวมายุคแล้วยุคเล่า เลือดสดๆ ในแต่ละยุคสมัยได้ย้อมพื้นแผ่นดินจนแดงฉานไปทุกตารางนิ้ว แม้แต่บนท้องฟ้าก็ตลบอบอวลไปด้วยหมอกเลือกที่แห้งกรังไปแล้ว

แต่ทว่า ยามที่ประกายศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้ปรากฏขึ้น เหมือนมอบความหวังที่ไม่มีสิ้นสุดให้กับไกลกันดารทั้งหมด โดยที่ประกายศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้เหมือนถูกฝังลึกลงไปในส่วนที่ลึกที่สุดของยุคสมัยนี้ มันหมายรวมถึงการดิ้นรนขัดขืนของสรรพสิ่งมีชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วนของยุคสมัย มันแบกรับความเฝ้าปรารถนาของสรรพสิ่งมีชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วนของยุคสมัย ประกายศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้เคยนำมาซึ่งแสงสว่างให้กับยุคสมัยนั้นทั้งยุค นำพาความหวังให้กับยุคสมัยทั้งยุค

ยามที่ประกายศักดิ์สิทธิ์เช่นนี้รวมตัวกันนั้น ทั่วทั้งไกลกันดารพลันเงียบสงัดลงทันที วิญญาณจำนวนนับไม่ถ้วนที่เคยร้องด้วยความโศกเศร้า เหล่าวิญญาณที่เคียดแค้นซี่งวนเวียนไม่ไปไหนเป็นเวลานานท่ามกลางสายน้ำแห่งกาลเวลาต่างทยอยกันสงบลง ประกายศักดิ์สิทธิ์ได้ปลอบประโลมความทุกข์ของพวกเขาจนสิ้น ประกายศักดิ์สิทธิ์ไม่เพียงส่องสว่างไปทั่วยุคสมัย ขณะเดียวกันยังได้ปลอบประโลมทั่วทั้งยุคสมัย ให้ผู้ที่เศร้าเสียใจไม่เจ็บปวดอีกต่อไป

ยามที่ประกายศักดิ์สิทธิ์เช่นนี้รวมตัวอยู่บนท้องฟ้านั้น ลึกลงไปในไกลกันดาร ผู้ยิ่งใหญ่แต่ละคนที่หลับไหลอยู่ในความมืดถูกทำให้ตกใจตื่น เมื่อพวกเขาถูกทำให้ตกใจตื่นขึ้นมาแล้ว มองเห็นประกายศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่บนท้องฟ้า พวกเขาถึงกับตกใจหวาดหวั่นพรั่นพรึง ม่านตาถึงกับหดตัว

เนื่องจากพวกเขารู้ว่าประกายศักดิ์สิทธิ์ลักษณะเช่นนี้เป็นของผู้ใด ประกายศักดิ์สิทธิ์ลักษณะเช่นนี้เกือบทำให้ความมืดยุคของพวกเขาต้องสิ้นสุดลง แสงสว่างเกือบจะได้ส่องสว่างทั่วหล้าอย่างเสมอภาคได้แล้ว

ภายหลังมีการล้มเหลวเกิดขึ้น ประกายศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมดถูกสยบ และฝังลึกลงไปในส่วนที่ลึกที่สุดของใต้ดิน ไม่สามารถปรากฏออกมาได้ตลอดกาล แต่มาวันนี้ประกายศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้ได้รวมตัวกันอีกครั้ง ซึ่งสร้างความหวาดกลัวโดยสัญชาตญาณขึ้นภายในใจของบรรดาผู้ยิ่งใหญ่ที่อยู่ในความมืด

“แว้งค์” ทันใดนั้น ประกายศักดิ์สิทธิ์ได้รวมตัวอยู่บนร่างของหลี่ชิเย่ทั้งหมด พลันทำให้หลี่ชิเย่ได้รับเอาประกายศักดิ์สิทธิ์ที่ไม่มีสิ้นสุดเข้าไปในร่างกายทั้งหมด

ได้ยินเสียงดัง “ตูม” ด้านหลังของหลี่ชิเย่ปรากฎปีกคู่หนึ่งกางออกมา ปีกคู่นี้มีสีขาวดั่งหิมะศักดิ์สิทธิ์และบริสุทธิ์ โดยที่ปีกคู่นี้ไม่มีคราบสกปรกแม้แต่น้อย เหมือนว่ามันคือสิ่งที่ศักดิ์สิทธิ์และบริสุทธิ์ที่สุดในโลก

“ปุ” เสียงหนึ่งดังขึ้น ปีกที่ศักดิ์สิทธิ์และบริสุทธิ์คู่นี้ทำลายช่องว่างจนแหลกละเอียดอย่างง่ายดาย หลี่ชิเย่ก้าวข้ามมิติออกมาได้เพียงก้าวเดียว

นาทีนี้ ตัวของหลี่ชิเย่กลับกลายเป็นผู้ที่ศักดิ์สิทธิ์และบริสุทธิ์สูงสุด คราบสกปรกใดๆ ก็ไม่สามารถทำให้แปดเปื้อนได้ ภูตผีปีศาจใดๆ ล้วนแล้วแต่หลีกลี้หนีหายไปไกล

นาทีนี้ หลี่ชิเย่เสมือนหนึ่งกลายเป็นผู้บงการของความศักดิ์สิทธิ์ เขาคือตัวเทนของความสว่างบนโลกมนุษย์ เขาคือตัวแทนแห่งความหวัง!

ไม่รู้ว่ามีผู้คนจำนวนเท่าไรต้องคุกเขาลงกราบกับพื้น เมื่อมองเห็นลักษณะเช่นนี้ของหลี่ชิเย่ บังเกิดจิตที่อยากจะกราบไหว้ขึ้นมา นี่คือผู้ศักดิ์สิทธิ์สูงสุดแห่งยุค เป็นตัวแทนของความสว่างทุกสิ่งบนโลกมนุษย์ ทำให้ความมืดไม่มีที่ที่จะหลบซ่อนตัวได้!

“ตั้งค่ายกล…” สีหน้าของจอมเทพมังกรหลวงเปลี่ยนไปมากทีเดียวเมื่อได้เห็นภาพนี้แล้ว แม้ว่าเขาจะเป็นจอมเทพที่มีดวงตราสัญลักษณ์สิบเอ็ดดวง เมื่อมองเห็นพลังของประกายศักดิ์สิทธิ์เช่นนี้แล้วก็ให้รู้สึกเย็นวาบภายในใจ เนื่องจากมันเป็นพลังที่คนอย่างพวกเขาหวาดกลัวมากที่สุด เรียกได้ว่าเป็นคู่ปรับของพวกเขาเลยทีเดียว

“ตูม…ตูม…ตูม…” เสียงดังสนั่นดังขึ้น ในเสี้ยววินาทีนี้เอง พวกของจอมเทพมังกรหลวงที่เป็นจอมเทพทั้งเก้าคนพลันปรากฎดวงตราสัญลักษณ์แต่ละดวงที่พุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า กลิ่นอายขมุกขมัวได้ทิ้งตัวลงมา เหมือนว่าต้องการให้โลกทั้งโลกกลายเป็นทะเลขมุกขมัวอย่างนั้น

เกรงว่าคงมีไม่กี่คนที่ชั่วชีวิตของพวกเขาสามารถมองเห็นภาพของจอมเทพเก้าคนลงมือพร้อมๆ กัน มองเห็นภาพของดวงตราสัญลักษณ์แต่ละดวงที่พุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า ฟ้าดินกลับกลายเป็นทะเลขมุกขมัว ช่างเป็นภาพที่อลังการเหลือเกิน

“ปัง” ในเวลานี้ อัศวินมังกรหลวงได้ตั้งค่ายกลเรียบร้อยแล้ว พวกเขารู้จักกันมาชั่วชีวิต ผ่านการสู้รบเคียงบ่าเคียงไหล่นับครั้งไม่ถ้วน เรียกได้ว่ารู้ใจกันอย่างดี การลงมือและร่วมมือสามารถทำได้อย่างไม่มีที่ติในฉับพลันทันที

ครั้นได้ยินเสียง “ปัง” ดังขึ้น มองเห็นดวงตราสัญลักษณ์แต่ละดวงของพวกเขาได้ครอบลงบนค่ายกล ชั่วพริบตาเดียวปรากฏประกายที่กระจายออกมาทุกทิศทุกทาง ในเวลานี้ พวกของจอมเทพมังกรหลวงที่เป็นจอมเทพทั้งเก้าคนได้หายตัวไป ปรากฏเป็นสัตว์ประหลาดขนาดยักษ์ขึ้นมาแทน ต่อหน้าผู้คนทุกคน

เจ้าสัตว์ประหลาดตัวนี้ดูไปแล้วมีส่วนคล้ายแมลงเต่าทอง แต่ก็เหมือนแมลงปีกแข็งจำพวกด้วง บนหลังมีปีกที่แข็งและหนา ด้วยปีกที่หนาแบบนี้เหมือนหนึ่งสามารถแบกหรือยกเอาท้องฟ้าขึ้นไปได้อย่างนั้น

เสียง “ตูม ตูม ตูม” ดังสนั่นหวั่นไหว ยามที่เจ้าสัตว์ประหลาดที่เหมือนเต่าทองและคล้ายพวกด้วงตัวนี้มันคลานไปข้างหน้าสามารถผลักภูเขาศักดิ์สิทธิ์แต่ละลูกให้พลิกคล่ำลงได้อย่างง่ายดาย กระทั่งแค่กระดกเบาๆ ทีหนึ่งก็สามารถงัดเอาดวงดาวแต่ละดวงลอยไปยังจักรวาล

หลายคนรู้สึกงงงัน และรู้สึกขวัญอ่อนในใจเมื่อเห็นเต่าทองที่สยองขวัญเพียงนี้

“แมลงไถคราดสวรรค์อัศวินมังกรหลวง” ระดับจอมเทพผู้หนึ่งได้พึมพำออกมาว่า “ครั้งนั้น พวกเขาเคยอาศัยค่ายกลเช่นนี้จัดการขุดไถสายสำนักราชันเซียนแห่งหนึ่งจนล่มสลายรวดเดียว โดยที่รากฐานที่สร้างขึ้นโดยจอมราชันที่มีอยู่เพียงองค์เดียวของสายสำนักราชันเซียนแห่งนี้ ถูกพวกเขางัดลอยขึ้นไปบนท้องฟ้า”

แมลงไถคราดสวรรค์คือหนึ่งในท่าไม้ตายของอัศวินมังกรหลวง พวกเขาได้อาศัยสุดยอดเคล็ดวิชาสูงสุดสร้างค่ายกลเช่นนี้ขึ้นมา โดยพึ่งพาอาศัยดวงตราสัญลักษณ์ของพวกเขา ทำให้ค่ายกลนี้มีพลังจากดวงตราสัญลักษณ์ทั้งหมดของพวกเขา

อย่างไรก็ตาม การป้องกันของแมลงไถคราดสวรรค์มีความแข็งแกร่งยิ่งนัก เว้นแต่จะโจมตีทะลุผ่านดวงตราสัญลักษณ์ของพวกจอมเทพมังกรหลวงแล้ว มิฉะนั้นก็ยากที่จะตีแตกแนวป้องกันของแมลงไถคราดสวรรค์ตัวนี้ไปได้

ลองนึกภาพดู คิดจะโจมตีให้ทะลุผ่านดวงตราสัญลักษณ์จากจอมเทพเก้าคนมันง่ายดายเสียที่ไหน กล่าวสำหรับจอมเทพแล้ว หากสามารถโจมตีจนทะลุผ่านดวงตราสัญลักษณ์ของพวกเขาได้ เท่ากับว่าเกือบจะสังหารพวกเขาได้แล้ว

Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *