Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล 2443 จางเจี้ยนชวน

Now you are reading Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล Chapter 2443 จางเจี้ยนชวน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

เวลานี้ เทพวายุอดที่จะจ้องมองหลี่ชิเย่อีกครั้งหนึ่ง เพราะอะไรฮ่องเต้ที่ไม่เป็นโล้เป็นพายเช่นนี้ จู่ๆ จึงได้ให้ความสนใจในตำราโบราณและข่าวลับมากมายเช่นนี้กะทันหันกันเล่า

แน่นอน เทพวายุขี้คร้านจะไปสืบสาว โดยเขามองว่าหลี่ชิเย่ที่อยู่ในฐานะฮ่องเต้ที่สิ้นชาติแล้วในเวลานี้ไม่สามารถทำอะไรได้อีกแล้ว ยิ่งกว่านั้น การที่เขาช่วยหลี่ชิเย่ก็ถือว่าได้ชดใช้บุญคุณที่ฮ่องแต้ไท่ชิงได้ให้การส่งเสริมเขาในครั้งนั้น

“เช่นนั้นแล้วเจ้าก็เดินดูไปก็แล้วกัน ข้าจะสั่งการให้ศิษย์มาดูแลเจ้า” เทพวายุหันหลังจากไปทันที

“เรียกนังหนูคนนั้นของพวกเจ้ามาอุ่นเตียงให้กับข้าก็แล้วกัน” จังหวะที่เทพวายุหันหลังจากไปนั้น หลี่ชิเย่ได้พูดเอ้อระเหยขึ้นมา

คำพูดของหลี่ชิเย่พลันทำให้เทพวายุต้องหยุดชะงัก เจ้าหนูสารเลวนี้ไม่รู้จักกาลเทศะจริงๆ ในเวลาเช่นนี้ยังคงคิดแต่เรื่องบ้าๆ บอๆ เช่นนี้

สุดท้าย เทพวายุไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก เพียงส่งเสียงฮึเย็นชาทีหนึ่ง แล้วหันหลังจากไป

หลี่ชิเย่ยิ้มๆ และไม่ได้ใส่ใจ เขาแค่พูดไปตามอารมณ์เท่านั้นเอง ส่วนธิดาศักดิ์สิทธิ์เฟยฮวาจะยอมมาปรนนิบัติหรือไม่นั้น เขาไม่เคยนำมาใส่ใจอยู่แล้ว

ตำราสั่งสมเป็นหมื่นพัน หลี่ชิเย่เดินท่องอยู่ท่ามกลางทะเลตำราแห่งนี้ เดินดูตำราที่มีจำนวนนับไม่ถ้วนผ่านๆ เมื่อมองเห็นที่รู้สึกน่าสนใจโดยบังเอิญก็จะหยิบเอามา เพื่อรอการอ่าน

กล่าวสำหรับหลี่ชิเย่แล้ว เขาไม่ได้มีความสนใจแม้แต่น้อยสำหรับบรรดาเคล็ดวิชาและเคล็ดลับของสำนักเสินสิงเหมินนั่น เขาไม่ได้ขาดแคลนเคล็ดวิชาหรือเคล็ดลับอะไรเหล่านี้ สิ่งที่เขารู้สึกสนใจก็คือบันทึกที่เกี่ยวกับแดนลัทธิราชัน หรือแดนสามเซียน กล่าวสำหรับเขาแล้ว บรรดาความลับและเรื่องราวที่มีหลักฐานยืนยันเหล่านี้จึงมีมูลค่าที่แท้จริง และเป็นสิ่งที่ใช้การได้

หลี่ชิเย่คัดไปเลือกไปได้ตำรามาไม่น้อย ซึ่งครอบคลุมกว้างมากมีทุกสิ่งทุกอย่าง สุดท้าย เขาได้กลับไปนั่งที่โต๊ะหินนั่น พลิกอ่านตำราเหล่านั้นอย่างละเอียด

กล่าวสำหรับคนอื่นแล้ว บรรดาตำราประวัติศาสตร์และเรื่องลับนั้น เป็นตำราที่จืดชืดน่าเบื่ออย่างยิ่ง ในสำนักเสินสิงเหมินมีศิษย์ไม่กี่คนที่ยินดีไปพลิกอ่านมัน แต่หลี่ชิเย่กลับอ่านอย่างออกรสออกชาติ ที่สำคัญยิ่งไปกว่านั้นก็คือ สิ่งที่คนอื่นมองว่าเรื่องราวที่เป็นความลับและข่าวลือที่ไม่ได้มีการบันทึกอย่างเป็นทางการและมีน้อยคนที่รู้ ดูแล้วไม่เห็นมีอะไรนั้น หลี่ชิเย่กลับสามารถอาศัยตัวอักษรเพียงไม่กี่คำนำมาวิเคราะห์ออกมาเป็นข้อมูลปริมาณมหาศาล สามารถกรองเอาเนื้อหาที่ผู้อื่นไม่สามารถจินตนาการได้

นี่แหละคือจุดประสงค์การมาที่สำนักเสินสิงเหมินของหลี่ชิเย่ สำหรับสิ่งของอื่นๆ นั้นไม่เข้าตาของเขาอยู่แล้ว มิฉะนั้นล่ะก็ ขณะอยู่ที่คลังสมบัติของราชวงศ์โต่วเซิ่นเขาก็คงไม่ถึงกับขี้คร้านจะไปเลือกเอาของวิเศษมาแม้แต่ชิ้นเดียว

ในตำราปราศจากวันเดือน ไม่รู้ว่าเวลาได้ผ่านไปนานเท่าไรแล้ว หลี่ชิเย่จึงได้ค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมา ในเวลานี้ข้างกายของเขาได้มีคนยืนอยู่คนหนึ่งแล้ว เป็นชายหนุ่มคนหนึ่ง

ชายหนุ่มผู้นี้สวมชุดที่ตัดมาจากผ้าเก๋อ รูปร่างนับว่าสูงใหญ่ ถ้าหากจะบอกว่าชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้มีจุดเด่นอะไรเป็นพิเศษ นั่นก็คือไร้จุดเด่น เนื่องจากชายหนุ่มผู้นี้เรียกได้ว่าธรรมดาเหลือเกิน ธรรมดาจนหลังจากมองหน้าเขาทีหนึ่งแล้วก็จะลืมหน้าเขาไปเลย ถ้าหากจับตัวเขาปะปนรวมเข้ากับคลื่นมนุษย์ละก็ เขาก็จะถูกกลมกลืนไปกับคลื่นมนุษย์โดยที่ไม่มีใครไปมองเขามากกว่าครั้งหนึ่ง

อะแอม…เวลานี้ชายหนุ่มได้ส่งเสียงไอขึ้นมาคำหนึ่ง เมื่อเห็นหลี่ชิเย่ได้เงยหน้าขึ้นมา

ความจริงเขาได้มาถึงนานแล้ว เพียงแต่เห็นว่าหลี่ชิเย่กำลังจมปลักอยู่กับทะเลตำราอยู่ตลอดจึงไม่กล้าไปรบกวนเท่านั้นเอง

“ฝ่า ฝ่าบาท…” หลังจากที่ชายหนุ่มได้ส่งเสียงไอแห้งๆ แล้ว ทำท่าลังเลนิดหนึ่ง สุดท้ายยังคงเรียกคำว่า ‘ฝ่าบาท’ สองคำนี้ออกมา เพื่อเป็นการแสดงถึงให้ความเคารพ

“ข้าน้อย ข้าน้อยรับคำสั่งจากปรมาจารย์มาดูแลเรื่องความเป็นอยู่และอาหารการกินของฝ่าบาท” ชายหนุ่มผู้นี้ได้กล่าวขึ้นพร้อมกับก้มศีรษะให้กับหลี่ชิเย่

ชายหนุ่มผู้นี้ก็รู้ว่าหลี่ชิเย่ที่อยู่ตรงหน้าคือใคร เขาก็คือฮ่องเต้ของราชวงศ์โต่วเซิ่น เวลานี้คือฮ่องเต้ที่สิ้นชาติไปแล้ว!

ชายหนุ่มผู้นี้ก็เคยได้ยินเรื่องราวที่เกี่ยวกับหลี่ชิเย่มาไม่น้อย ฮ่องเต้องค์ใหม่มั่วโลกีย์ไร้คุณธรรมเป็นเรื่องที่รับรู้กันทั่วหล้า แรกทีเดียวชายหนุ่มผู้นี้ยังเข้าในว่าฮ่องเต้องค์ใหม่จะต้องมีหน้าตาที่อัปลักษณ์และไร้ความสามารถคนหนึ่ง เวลานี้เมื่อได้มองเห็นตัวเขาอย่างแท้จริงแล้ว ดูเหมือนว่าจะแตกต่างกับลักษณะที่อยู่ในจินตนาการของตน

“ทำไมรึ นังหนูคนนั้นของสำนักเสินสิงเหมินพวกเจ้าไม่ได้มารึ?” หลี่ชิเย่กล่าวและจ้องหน้าชายหนุ่มทีหนึ่ง

“เอิกกก ไม่ทราบ ไม่ทราบฝ่าบาทหมายถึงใครเล่า?” ชายหนุ่มผู้นี้ยังฟังไม่เข้าใจถึงคำพูดของหลี่ชิเย่

“นางก็คือธิดาศักดิ์สิทธิ์เฟยฮวาอะไรนั่นของพวกเจ้า” หลี่ชิเย่โยนตำราที่อยู่ในมือไปตามอารมณ์ และยิ้มกล่าวขึ้น

เอิกกก…ชายหนุ่มผู้นี้หัวเราะแห้งๆ ทีหนึ่ง ได้แต่บอกว่า ”ศิษย์น้องลู่ปิงกำลังบำเพ็ญเพียงอยู่นอกสำนัก ยังไม่ได้เดินทางกลับสำนัก ดังนั้น ท่านปรมาจารย์จึงส่งศิษย์มา”

“การพูดปดต่อหน้าข้าใช่เป็นเรื่องดี” ท่าทีของหลี่ชิเย่เอ้อระเหยเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ยิ้มนิดหนึ่งและกล่าวว่า “ดูท่าตาเฒ่าฟงก็เสียดายที่จะให้นางมาล้างเท้าอุ่นเตียงให้กับข้า เอาเถอะ ข้าได้ให้โอกาสไปแล้ว ต่อไปอย่าได้มาขอร้องข้าก็แล้วกัน”

ชายหนุ่มผู้นี้ตะลึงนิดหนึ่งถึงกับพูดอะไรไม่ออกในเวลานี้ เขาได้ยินเรื่องมั่วโลกีย์ของฮ่องเต้องค์ใหม่มานานแล้ว ไม่นึกเลยว่าเขาถึงกับเป็นคนพูดตรงขนาดนี้ ถึงกับพูดออกมาตรงๆ ว่าให้ศิษย์น้องลู่ปิงของพวกเขามาอุ่นเตียงให้เขา

เรื่องราวเกี่ยวกับศิษย์น้องต้องแต่งเข้าวังเขาก็ได้ยินมาเช่นกัน เพียงแต่นั่นมันเป็นเรื่องในอดีตแล้ว ฮ่องเต้ในเวลานี้ได้กลายเป็นฮ่องเต้สิ้นชาติไปแล้ว

สมควรทราบว่า ศิษย์น้องลู่ปิงของพวกเขาคือหัวแก้วหัวแหวนของสำนักเสินสิงเหมิน ธิดาศักดิ์สิทธิ์เฟยฮวาที่มีชื่อเสียงโด่งดัง ได้รับความรักและให้ความสำคัญจากเหล่าบรรพบุรุษเป็นยิ่งนัก ไม่รู้ว่ามีชายหนุ่มที่มีความฉลาดเป็นเลิศจำนวนเท่าไรในระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่ขอแต่งงานกับศิษย์น้องของพวกเขา

เวลานี้หากจะบอกว่าให้ศิษย์น้องของพวกเขาแต่งงานกับฮ่องเต้สิ้นชาติคนหนึ่ง เกรงว่าลำพังอาศัยฐานะที่สูงส่งของศิษย์น้อง ยังไม่ต้องพูดถึงว่าศิษย์น้องเห็นด้วยหรือไม่ เกรงว่าบรรดาบรรพบุรุษภายในสำนักก็ไม่เห็นด้วย

“ฝ่าบาท เกี่ยวกับความเป็นอยู่ของท่าน ท่านได้ตระเตรียมเรียบร้อยแล้ว” ชายหนุ่มผู้นี้ไม่กล้าเอ่ยถึงเรื่องนี้ให้มาก จึงรีบเปลี่ยนหัวข้อสนทนา

“เจ้ามีชื่อว่าอะไร?” หลี่ชิเย่ไม่รีบร้อนแม้แต่น้อย ตามอารมณ์ยิ่งนัก

“ข้าน้อยจางเจี้ยนชวน” ชายหนุ่มผู้นี้รีบตอบตามความเป็นจริง

ชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้ามีชื่อว่าจางเจี้ยนชวน เป็นศิษย์คนรองของเจ้าสำนักเสินสิงเหมิน กำลังความสามารถนับว่าแข็งแกร่งเอาการอยู่ การที่เทพวายุให้เขามาดูแลปรนนิบัติหลี่ชิเย่นั้นก็นับว่าได้ทำเต็มที่แล้ว ให้ศิษย์ที่มีศักยภาพเช่นนี้มาอยู่ข้างกายหลี่ชิเย่ ถือเป็นการรักษาความปลอดภัยให้กับหลี่ชิเย่

ความจริงแล้วจางเจี้ยนชวนในฐานะศิษย์คนรองของเจ้าสำนักเสินสิงเหมินมีฐานะในสำนักเสินสิงเหมินไม่ธรรมดา อีกทั้งพรสวรรค์ของเขาก็สูงมาก เป็นกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่มีกำลังความสามารถสูงมากคนหนึ่ง

หากเปลี่ยนเป็นคนอื่นต้องบังเกิดความไม่สบายใจไม่มากก็น้อยแน่ เมื่อถูกเทพวายุใช้ให้มารับใช้ฮ่องเต้สิ้นชาติคนหนึ่ง จะอย่างไรเสียฐานะในเวลานี้ของหลี่ชิเย่ไม่คู่ควรจะกล่าวถึงอีกแล้ว ยังต้องมาถูกเขาเรียกใช้ดั่งวัวดั่งควาย กล่าวสำหรับศิษย์ที่มีศักยภาพคนหนึ่งแล้ว ต้องไม่สบายใจอย่างแน่นอน

ขณะที่จิตใจของจางเจี้ยนชวนนับว่าดีมาก เรื่องที่เทพวายุสั่งการมาเขาได้ทำให้ดีอย่างซื่อสัตย์ เมื่อถูกส่งให้มาเป็นคนรับใช้อยู่ข้างกายหลี่ชิเย่ เขาก็ได้วางท่าทีของตนเองไว้ต่ำมาก ดังนั้น เขาจึงได้เรียกหลี่ชิเย่ว่า ‘ฝ่าบาท’ ด้วยความเคารพ

หากเปลี่ยนเป็นคนอื่น เกรงว่าคงไม่ยอมเรียกหลี่ชิเย่ด้วยความเคารพว่า ‘ฝ่าบาท’ เช่นนี้ จะอย่างไรเสียเขาก็คือฮ่องเต้ที่สิ้นชาติไปแล้ว ยังจะมีสักกี่คนที่ยอมนำเขามาใส่ใจเล่า

“เจ้าเป็นผู้ที่แฝงตัวคอยสืบข่าวน่ะสิ” หลี่ชิเย่พูดขึ้นมาตามอารมณ์

“ฝ่าบาท…” จางเจี้ยนชวนรู้สึกตระหนกกับคำพูดของหลี่ชิเย่ยิ่งนัก เนื่องจากหลี่ชิเย่พูดออกมาตามอารมณ์ก็รู้ถึงฐานะหรืออาชีพของเขาได้แล้ว

“ฝ่าบาท เหตุ เหตุ เหตุใดจึงกล่าวเช่นนี้?” จางเจี้ยนชวนที่ถูกทำให้ตกใจกล่าวและยิ้มแห้งๆ ทีหนึ่ง

“หน้าตาออกแนวมนุษย์ปุถุชนธรรมดาทั่วไป ยังจะมีหน้าตาที่เหมาะจะไปผู้แฝงตัวได้เหมาะสมกว่านี้อีก คนแบบนี้ชำนาญเรื่องการซ่อนเร้นฐานะและร่องรอยของตนที่สุด” หลี่ชิเย่กล่าวเรียบเฉยว่า “ถ้าหากผู้บำเพ็ญตนที่มีหน้าตาเช่นมนุษย์ปุถุชนธรรมดาแล้ว ไม่ใช่ไก่อ่อน แต่ก็ไม่ใช่ประเภทปราศจากผู้ต่อกร ก็ต้องเป็นพวกแฝงตัว!”

จางเจี้ยนชวนต้องตะลึงนิดหนึ่งเมื่อได้ยินคำพูดเช่นนี้ของเขา เป็นความจริงทที่เขาอยู่ในสายข่าวกรอง ทั้งยังเป็นกลุ่มคนรุ่นใหม่ผู้รับผิดชอบในด้านเครือข่ายข่าวกรองของสำนักเสินสิงเหมินในปัจจุบัน

ศิษย์สำนักเสินสิงเหมินในยุคนี้น้อยคนนักที่ยินดีไปทำเรื่องของการสืบข่าว และขุดคุ้ยเรื่องความลับที่เป็นงานยากลำบากนี้อีกแล้ว กล่าวสำหรับศิษย์จำนวนมากแล้ว ไม่ก็รั้งอยู่ภายในสำนัก่ขยันหมั่นฝึกอย่างหนัก ไม่ก็ออกไปสร้างผลงานภายนอกสำนัก นี่แหละคืออำนาจ มีเพียงฝึกเคล็ดวิชาให้มากยิ่งขึ้น เพื่อทำให้ตนเองนั้นมีความแข็งแกร่งมากขึ้น จึงจะเป็นที่ที่ผู้บำเพ็ญตนเสาะแสวงหา

เนื่องด้วยเหตุนี้เอง การดำรงอยู่ในสำนักเสินสิงเหมินของจางเจี้ยนชวนจึงดูจะเป็นเอกลักษณะเฉพาะ เขาสนใจงานด้านการสืบหาข่าวมาตั้งแต่เด็ก ซึ่งก็ส่งผลให้เขามีความโดดเด่นมากเป็นพิเศษตั้งแต่อายุยังน้อย และสำนักเสินสิงเหมินก็มอบหมายให้เขารับผิดชอบระบบเครือข่ายด้านข่าวกรองของสำนักเสินสิงเหมินทั้งหมด ดังนั้น ในแดนลัทธิราชันมีข่าวล่าสุดอะไรเกิดขึ้น จางเจี้ยนชวนก็จะรับรู้ข่าวนั้นทันทีก่อนศิษย์คนอื่นๆ ในสำนักเสินสิงเหมินอยู่เสมอๆ

คำบอกเล่าของหลี่ชิเย่ทำให้จางเจี้ยนชวนตกตะลึงเป็นอันมาก เนื่องจากเวลานี้หลี่ชิเย่คนนี้กับหลี่ชิเย่คนที่เขารู้มาต่างกันโดยสิ้นเชิง

มั่วโลกีย์ไร้คุณธรรม เป็นภาพพจน์ที่หนักที่สุดสำหรับฮ่องเต้องค์ใหม่ ทุกคนต่างรู้ดีว่า เพื่อผู้หญิงแล้ว เขาสามารถส่งทัพใหญ่ไปโจมตีตระกูลขุนนางโบราณปิงฉือ โดยเฉพาะอย่างยิ่งตัวเขาที่อยู่ในฐานะฮ่องเต้ ถึงกับไม่เสียดายในอันที่จะสั่งการให้ห้ากองทัพใหญ่ไปแย่งชิงสาวงาม

ขณะเดียวกัน จางเจี้ยนชวนได้รับข่าวสารจากหลายๆ แหล่งทำให้ทราบมาว่า ขณะที่ฮ่องเต้องค์ใหม่เผชิญกับการล้อมเมืองของกองทัพกบฏ เขาไม่ต่อต้านเลยแม้แต่น้อย แผ่นดินทั้งหมดล่มสลายไปในชั่วพริบตา

ประมวลจากข่าวสารหลายๆ ประเภท ภาพพจน์ของฮ่องเต้องค์ใหม่ต่อจางเจี้ยนชวนคืออ่อนแอไร้ความสามารถ หรือจะกล่าวแบบไม่เกรงใจก็คือ เป็นลูกที่สืบทอดสมบัติต่อจากบรรพบุรุษที่ไม่เป็นโล้เป็นพาย

แต่ว่า ทันทีที่ได้สัมผัส จางเจี้ยนชวนรู้สึกได้ทันทีว่าฮ่องเต้องค์ใหม่ร้ายกาจเป็นพิเศษ ไม่เหมือนกับที่เล่าลือกันเลย

ในฐานะที่เป็นนับสืบคนหนึ่ง ความรู้สึกที่ไวพลันจับสัญญาณที่แตกต่างได้ทันที เหมือนว่าสิ่งที่ฮ่องเต้องค์ใหม่คิดนั้นแตกต่างกับที่เขาคิดโดยสิ้นเชิง ในนั้นอาจมีข้อมูลที่เขามองข้ามไป และหรือมีความลับที่ไม่มีใครรู้ซ่อนอยู่

“ฮ่องเต้ทรงปรีชา” เมื่อจางเจี้ยนชวนได้สติกลับมารีบโค้งคำนับ และกล่าวว่า “ฮ่องเต้มีสายตาแหลมคม ทำให้ผู้น้อยสยบทั้งกายและใจ”

“เอาล่ะ อย่าทำประจบสอพรอเลย” หลี่ชิเย่โบกมือและกล่าวว่า “นับว่าเจ้ายังไม่ใช่คนปัญญาอ่อน ความน่าจะเป็นในการปั้นขึ้นมาดีกว่าตาเฒ่าฟงเล็กน้อย”

จางเจี้ยนชวนหัวเราะแห้งๆ ทีหนึ่งแล้วไม่กล้าพูดให้มากความ เนื่องจากเทพวายุเป็นปรมาจารย์ผู้มีอำนาจสูงสุดของสำนักเสินสิงเหมินพวกเขา มีตำแหน่งฐานะที่สูงสุด ปรกติแล้วพวกเขาที่เป็นผู้เยาว์จะพบเห็นหน้าเขาก็ไม่ได้พบ ต่อหน้าเทพวายุอย่าว่าแต่ตัวเขาเลย แม้แต่ระดับบรรพบุรุษอื่นๆ ก็ต้องให้ความเคารพอย่างยิ่ง

ไหนเลยกล้าทำตามอารมณ์เช่นหลี่ชิเย่ เรียกเขาว่าเป็น ‘ตาเฒ่าฟง’

“ไปเถอะ” หลี่ชิเย่กล่าวขึ้นมาตามอารมณ์

จางเจี้ยนชวนเมื่อได้สติกลับมาไม่กล้าชักช้า รีบเดินนำทางให้กับหลี่ชิเย่ทันที

…………………………………………………………….

Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *