Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล 2369 สุดยอดของวิเศษของมู่เส้าเฉิน

Now you are reading Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล Chapter 2369 สุดยอดของวิเศษของมู่เส้าเฉิน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

อ๊ากกกเสียงร้องที่น่าเวทนาดังขึ้น มองเห็นเทพอินทรีหวินตู้ที่ถูกโจมตีจนร่างปลิวออกไป พริบตาเดียวกันกับจังหวะที่เขาถูกโจมตีจนปลิวออกไปนั้น ปรากฏเลือดที่พุ่งขึ้นสูง เลือดสดๆ ย้อมท้องฟ้าสีครามจนกลายเป็นสีแดง

ภาพเช่นนี้สร้างความหวาดผวาจนขนลุกซู่กับผู้พบเห็น ไม่รู้ว่ามีผู้คนจำนวนเท่าไรที่ร่างสั่นเทิ้ม นี่คือขั้นอมตะคนหนึ่งนะเนี่ย ถึงกับถูกกระบี่น้ำเป็นร้อยเป็นพันโจมตีจนร่างทะลุ

ทุกคนต่างเข้าใจว่าเทพอินทรีหวินตู้คงต้องตายภายใต้หนึ่งกระบี่นี้แล้ว เพียงครู่เดียวเท่านั้น มองเห็นเทพอินทรีหวินตู้ที่ลุกขึ้นยืนด้วยท่าทีเงอะๆ งะๆ

เวลานี้ท่าทางของเทพอินทรีหวินตู้ดูย่ำแย่มาก ทั่วทั้งตัวเต็มไปด้วยเลือด เสื้อที่เขาสวมใส่ถูกเลือดสดๆ ย้อมจนชุ่ม หน้าอกของเขาถูกกระบี่น้ำที่น่ากลัวแทงจนทลุ เหลือไว้เป็นรูเลือดที่แลดูสยดสยอง บนตัวถูกกระบี่น้ำโจมตีจนทะลุไปหลายแห่ง กล่าวได้ว่าร่างกายของเขาถูกกระบี่น้ำนับร้อยนับพันเล่มแทงจนแทบกลายเป็นกระชอนไปแล้ว

ถ้าหากในวินาทีสุดท้ายไม่ได้ถูกต้านเอาไว้โดยโล่ของมู่เส้าเฉินล่ะก็ เกรงว่าคงถูกความน่ากลัวยิ่งของกระบี่น้ำโจมตีจนกลายเป็นหมอกเลือด ไม่แน่นักอาจต้องกลายเป็นเถ้าธุลีไปก็เป็นได้

ไม่รู้ว่ามีผู้คนจำนวนเท่าไรที่รู้สึกหายใจด้วยความโล่งอก เมื่อมองเห็นเทพอินทรีหวินตู้ลุกขึ้นยืนด้วยท่าทางเงอะๆ งะๆ แม้แต่มู่เส้าเฉินเองก็พลอยหายใจด้วยความโล่งอกไปด้วย

ไม่ว่าคนผู้นั้นจะเป็นศัตรูกับหลี่ชิเย่หรือไม่ เวลานี้นาทีนี้เมื่อเห็นว่าเทพอินทรีหวินตู้ยังคงมีชีวิตอยู่ ต่างรู้สึกเหมือนปลดเอาของหนักลงจากบ่าอย่างนั้น การที่ระดับเทพแท้จริงขั้นอมตะคนหนึ่งถูกสังหารโดยผู้เยาว์คนหนึ่งล่ะก็ มันเป็นเรื่องที่น่ากลัวเหลือเกิน ที่น่ากลัวยิ่งไปกว่านั้นก็คือกลุ่มคนรุ่นใหม่ผู้นี้ยังไม่ได้กลายเป็นราชันแท้จริง

ถ้าหากเป็นเช่นนี้จริง เช่นนั้นแล้วอนาคตรุ่นอาวุโสที่แข็งแกร่งยิ่งกว่านี้ก็คงต้องหดหัวเข้าไปอยู่ในบ้านเก่าของตน รุ่นอาวุโสไม่มีโอกาสที่จะได้โงหัวขึ้นมาอีกแล้ว

“ฮ่า ฮ่า ฮ่าเจ้าเดรัจฉานน้อย ทำให้เจ้าต้องผิดหวังเสียแล้ว เจ้ายังคงสังหารข้าไม่ได้ ขั้นอมตะฆ่าไม่ตายอยู่แล้ว” เวลานี้เทพอินทรีหวินตู้หัวเราะเสียงดังอย่างบ้าคลั่งขึ้นมา

การหัวเราะเสียงดังอย่างบ้าคลั่งของเทพอินทรีหวินตู้เช่นนี้ ไหนเลยจะไม่ใช่เป็นการสร้างความฮึกเฮิมให้กับตนเองเล่า ในเวลานี้เขาถึงกับรู้สึกสะท้านภายในใจ แม้ว่าร่างกายที่ถูกยิงจนกลายเป็นกระชอนสามารถสร้างขึ้นมาได้ใหม่ แต่ทว่า พลันที่ปะมือก็บ่งบอกแล้วว่าเขาไม่ใช่คู่ต่อสู้ของหลี่ชิเย่แล้ว หลี่ชิเย่ได้จัดการถล่มเขาจนกลายเป็นกากเดนไปแล้ว หากไม่เป็นเพราะมู่เส้าเฉินลงมือ นับว่าอันตรายอย่างแท้จริง

เขานั้นเป็นถึงระดับเทพแท้จริงขั้นอมตะเชียวนะ แม้ว่าจะตัวเขาไม่ได้ถูกจัดให้อยู่ในระดับสูงสุดของขั้นอมตะ แต่ยังไม่ถึงกับอยู่ระดับต่ำสุดแบบนั้น กำลังความสามารถของเขาในชั้นของอมตะนั้นนับว่าใช้ได้อยู่

ตัวเขาที่อยู่ในฐานะเช่นนี้ไม่เคยได้รับบาดเจ็บมานานเท่าไรแล้วล่ะ? เขาเอาจำไม่ได้แล้ว่า ครั้งสุดท้ายที่ถูกผู้อื่นทำให้ต้องบาดเจ็บสาหัสคือเมื่อไรแล้ว มาวันนี้กลับต้องถูกผู้เยาว์คนหนึ่งโจมตีจนร่างกายกลายเป็นกระชอน แล้วจะไม่ให้เข้าต้องรู้สึกหวาดกลัวจนขนลุกซู่ในใจได้เล่า เขาแค่หัวเราะเสียงดังเพื่อสร้างความฮึกเหิมให้กับตนเท่านั้น ในใจนั้นได้รู้สึกสะท้านไปแล้ว

“แค่ตามอารมณ์ไปกระบี่เดียวเท่านั้น อุ่นเครื่องนิดหนึ่ง อย่าทำตื่นเต้นเกินไป” หลี่ชิเย่เอ่ยขึ้นมาด้วยท่าทีเหนื่อยหน่าย เมื่อต้องเผชิญกับการหัวเราะเสียงดังของเทพอินทรีหวินตู้

คำพูดที่ไม่สนใจใยดีเช่นนี้พลันทำให้รอยยิ้มของเทพอินทรีหวินตู้ค้างอยู่อย่างนั้นทันที ถึงกับหัวเราะไม่ออกอีก เวลานี้ท่าทางของเทพอินทรีหวินตู้ดูเก้อเขินยิ่งนัก ยืนอยู่ตรงนั้นกลืนไม่เข้าคายไม่ออกไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรดี ในเวลานี้เขาที่อยู่ในฐานะระดับเทพแท้จริงขั้นอมตะย่อมเป็นไปไม่ได้ที่จะอ่อนข้อยอมแพ้ให้กับหลี่ชิเย่อยู่แล้ว จะแข็งขืนสู้รบให้ถึงที่สุด เขาไม่มีความมั่นใจเลยแม้แต่นิดเดียว

“หนึ่งกระบี่ที่ตามอารมณ์? นี่มันคือกระบี่อะไรกัน?” ใช่เพียงแค่รอยยิ้มของเทพอินทรีหวินตู้ที่ยิ้มค้าง ท่าทีของทุกคนก็แข็งทื่อไปด้วย

แค่หนึ่งกระบี่ที่ตามอารมณ์ ก็เล่นงานเทพอินทรีหวินตู้ที่เป็นระดับเทพแท้จริงขั้นอมตะจนกลายเป็นกระชอนไป หนึ่งกระบี่เช่นนี้ออกจะน่ากลัวเกินไปแล้วกระมัง หนึ่งกระบี่นี้คือหนึ่งกระบี่ลักษณะเช่นใดกันแน่

ทุกคนย่อมไม่รู้ว่า หนึ่งกระบี่ตามอารมณ์ของหลี่ชิเย่นี้คือกระบี่น้ำที่อยู่ใน ‘กระบี่สิ้นสุด’ พลันที่สำแดงกระบี่น้ำออกมา มันสามารถรองรับทุกๆ การโจมตีเอาไว้ ครั้นรองรับการโจมตีจนถึงขีดสุดไปแล้ว ก็จะนำเอาพลังโจมตีของศัตรูทั้งหมดกลับกลายเป็นกระบี่น้ำหมื่นพันเล่มโจมตีสะท้อนกลับไปในทันที

อีกทั้งสิ่งที่น่ากลัวที่สุดของกระบี่น้ำหาใช้เป็นการสะท้อนพลังโจมตีของศัตรูกลับไป ที่น่ากลัวที่สุดของมันก็คือ เมื่อไรที่มันสะท้อนพลังโจมตีของศัตรูกลับไปก็จะเป็นดั่งสายน้ำที่ไม่ขาดสาย ไม่มีสิ้นสุด สามารถรักษาพลังสะท้อนกลับอานุภาพที่แข็งแกร่งทรงพลังที่สุดเช่นนี้อย่างไม่มีสิ้นสุด!

“ผู้อาวุโส ช่วยเหลือข้าอีกแรง คอยดูข้าจัดการสังหารเจ้าอัปลักษณ์นี้เสีย” จังหวะที่เทพอินทรีหวินตู้ยืนตัวแข็งอยู่ตรงนั้น เสียงของมู่เส้าเฉินได้ดังขึ้น

เวลานี้ทุกคนต่างจ้องมองไปที่มู่เส้าเฉิน มองเห็นเวลานี้มู่เส้าเฉินที่ยืนอยู่ตรงนั้น บริเวณพื้นดินใต้เท้าของเขาปรากฎแสงขึ้นมา ในขณะนี้เอง ประกายแสงที่ปรากฏขึ้นมานั้นเกิดจากลวดลายเต๋าที่ยุบยับจำนวนมากบริเวณใต้เท้าของมู่เส้าเฉิน

มองจากระยะห่างไกล ขาทั้งสองข้างเหมือนมีรากงอกออกมา เป็นรากที่หยั่งลงใต้พื้นดินอย่างนั้น ชั่วพริบตาเดียวนั่นเองได้สร้างมโนภาพให้กับผู้คน เหมือนว่ามู่เส้าเฉินคือต้นไม้ใหญ่ที่เจริญเติบโตอยู่บนผืนแผ่นดินแห่งนี้อย่างนั้น เวลานี้เขาไม่เพียงหลอมรวมร่างกับผืนแผ่นดินเป็นร่างเดียวกัน ทั้งยังดูดเอาพลังของผืนแผ่นดินผืนนี้เข้ามาอย่างไม่ขาดสาย

เนื่องเพราะเหตุนี้เอง ก่อนหน้านั้นมู่เส้าเฉินจึงสามารถบังคับควบคุมโล่ศักดิ์สิทธิ์ ด้วยการขัดขวางกระบี่น้ำที่มาอย่างมืดฟ้ามัวดินของหลี่ชิเย่ มิฉะนั้นล่ะก็ อาศัยศักยภาพของมู่เส้าเฉินแม้จะมีโล่ศักดิ์สิทธิ์ที่ยอดเยี่ยมมีเพียงหนึ่งไม่มีสองในหล้า ก็ไม่สามารถขวางกระบี่น้ำที่มาอย่างมืดฟ้ามัวดินของหลี่ชิเย่เอาไว้ได้

“ดี ในเมื่อหลานมีวิธีการที่ดีในการสังหารมาร ตาเฒ่าอย่างข้าย่อมยินดีช่วยเหลือเต็มที่” เทพอินทรีหวินตู้รู้สึกดีใจเป็นยิ่งนัก หัวเราะเสียงดังทีหนึ่ง เห็นร่างแวบหนึ่งพลันไปยืนอยู่ด้านข้างของมู่เส้าเฉินแล้ว

“พวกเจ้าทั้งสองควรเข้ามาพร้อมกันตั้งแต่ต้นอยู่แล้ว จะได้ไม่ต้องให้ข้าเสียเวลามาก” หลี่ชิเย่ก็ไม่ได้รู้สึกตระหนก ยิ้มจางๆ ขึ้นมา

“เจ้าคนแซ่หลี่ แม้ว่าเจ้าจะแข็งแกร่งมาก แต่ ในที่สุดวันนี้ก็หนีความตายไม่พ้น!” ดวงตาทั้งสองของมู่เส้าเฉินดูไม่เป็นมิตร เผยให้เห็นปณิธานการฆ่าที่น่ากลัวออกมา

หลี่ชิเย่มองดูมู่เส้าเฉินที่มีประกายแสงลอยล่องอยู่บริเวณใต้เท้าแวบหนึ่ง ถึงกับหัวเราะและกล่าวตามอารมณ์ขึ้นมาว่า “นับว่ามีพรสวรรค์ไม่เลวนักอย่างแท้จริง ถึงกับมองเห็นความนัยได้บ้าง และรู้จักหยิบยืมพลังของเงินทองตกพื้นได้นิดหนึ่ง น่าเสียดาย มันก็แค่ยืมมาได้นิดเดียวเท่านั้นเอง ถ้าหากเจ้าคิดว่าแค่หยิบยืมพลังจากเงินทองตกพื้นมาได้นิดหนึ่งแค่นี้ก็สามารถสังหารข้าล่ะก็ เด็กๆ เกินไปแล้วล่ะ ปฐมบรรพบุรุษของพวกเจ้ายังพอมีสิทธิ์สู้กับข้าได้บ้าง สำหรับเจ้านั้นรึ แค่มดปลวกเท่านั้น”

คำบอกเล่าเช่นนี้พลันทำให้ทุกคนถึงกับใจหายใจคว่ำ ที่ทำให้ทุกคนตกใจไม่เพียงแต่การที่มู่เส้าเฉินถึงกับสามารถหยิบยืมพลังจากเงินทองตกพื้นได้เท่านั้น ที่ทำให้ผู้คนต้องงงงันมากกว่าก็คือ ปฐมบรรพบุรุษตระกูลมู่แค่มีสิทธิ์สู้กับหลี่ชิเย่ได้อย่างฝืนๆ เท่านั้นเอง?

ในเวลานี้ไม่รู้ว่ามีระดับบรรพบุรุษระบบถ่ายทอดความคิดทางด้านลัทธิจำนวนเท่าไรที่ต้องมองหน้าซึ่งกันและกัน ทุกคนต่างไม่รู้ว่าคำพูดนี้จริงหรือเท็จ ปฐมบรรพบุรุษของตระกูลมู่นั้นคือผู้ที่ดำรงอยู่ในฐานะที่น่ากลัวปราศจากขอบเขตสิ้นสุด หลี่ชิเย่ถึงกับบอกว่าแค่มีสิทธิ์สู้กับเขาได้อย่างฝืนๆ เท่านั้นเอง คำพูดนี้ออกจะอวดดีเกินไปแล้วกระมัง

“คำพูดนี้ นี้ออกจะอวดดีเกินไปแล้วกระมัง ตามตำนานเล่าว่าปฐมบรรพบุรุษของตระกูลมู่คือปฐมบรรพบุรุษชั้นแดนลัทธิเซียนนะเนี่ย” มีระดับบรรพบุรุษระบบถ่ายทอดความคิดทางด้านลัทธิไม่เชื่อในคำพูดของหลี่ชิเย่ รู้สึกว่าคำพูดเช่นนี้ของหลี่ชิเย่ออกจะอวดดีเกินไปแล้ว

แต่ทว่า นับว่าพรสวรรค์ของมู่เส้าเฉินนั้นน่าตกใจยิ่งนักจริงๆ เขาถึงกับทำความบรรลุถึงความลี้ลับของเงินทองตกพื้นมาได้บ้าง ถึงกับสามารถหยิบยืมพลังของเงินทองตกพื้นได้ แม้จะกล่าวว่านี่เป็นเพียงผิวเผินเท่านั้นเอง แต่ พรสวรรค์เช่นนี้นับว่ายอดเยี่ยมหนึ่งไม่มีสองในหล้าแล้ว

“กล่าววาจาโอ้อวดไม่มียางอาย อวดดีและโง่เขลา” สีหน้าของมู่เส้าเฉินดูไม่จืดถึงขีดสุด กล่าวน่าครั่นคร้ามขึ้นมาว่า “ความปราศจากผู้ต่อกรของปฐมบรรพบุรุษของข้าไหนเลยที่ระดับเจ้าสามารถคาดการณ์ได้ ไม่จำเป็นต้องให้ปฐมบรรพบุรุษของข้าลงมือ วันนี้ข้านี่แหละจะประหารเจ้า! ผู้เหยียดหยามปรัชญาเมธีของตระกูลมู่ข้า ฆ่าไม่มีละเว้น!”

“พูดมากไม่มีประโยชน์” หลี่ชิเย่หัวเราะและกล่าวว่า “อาศัยพลังเพียงเท่านี้ก็สามารถสังหารข้าได้ล่ะก็ มันคือความฝันของพวกปัญญาอ่อน”

แม้จะกล่าวว่ามู่เส้าเฉินสามารถหยิบยืมพลังมาได้น้อยนิด แต่ในสายตาของหลี่ชิเย่มองว่ามันไร้ค่าที่จะกล่าวถึง ถ้าหากหลี่ชิเย่ลงมือจริงๆ เขาสามารถหยิบยืมพลังทั้งหมดของเงินทองตกพื้น สามารถสังหารสิ้นทุกๆ คนที่อยู่ในเมืองทองตกพื้นได้ในพริบตาเดียว

“ดี ดี ดี” มู่เส้าเฉินในเวลานี้หัวเราะขึ้นมาด้วยความโกรธจัด กล่าวน่าเกรงขามว่า “ในเมื่อเจ้ากล่าววาจาสามหาว ต้องการท้าสู้กับปฐมบรรพบุรุษตระกูลของข้า เช่นนั้นแล้วก็ให้เจ้าได้รู้จักความปราศจากผู้ต่อกรอันแท้จริงของปฐมบรรพบุรุษข้า” กล่าวพลาง หยิบกล่องวิเศษออกมาใบหนึ่ง ท่าทีของเขาดูหนักแน่นจริงจัง

ขณะที่หยิบเอากล่องวิเศษใบนี้ออกมานั้น ได้ยินเสียงแว้งค์ดังขึ้นเสียงหนึ่ง กล่องวิเศษใบนี้ก็ได้เปล่งกลิ่นอายที่ยากจะหาผู้ใดเทียมในหล้าออกมาแล้ว

ยังไม่ทันได้เปิดกล่องวิเศษออกมา ทุกคนยังไม่ได้เห็นของวิเศษภายในกล่องวิเศษ แต่ทว่า ลำพังแค่กลิ่นอายที่แผ่กระจายออกมาจากกล่องวิเศษใบนี้ ก็สามารถทำให้ผู้คนต้องสั่นเทา

เหมือนว่ามีสิ่งที่สามารถทำลายล้างโลกาถูกบรรจุอยู่ภายในกล่องวิเศษใบนี้อย่างนั้น ขณะที่นำเอาสิ่งนี้ออกมานั้น ดุจดั่งทั่วทั้งโลกก็สามารถถูกทำลายได้

“ผู้อาวุโส โปรดช่วยข้าอีกแรง นี่คือสุดยอดอาวุธแห่งยุคที่ปฐมบรรพบุรุษตระกูลของข้าได้ทิ้งเอาไว้ ขอเพียงสำแดงอานุภาพของมันได้ ต้องสังหารคนแซ่หลี่ได้” หลังจากมู่เส้าเฉินได้หยิบเอากล่องวิเศษออกมาแล้วถึงกับมีท่าทางที่หนักแน่นจริงจัง ไม่กล้าประมาท

“ตกลง ข้าจะทำอย่างเต็มที่” เทพอินทรีหวินตู้เองรู้สึกดีใจเป็นยิ่งนักเมื่อได้ยินคำพูดของมู่เส้าเฉิน เขาเองก็นึกไม่ถึงว่ามู่เส้าเฉินได้นำเอาสุดยอดอาวุธแห่งยุคปฐมบรรพบุรุษของตระกูลมู่ติดตัวมาด้วยจริงๆ

‘สุดยอดอาวุธแห่งยุคปฐมบรรพบุรุษ!’ ทุกคนถึงกับหวาดผวาเมื่อได้ยินคำพูดคำนี้ ปฐมบรรพบุรุษระบบถ่ายทอดความคิดทางด้านลัทธิจำนวนไม่น้อยพูดเสียงแผ่วเบาว่า “พวก พวกเราถอน ถอนตัวออกจากสันเขาหมื่นยอดกัน”

ในขณะนี้ ไม่รู้ว่ามีผู้คนจำนวนเท่าไรที่ถอนตัวออกจากสันเขาหมื่นยอด ต่างทยอยกันถอนตัวออกไป ออกห่างจากพื้นที่แห่งนี้ให้ไกล ไปดูชมอยู่ในที่ที่ห่างไกลมากที่สุด

‘สุดยอดอาวุธแห่งยุคปฐมบรรพบุรุษ’ ต่อให้เป็นระดับบรรพบุรุษระบบถ่ายทอดความคิดทางด้านลัทธิที่แข็งแกร่งที่สุดก็ต้องสั่นเทิ้มเมื่อได้ยินคำๆ นี้แล้ว

มีเพียงปฐมบรรพบุรุษเท่านั้นที่สามารถสร้างสุดยอดอาวุธแห่งยุคขึ้นมาได้ อีกทั้งใช่ว่าปฐมบรรพบุรุษทุกคนก็มีสิทธิ์สร้างสุดยอดอาวุธแห่งยุคปฐมบรรพบุรุษได้ มีเพียงปฐมบรรพบุรุษที่แข็งแกร่งจนได้ระดับหนึ่งแล้วจึงมีสิทธิ์สร้างสุดยอดอาวุธแห่งยุคได้ ย่อมไม่ต้องสงสัยว่า ปฐมบรรพบุรุษของตระกูลมู่ก็คือหนึ่งในปฐมบรรพบุรุษที่มีสิทธิ์สร้างสุดยอดอาวุธแห่งยุคได้

แม้จะกล่าวว่า ปฐมบรรพบุรุษนั้นมีของวิเศษอยู่เป็นจำนวนมาก มีอาวุธมากมาย แต่ทว่า โดยทั่วไปแล้วสุดยอดอาวุธแห่งยุคจะมีเพียงชิ้นเดียวเท่านั้น เนื่องจากหลังจากที่ปฐมบรรพบุรุษคนหนึ่งได้สร้างสุดยอดอาวุธแห่งยุคขึ้นมาได้ชิ้นหนึ่งแล้วก็ยากจะมีกำลัง และวัตถุดิบเพียงพอที่จะไปสร้างสุดยอดอาวุธแห่งยุคชิ้นที่สองได้อีก ยิ่งไปกว่านั้น สุดยอดอาวุธแห่งยุคชิ้นดังกล่าวก็จะเป็นอาวุธที่ทรงพลังและแข็งแกร่งที่สุดของปฐมบรรพบุรุษอยู่แล้ว เขาจึงไม่มีความจำเป็นต้องไปสร้างชิ้นที่สองอีกต่อไป

เวลานี้เมื่อได้ยินว่ามู่เส้าเฉินถึงกับมีสุดยอดอาวุธแห่งยุคปฐมบรรพบุรุษอยู่ในครอบครอง สร้างความสะเทือนหวั่นไหวให้กับทุกคนในเวลานี้ มันออกจะเหลือเชื่อแล้วกระมัง ตระกูลมู่ถึงกับมอบสุดยอดอาวุธแห่งยุคปฐมบรรพบุรุษชิ้นหนึ่งให้เขาได้พกติดตัวมาด้วย!

เทพอินทรีหวินตู้ดีใจเป็นที่สุด เมื่อมีสุดยอดอาวุธแห่งยุคแล้วใยต้องกังวลว่าไม่สามารถสังหารหลี่ชิเย่ได้เล่า? ดังนั้นเขาจึงไม่ลังเลที่จะเอามือทาบลงไปที่แผ่นหลังของมู่เส้าเฉินด้วยความชำนาญ ถ่ายทอดพลังวัตรของตนเข้าสู่ร่างกายของมู่เส้าเฉินอย่างไม่ขาดสาย

ท่าทางของมู่เส้าเฉินดูหนักแน่นจริงจัง ลำพังอาศัยกำลังของตนเองก็ยากจะควบคุมของวิเศษชิ้นนี้ได้ เพราะเหตุนี้เองเขาจึงจำเป็นต้องอาศัยความช่วยเหลือจากเทพอินทรีหวินตู้ เมื่อได้รับพลังความช่วยเหลือจากระดับเทพแท้จริงขั้นอมตะแล้ว เขาก็จะสำแดงอานุภาพของของวิเศษชิ้นนี้ได้

…………………………………………

Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *