Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล 1923 จอมราชันกับกับจอมเทพใครเหนือกว่ากัน

Now you are reading Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล Chapter 1923 จอมราชันกับกับจอมเทพใครเหนือกว่ากัน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“ท่านลุงหลิน บรรพบุรุษที่บ้านต่างชื่นชมท่านว่าเป็นจอมเทพที่แข็งแกร่งมาก กระทั่งสามารถแซงล้ำหน้าสี่ดวงตราสัญลักษณ์ได้ ท่านก็เล่าให้ฟังหน่อยนะ” เมื่อธิดาราชันฉีหลินเห็นซึหุนหลินทำตัวค่อมต่ำขนาดนี้จึงกล่าวออดอ้อนขึ้นมา

“ตาเฒ่าบ้านเจ้าชมข้าเกินไปแล้วหละ” ซึหุนหลินยิ้มกล่าวว่า “ผู้ที่แข็งแกร่งกว่าข้าบนโลกนี้มีมากมายเหลือเกิน โดยเฉพาะระดับจอมราชันเซียนหวัง พวกเขามีชะตาฟ้าอยู่กับตัว ซึ่งสิ่งนี้หาใช่ดวงตราสัญลักษณ์ของจอมเทพอย่างพวกเราสามารถเทียบกันได้ ต่อให้เป็นดวงตราสัญลักษณ์ที่ประสานเข้าด้วยกัน ก็เทียบไม่ได้กับการปกป้องคุ้มครองจากชะตาฟ้าของจอมราชันเซียนหวังได้”

“อิ อิ พวกเราจะไม่พูดถึงจอมราชันเซียนหวังคนอื่นๆ พูดถึงแต่ราชันสวรรค์ขวางเส้าดีไหม?” อู่ชีไม่ยอมแพ้ยิ้มแต้กล่าวขึ้นมา

ไม่เพียงแต่อู่ชีเท่านั้นที่อยากรู้อยากเห็น พวกของธิดาราชันฉีหลินก็อยากรู้เช่นกัน เป็นที่ถกเถียงกันมากมายว่าระหว่างจอมราชันกับจอมเทพใครเหนือกว่ากัน แต่ว่า พวกเขาอยากจะฟังจากปากของจอมเทพเองมากกว่า คำตอบเช่นนี้มีความน่าเชื่อถือมากกว่า

“ถ้าหากพูดถึงชะตาฟ้าเพียงแค่หนึ่งสาย ตาเฒ่าน้อยอย่างข้ายังพอมีความมั่นใจอยู่หลายส่วน จะอย่างไรเสียจอมราชันเซียนหวัง ก็ต้องมีชะตาฟ้าสามสายขึ้นไปจึงสามารถไขความลึกซึ้งพิสดารของลัคนาจตุลักษณ์ได้ และมีพลังการเข้าถึงตัวตนอันแท้จริงในครอบครอง” ซึหุนหลินทำท่าไตร่ตรองนิดหนึ่ง และกล่าวว่า “ข้ามีดวงตราสัญลักษณ์สามดวงที่ประสานเข้าด้วยกัน ยังคงมีความมั่นใจในการสู้กับจอมราชันเซียนหวังที่มีชะตาฟ้าเพียงหนี่งสาย แน่นอนนี่เป็นเพียงทฤษฎีเท่านั้น แต่ราชันสวรรค์ขวางเส้าเป็นข้อยกเว้น เป็นผู้ที่ยอดเยี่ยมมากคนหนึ่ง ยากที่จะประเมินได้…”

“…เนื่องจากพรสวรรค์ของเขาสูงมากเกินไป สุดยอดเคล็ดวิชาในหล้าจำนวนมากเขาแค่ครุ่นคิดพิจารณาครู่หนึ่งก็สามารถทำลายได้ สามารถโจมตีใส่จุดอ่อนของเคล็ดวิชานั้นๆ และโจมตีครั้งเดียวถึงตายได้ ได้ยินมาว่าจอมเทพที่มีดวงตราสัญลักษณ์หนึ่งถึงสองดวงต้องตายด้วยน้ำมือของเขาเป็นจำนวนมาก แม้แต่จอมเทพที่มีดวงตราสัญลักษณ์สามดวงก็มี”

ครั้นซึหุนหลินกล่าวมาถึงตรงนี้แล้วทำท่าไตร่ตรองนิดหนึ่ง ยังคงเผื่อไว้นิดหนึ่ง และกล่าวว่า “หากจะต้องต่อสู้กันจริงๆ ข้ายังคงมีความมั่นใจอยู่หลายส่วน ต่อให้เอาชนะราชันสวรรค์ขวางเส้าไม่ได้ อย่างน้อยที่สุดเชื่อว่าเขาก็คงทำอะไรข้าไม่ได้”

ภายในใจของพวกธิดาราชันฉีหลินนับว่ามีความมั่นใจแล้ว เมื่อได้ยินคำพูดจากซึหุนหลินแล้ว คำพูดของซึหุนหลินที่ว่านับว่าถ่อมตนแล้ว

“ถ้าหากต้องท้าสู้กับจอมราชันเซียนหวังที่มีชะตาฟ้าสามสาย ต้องมีดวงตราสัญลักษณ์กี่ดวงหละ?” อู่ฟ่งหยิ่งเองก็อยากรู้อยากเห็นยิ่งนัก

“เรื่องแบบนี้ไม่มีมาตรฐานกำหนด” ซึหุนหลินกล่าวว่า “ต่อให้เป็นจอมราชันเซียนหวังที่มีชะตาฟ้าสามสายเหมือนกันก็มีการแบ่งเป็นแข็งแกร่งอ่อนด้อย อาวุธต่างกัน สายเลือดต่างกัน สัจธรรมที่ต่างกัน ผลก็คือแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง เป็นต้นว่า ในมือของเจ้ามีอาวุธราชันปราบสวรรค์ หรือจอมราชันเซียนหวังมีตำราและอาวุธสวรรค์ ผลที่ได้ก็จะแตกต่างกันโดยสิ้นเชิงแล้ว”

“หากนับกรณีล่าสุดของจอมเทพท่าซิง ด้วยสายเลือดเก้ากระถางของเขามันก็แตกต่างกันแล้ว ทั้งหมดสามารถปกป้องให้กับตัวเขา แม้ว่าข้าไม่เคยปะมือกับจอมเทพท่าซิง แต่อาศัยมุมมองส่วนตัวของข้าแล้ว จอมเทพท่าซิงที่มีดวงตราสัญลักษณ์ประสานเข้าด้วยกัน และมีสายเลือดเก้ากระถาง ย่อมสามารถต่อกรกับจอมเทพที่มีดวงตราสัญลักษณ์สิบเอ็ดดวงที่ประสานเข้าด้วยกันได้อย่างแน่นอน!”

“ว่ากันด้วยกรณีของราชันสวรรค์ขวางเส้าก็แล้วกัน แม้ว่าเขาจะมีชะตาฟ้าเพียงหนึ่งสาย แต่ว่าเขามีพรสวรรค์ พรสวรรค์ของเขาถึงขั้นที่ไม่มีใครเทียบเทียมได้แล้ว บวกกับกระบี่สามเล่มที่อยู่ในมือของเขาคืออาวุธราชันชนิดมีพลังมาแต่กำเนิด เกรงว่าพลังที่แท้จริงของเขามีโอกาสในระดับหนึ่งที่จะต่อกรกับจอมราชันเซียนหวังที่มีชะตาฟ้าสองสายได้กระมัง…”

“…โดยทั่วไปแล้ว ผู้ที่สามารถกลายเป็นจอมราชันเซียนหวังล้วนแล้วแต่เริ่มต้นที่ชะตาฟ้าสามสาย ถ้าหากมีชะตาฟ้าเพียงสองสาย เป็นการบ่งบอกว่าชาติกำเนิดของเขาแย่มาก อย่างน้อยที่สุดคงพลาดโอกาสสืบทอดชะตาฟ้ามาแล้วหนึ่งครั้ง ซึ่งขึ้นอยู่กับทรัพยากรที่ครอบครองในมือไม่เท่าจอมราชันเซียนหวังอื่นๆ ดังนั้น ตัวของราชันสวรรค์ขวางเส้าที่มีความได้เปรียบที่มีมาแต่กำเนิดอย่างเหลือเฝือทุกด้าน ย่อมไม่ได้ด้อยกว่าจอมราชันเซียนหวังที่มีชะตาฟ้าเพียงสองสายและไม่ได้มีความได้เปรียบทางด้านทรัพยากรที่มีมาแต่กำเนิดในระดับหนึ่ง”

ซึหุนหลินมีความอดทนสูงยิ่งในการวิเคราะห์แยกแยะอย่างละเอียดให้กับผู้เยาว์ทั้งสามคน

“ราชันเซิ่นตี้หละ ราชันเซิ่นตี้มีชะตาฟ้าสามสายในครอบครอง กำลังความสามรถของเขาเป็นเช่นใด?” ธิดาราชันฉีหลินนึกถึงราชันเซิ่นตี้ผู้เป็นตัวแทนที่เปี่ยมด้วยสีสันอีกคน จึงเอ่ยถามขึ้นมาด้วยความสงสัย

“ไม่รู้” ซึหุนหลินส่าวหน้าเบาๆ และกล่าวว่า “ข้าไม่เคยพบเห็นราชันเซิ่นตี้มาก่อน ราชันเซิ่นตี้นับเป็นตำนาน ไม่เพียงตัวเขาที่สามารถกลายเป็นตัวอย่างผู้ให้กำลังใจกับชนรุ่นหลัง หังเขาเล่ามาว่า สิ่งที่ยอดเยี่ยมที่สุดของราชันเซิ่นตี้ก็คือจิตแห่งการบำเพ็ญเพียรดวงหนึ่งของเขา การที่ผู้ดำรงอยู่ในฐานะเช่นราชันเซิ่นตี้สามารถได้รับการเคารพเลื่อมใสของผู้คนย่อมต้องมีเหตุผลของเขา ไม่ค่อยเคยได้ยินว่าราชันเซิ่นตี้ลงมือกับใคร เรียกได้ว่าคงมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่เคยเห็นราชันเซิ่นตี้ลงมือกระมัง กำลังความสามารถของเขาเป็นอย่างไรนั้น ยากที่จะตัดสินชี้ขาด…”

“แต่ว่า มุมมองส่วนตัวของข้ามองว่า แม้ราชันเซิ่นตี้จะมีสติปัญญาหยาบและไร้คุณภาพ แต่เขามีความได้เปรียบที่สร้างขึ้นภายหลังซึ่งจอมราชันเซียนหวังองค์อื่นๆ ไม่มี เนื่องจากเขาได้ทำการเจียระไนมาจำนวนนับไม่ถ้วน เขามีสิ่งที่ได้ตกผลึกและขัดเกลามาอย่างที่จอมราชันเซียนหวังอื่นไม่มี ตามความเห็นส่วนตัวของข้า ราชันเซิ่นตี้น่าจะแข็งแกร่งกว่าจอมราชันเซียนหวังที่มีชะตาฟ้าสามสายคนอื่นๆ ส่วนจะแข็งแกร่งไปถึงระดับไหนนั้น ไม่สามารถตัดสินได้ เกรงว่าคงไม่มีใครที่ทราบคำตอบ ต่อให้มีจอมราชันเซียนหวังที่คิดจะตัดสินชี้ขาด เกรงว่าคงมีจอมราชันเซียนหวังไม่กี่คนเท่านั้นที่ยินดีไปท้าสู้กับราชันเซิ่นตี้ จะอย่างไรเสียเขาก็คือตำนาน”

ครั้นพวกของธิดาราชันฉีหลินได้ฟังคำจากซึหุนหลินแล้ว ต่างทยอยกันพยักหน้าและรู้สึกว่าคำพูดนี้มีเหตุผล

หลังจากที่หลี่ชิเย่ไปจากพวกของธิดาราชันฉีหลินแล้ว ก้าวข้ามค่อนพื้นที่ไกลกันดารถึงที่ๆ เปลี่ยวและลับตาผู้คนมากแห่งหนึ่ง เป็นที่ที่น้อยคนนักที่จะมาถึงได้

มันคือเนินดินเล็กๆ แห่งหนึ่ง เนินดินแห่งนี้ต่ำมากๆ เรียกได้ว่าหากเทียบกับภูเขาที่สูงเสียดฟ้าจำนวนมากแล้วมันไม่สะดุดตาเอาเสียเลย ไม่มีค่าคู่ควรจะกล่าวถึง

หากสังเกตให้ดีล่ะก็ ต้องใความสนใจในเนินดินแห่งนี้แน่นอน เหตุผลนั้นง่ายมาก บนผืนแผ่นดินของไกลกันดาร ดินที่ปรากฏให้เห็นล้วนแล้วแต่ถูกย้อมจนกลายเป็นสีม่วงดำ ซึ่งเกิดจากน้ำเลือดที่ไหลซึมจนชุ่ม

ขณะที่เนินดินที่เห็นอยู่ตรงหน้า เป็นเพียงดินสีดำทั่วๆ ไปเท่านั้น แม้ว่าสีของดินทั้งสองจะมีส่วนใกล้เคียงกันมาก แต่หากมองดูให้ละเอียดจะพบความแตกต่างของดินทั้งสองอย่างแน่นอน

การที่ดินของเนินดินแห่งนี้เป็นสีของดินดำธรรมดาทั่วไป ย่อมเป็นการบ่งบอกว่าที่ตรงนี้ไม่เคยถูกน้ำเลือดท่วมมาก่อน!

ในเวลานี้ หลี่ชิเย่ได้ขึ้นไปยืนอยู่ตรงหน้าก้อนหินขนาดใหญ่บนเนินดินนั่น หินก้อนใหญ่นี้มีสีเทาขาว สูงแค่ศีรษะของคน ซึ่งไม่มีอะไรแปลกประหลาด เพราะเป็นหินที่สามารถพบเห็นได้โดยทั่วไป

ในขณะนี้ หลี่ชิเย่ยืนอยู่ตรงหน้าก้อนหินใหญ่ มือทั้งสองได้ทาบอยู่บนก้อนหินนั่น ค่อยๆ หลับตาลงเสมือนหนึ่งนอนหลับไปแล้วอย่างนั้น หลังจากผ่านไปครู่ใหญ่ บนก้อนหินปรากฏเป็นลวดลายเต๋าเล็กๆ แต่ละเส้นขึ้นมา และลวดลายเต๋าขนาดเล็กแต่ละเส้นได้พันธนาการบนข้อมือของหลี่ชิเย่ เหมือนดั่งเป็นงูเล็กๆ แทรกตัวหายเข้าไปในข้อมือของหลี่ชิเย่

“แว้งค์…” ก้อนหินก้อนใหญ่นี้ถึงกับเหมือนดั่งน้ำที่กระเพื่อมเป็นวังวนอย่างนั้น เพียงชั่วพริบตาเดียว ร่างของหลี่ชิเย่พลันหายไป

เมื่อหลี่ชิเย่ปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง เขาได้ยืนอยู่บนระเบียงทางเดินที่ยาวของตำหนักโบราณแห่งหนึ่ง หลี่ชิเย่ได้สูดลมหายใจเข้าลึกๆ ทีหนึ่งขณะยืนอยู่ที่ระเบียง ดมดูกลิ่นอายบริเวณนี้

“นักปราชญ์ ข้ามาเยี่ยมเจ้าแล้ว” หลี่ชิเย่เอ่ยขึ้นมาช้าๆ

“ปัง” ในเสี้ยววินาทีนี้เอง ทันใดนั้นปรากฏมือคนแก่ที่โผล่มาจากทีใดไม่ทราบอย่างกะทันหัน บีบไปที่คอของหลี่ชิเย่และดันตัวของหลี่ชิเย่ถอยไปแนบติดอยู่กับผนัง

หลี่ชิเย่มีท่าทีที่สงบนิ่งมากกับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นมาอย่างกะทันหัน เขาได้กล่าวเฉยเมยขึ้นมาว่า “ตาเฒ่า วิธีการเช่นนี้ของเจ้าไม่ทำให้ข้าต้องตกใจหลอกนะ ถ้าหากเป็นบุคคลภายนอก คงไม่จำเป็นต้องบุกรุกเข้ามาด้วยความเกรงใจขนาดนี้หรอกนะ”

หลังจากที่หลี่ชิเย่พูดขาดคำ มือคนแก่ที่โผล่ออกมาอย่างกะทันหันก็ได้หายไปอย่างกะทันหันเช่นกัน ไม่รู้ว่ามันมาจากไหน และหายไปที่ใด

หลี่ชิเย่หัวเราะ และจัดเสื้อผ้าให้เรียบร้อยแล้วก้าวเดินไปตามระเบียง แค่เพียงครู่เดียวได้เข้าไปยังตำหนักใหญ่ เป็นตำหนักที่มี่ขนาดกว้างขวางมาก โดยอาศัยเสาแต่ละต้นเป็นตัวค้ำยันเอาไว้ ตำหนักทั้งหลังเป็นไปอย่างเรียบง่ายโบราณ ไม่มีการตกแต่งใดๆ กะทั่งจิตกรรมฝาผนังก็ไม่มี

ด้านเหนือของวิหารไม่ได้มีจัดวางพระราชอาสน์เอาไว้ มีเพียงพรมทรงกลมวางอยู่ และมีผู้เฒ่าผู้หนึ่งนั่งอยู่บนนั้นเงียบๆ ไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ เหมือนว่าเขานั่งอยู่ตรงนั้นมาเป็นเวลาล้านล้านปีแล้วอย่างนั้น

ผู้เฒ่าผู้นี้สวมชุดสีเทาทั้งชุด ชุดที่สวมใส่อยู่ดูเก่ามาก และถูกกาลเวลากัดกร่อนจนสีซีดออกเป็นสีขาวไปแล้ว ต่อให้ชุดเทาที่สวมใส่จะถูกกาลเวลาขัดเกลามานานนับล้านล้านปี แต่ยังคงแลดูสะอาดสะอ้านยิ่งนัก ไม่มีฝุ่นผงสามารถเกาะอยู่บนนั้นแม้เพียงน้อยนิด

ผู้เฒ่ามีผมยาวปะบ่าสีดอกเลาทั้งหัว แลดูแห้งเหี่ยว เสมือนสูญสิ้นความมีชีวิตชีวาไป ปราศจากชีวิตอีกแล้ว

บริเวณชายโครงของผู้เฒ่ามีปีกอยู่คู่หนึ่ง แต่ปีกคู่นี้ได้เสื่อมโทรมไปแล้ว สีขนออกเป็นขาวซีดปราศจากความมันเงา ปีกคู่นี้ตกห้อยอยู่ด้านหลัง เหมือนไม่มีกำลังที่จะพยุงเอาไว้อย่างนั้น

ผู้เฒ่าผู้นี้นั่งหลับตาอยู่ตรงนั้น เหมือนนอนหลับไปแล้วอย่างนั้น กระทั่งมองดูเหมือนตายไปแล้ว อีกทั้งตายไปนานนับล้านล้านปีแล้วอย่างนั้น

หลี่ชิเย่เผยรอยยิ้มออกมาให้เห็นขณะมองดูผู้เฒ่าผู้นี้ หยิบเอาพรมทรงกลมออกมานั่งลงตรงหน้าไม่ห่างจากผู้เฒ่ามากนัก

“กลิ่นอายศักดิ์สิทธิ์ที่นี่ของเจ้าดูจะอ่อนไปนิดหนึ่งอีกแล้วนะ” หลังจากที่หลี่ชิเย่นั่งลงเรียบร้อยแล้ว มองดูรอบๆ ทีหนึ่งและกล่าวทอดถอนใจออกมา

ในเวลานี้ ผู้เฒ่าได้ลืมตาทั้งสองข้างขึ้นมา ยามที่ดวงตาทั้งสองของเขาลืมขึ้นได้ปรากฎประกายที่กระจายออกมา ยามที่ประกายแต่ละสายที่เบ่งบานออกมาเสมือนหนึ่งให้กำเนิดโลกใหม่แต่ละโลกขึ้นมาอย่างนั้น ยามที่เขาลืมตาขึ้นมาเหมือนหนึ่งได้สร้างโลกทั้งโลกขึ้นมาอย่างนั้น

แต่ว่า ประกายแต่ละสายเหล่านี้ได้หายไปอย่างรวดเร็ว สามารถมองเห็นดวงตาของเขาได้อย่างชัดเจน เป็นดวงตาที่พร่ามัวของคนแก่ เหมือนว่าสายตาได้พร่ามัวมองเห็นทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกนี้ได้ไม่ชัดเจน

“เจ้าไม่กลัวว่าข้าได้เปลี่ยนไปแล้วรึ?” เวลานี้ผู้เฒ่าได้ปริปากพูดออกมา คำพูดของเขาดูมีลมหายใจแต่ไร้เรี่ยวแรง เหมือนกำลังอยู่ระหว่างหายใจเฮือกสุดท้ายอย่างนั้น

“เปลี่ยนไป? ยังจะเปลี่ยนอะไรได้อีก?” หลี่ชิเย่หัวเราะและกล่าวว่า “จิตแห่งการบำเพ็ญเพียรของเจ้าได้ผ่านการเจียระไนมาค่อนยุคสมัยมาแล้ว ในห้วงเวลาที่โหดร้ายที่สุดเจ้ายังคงยืนหยัดผ่านมาได้ ท่ามกลางยุคสมัยที่แตกละเอียดเช่นนี้เจ้ายังจะเปลี่ยนอะไรได้ นี่ไม่นับเป็นโลกของพวกเจ้าอีกแล้ว”

“พูดมาก็ถูก” ผู้เฒ่าพึมพำออกมา ในเวลานี้เองเขาจึงได้พิจารณาตัวของหลี่ชิเย่อย่างละเอียด และกล่าวว่า “ชาตินี้เจ้าไม่เพียงเอาร่างจริงกลับมาได้ ยังมีตำราสวรรค์หลายเล่มอยู่ในครอบครองนะเนี่ย”

“ทั้งหมดก็แค่ของนอกกาย ช่วยได้เพียงเป็นตัวสนับสนุนเท่านั้น จิตแห่งการบำเพ็ญเพียรดวงหนึ่งเพียงพอทำให้ข้าล่องลอยเป็นนิรันดร์” หลี่ชิเย่กล่าวพร้อมกับยิ้มเรียบๆ

“น่าเสียดาย มีปรัชญาเมธีกี่คนที่สามารถเป็นเหมือนดั่งเจ้าไม่ลืมเจตนาแรกเริ่มได้เล่า ยิ่งเวลาเนิ่นนานออกไป ยิ่งสามารถทำให้ลืมไปว่าตัวเองทำเพื่ออะไร ยิ่งจำหน้าตาขณะตนเองยังอยู่ในวัยเยาว์ไม่ได้” ผู้เฒ่าถึงกับพูดออกมาเบาๆ

“เจ้าเองก็ไม่ลืมความตั้งใจแรกเริ่มมาโดยตลอดมิใช่รึ” หลี่ชิเย่ยิ้มจางๆ และกล่าวว่า “เจ้ายังคงเป็นเจ้าตลอดมา ความตายก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงเจ้า เจ้าก็ยังคงเป็นนักปราชญ์คนที่ต่อต้านคนนั้น!”

Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *