Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล 2059 เหรินเซิ่นมาแล้ว

Now you are reading Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล Chapter 2059 เหรินเซิ่นมาแล้ว at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

หลังจากผ่านการต่อสู้อย่างดุเดือด สถานการณ์การรุกรานของสัตว์ยักษ์ก็ได้รูดม่านลง สถาบันศึกษาเทพเจ้าได้สังหารสัตว์ยักษ์วิหคดุร้ายทั้งหมดที่รุกล้ำเข้ามาในสถาบัน หลังจากถูกสังหารเป็นจำนวนนับล้านตัวแล้ว สัตว์ยักษ์วิหคดุร้ายทั้งหมดที่อยู่ในโลกดึกดำบรรพ์ล้วนแล้วแต่ไม่กล้ารุกล้ำแดนเข้าไปแม้เพียงครึ่งก้าว

แม้จะกล่าวว่า ภายในโลกดึกดำบรรพ์ยังคงมีสัตว์ยักษ์วิหคดุร้ายจำนวนไม่น้อยที่จับจ้องสถาบันศึกษาเทพเจ้าอยู่ แต่เนื่องจากสัตว์ยักษ์วิหคดุร้ายที่ถูกสังหารไปมีจำนวนมากมายเหลือเกิน สร้างความขวัญหนีดีฝ่อให้กับสัตว์ยักษ์วิหคดุร้ายจำนวนนับไม่ถ้วน ดังนั้น ต่อให้ในโลกดึกดำบรรพ์ยังคงมีสัตว์ยักษ์วิหคดุร้ายที่แข็งแกร่งมากกว่านี้ทีจับจ้องสถาบันศึกษาเทพเจ้าอยู่ แต่ก็ไม่กล้าทำบุ่มบ่ามบุกรุกเข้าไปยังสถาบันศึกษาเทพเจ้าอีก

เวลานี้ ภายในสถาบันศึกษาเทพเจ้ากองกระดูกสูงดั่งภูเขา ศพของบรรดาสัตว์ยักษ์วิหคดุร้ายกองสุมเต็มไปทั่วทั้งสถาบันศึกษาเทพเจ้า กระทั่งมีศพของสัตว์ยักษ์ที่มีขนาดใหญ่โตมโหฬารถึงกับสูงขึ้นไปถึงบนท้องฟ้า เลือดของพวกมันไหลรินสั่งสมจนกลายเป็นทะเลเลือดที่พลุ่งพล่าน

กล่าวได้ว่า ทอดสายตามองออกไปทั่วทั้งสถาบันศึกษาเทพเจ้าแล้วเป็นภาพที่น่าสยดสยองยิ่งนัก มีศพและกระดูกที่สุมดั่งภูเขาอยู่ทุกที่ มีเลือดที่ไหลนองเป็นธารอยู่ทุกแห่ง เห็นแล้วต้องอกสั่นขวัญแขวน

กลิ่นคาวเลือดไม่เพียงตลบอบอวลไปทั่วสถาบันศึกษาเทพเจ้าเท่านั้น กระทั่งตลบอบอวลไปทั่วทั้งโลกดึกดำบรรพ์ ตามหลักแล้วการอยู่ท่ามกลางโลกที่ไร้ซึ่งอารยะธรรมเช่นนี้ กลิ่นคาวเลือดจะต้องดึงดูดสัตว์ยักษ์วิหคดุร้ายจำนวนมากให้เข้ามา แต่ทว่า เวลานี้บรรดาสัตว์ยักษ์วิหคดุร้ายเมื่อได้กลิ่นคาวเลือดที่เข้มข้นถึงเพียงนี้แล้วกลับจะต้องสั่นเทาขึ้นมา กระทั่งตกใจจนขนตั้งขึ้นมา

หลังจากผ่านการต่อสู้กันอย่างดุเดือด สถาบันศึกษาเทพเจ้าเริ่มทำการกวาดล้างสมรภูมิรบ ขณะที่บรรดานักศึกษาที่หลบอยู่ภายในป้อมปราการต่างทยอยกันออกมา เข้าร่วมในขบวนการทำความสะอาดพื้นที่

นักศึกษาจำนวนนับไม่ถ้วนของสถาบันศึกษาเทพเจ้าถึงกับรู้สึกใจหายใจคว่ำ เมื่อมองเห็นศพและกองกระดูกที่สุมดั่งภูเขา แต่ว่าหลังจากนั้นนักศึกษาจำนวนมากกลับรู้สึกตื่นเต้นดีใจขึ้นมา โดยเฉพาะนักศึกษาจากศตาคารแล้วดีใจจนบอกไม่ถูก

เนื่องจากสัตว์ยักษ์วิหคดุร้ายที่ถูกสังหารมีเป็นจำนวนมากเหลือเกิน อีกทั้งอาจารย์ส่วนใหญ่เพียงแค่หยิบเอาส่วนที่ล้ำค่ามากที่สุดจากบรรดาสัตว์เหล่านี้ เป็นต้นว่าส่วนที่เป็นแก่น กระดูกเต๋า เน่ยตันเป็นต้น ที่เหลือล้วนแล้วแต่ทิ้งเอาไว้ให้นักศึกษาของสถาบันศึกษาเทพเจ้าได้รับประโยชน์ไปเต็มๆ

เวลานี้ นักศึกษาของสถาบันศึกษาเทพเจ้าจำนวนหมื่นพันต่างกระตือรือร้น และอารมณ์ฮึกเหิมเร่าร้อนอย่างยิ่งในการเข้าร่วมกวาดล้างสมรภูมิสู้รบ ทุกคนต่างอยากจะยึดเอาบรรดาซากของสัตว์ยักษ์วิหคดุร้ายที่กองสุมดั่งภูเขาเหล่านี้มาเป็นของตนเพียงผู้เดียวให้รู้แล้วรู้รอดไป

สมควรทราบว่า บรรดาสัตว์ยักษ์วิหคดุร้ายเหล่านี้อย่างน้อยก็มีชีวิตอยู่มาแล้วหลายหมื่นถึงหลายแสนปี บ้างอาจมีชีวิตมาแล้วนับล้านปี บรรดาสัตว์ยักษ์วิหคดุร้ายที่อาศัยอยู่ในโลกดึกดำบรรพ์เหล่านี้ เรียกได้ว่าทั้งเนื้อทั้งตัวล้วนแล้วแต่เป็นของล้ำค่า เป็นที่ต้องการอย่างยิ่งของผู้คน

ว้าวมังกรยักษ์นะเนี่ย เร็วเข้า พวกเราขอดเอาเกล็ดมังกรออกมากัน นักศึกษาทั้งหมดต่างดีใจเมื่อมองเห็นมังกรขนาดยักษ์ดั่งเทือกเขาลูกหนึ่งล้มตายอยู่ที่สถาบันศึกษาเทพเจ้า

แม้ว่าราชันทักษิณจะสังหารมังกรยักษ์ได้ แต่ราชันทักษิณก็เพียงหยิบฉวยเอาเฉพาะบางสิ่งที่ล้ำค่ามากที่สุดไปเท่านั้น ส่วนอื่นๆ เขาขี้คร้านจะไปแตะต้องด้วยซ้ำ

มังกรยักษ์ที่อยู่ตรงหน้าแม้ว่าจะนับเป็นสายของสัตว์ประหลาดไม่ใช่มังกรแท้จริง แต่ยังคงล้ำค่ายิ่งนัก ทั่วร่างของมันล้วนแล้วแต่ทรงคุณค่าทั้งสิ้น เช่น เกล็ดมังกร เท้ามังกร เอ็นมังกรเป็นต้น!

“พวกเราดึงเอ็นมังกรกัน เร็วเข้า หากปล่อยให้นักศึกษาจากจวนราชันเข้ามาได้พวกเราก็จะอดกัน พวกเราดึงเอ็นมังกรที่อยู่ส่วนหลังมาก่อน มันคือของที่ดีที่สุด…” นักศึกษาเฮโลกันเข้ามาเป็นกลุ่ม..Aileen-novel

“เร็ว เร็วเข้า ตัดเท้ามังกรออกมา นี่ พวกเจ้าที่เป็นหอศักดิ์สิทธิ์แล้วเก่งนักรึ เท้ามังกรข้างนี้เป็นของพวกเราชาวศตาคารได้มาก่อน เวลานี้เท้าข้างนี้เป็นของพวกเรา พวกเจ้าไปตัดอีกข้างหนึ่งสิ” มีนักศึกษาที่เกิดการแย่งเท้ามังกรขึ้นมา

แน่นอน ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ทุกคนอย่างมากก็โวยวายเถียงกันไม่กี่คำเท่านั้น ไม่มีใครต้องตีกันเพราะแย่งชิงร่างของสัตว์ยักษ์วิหคดุร้าย จะอย่างไรเสียศพสัตว์ยักษ์วิหคดุร้ายในสถาบันศึกษาเทพเจ้ามีจำนวนมากจนนับกันไม่หวั่นไม่ไหว แทนที่จะเสียเวลามาตีกันเพื่อแย่งชิงมิสู้เอาเวลาไปแย่งศพของสัตว์อื่นๆ จะดีกว่า

“นี่คือพันธุ์แปลกประหลาดของหงส์เทพห้าสีรึ?” นักศึกษาที่ยืนทอดถอนใจอยู่ด้านหน้านกขนาดยักษ์ตัวหนึ่ง มองดูขนนกที่มีหลากสีแล้วรู้สึกหวั่นไหวอย่างยิ่ง เป็นครั้งแรกที่เขาได้สัมผัสกับวิหคเทพพันธุ์ประหลาดเช่นนี้

“ทอดถอนใจหาอะไรกันเล่า” นักศึกษาที่มาด้วยกันกับเขาตบเข้าให้ที่ท้ายทอย ด่าออกมาว่า “รีบลงมือเร็วไว พวกเราจัดการถอนขนที่อยู่บริเวณก้นของนกตัวนี้ออกมาให้หมด นี่คือขนนกศักดิ์สิทธิ์พันธุ์ประหลาด ถ้าหากถอนออกมาได้ทั้งหมด สามารถทำเป็นพัดศักดิ์สิทธิ์ได้สองเล่มสามารถพัดลมไฟธาตุทั้งห้าได้ ยังไม่รีบลงมือ ขืนชักช้าเดี๋ยวก็ถูกคนอื่นแย่งชิงไป”

นักศึกษาผู้นี้ได้สติกลับมา ร่างสั่นเทิ้มทีหนึ่งแล้วรีบวิ่งเข้าไปอย่างรวดเร็ว และกล่าวว่า “เร็ว เร็วเข้า รีบถอนขน”

ในเวลานี้ นักศึกษาทั้งหมดของสถาบันศึกษาเทพเจ้าต่างมีอารมณ์เร่าร้อน ต่างวุ่นวายสาระวนไปกับการกวาดล้างทำความสะอาดสมรภูมิรบ ที่ถอนขนก็ถอนขนกันไป ที่แล่หนังก็แล่หนังกันไป ที่เลาะกระดูกก็เลาะกันไป

เรียกได้ว่าอาจารย์ของสถาบันศึกษาเทพเจ้าไม่ต้องเกรงว่าจะไม่มีใครทำความสะอาดสมรภูมิรบ ภายในระยะเวลาอันสั้นเพียงหนึ่งถึงสองวันเท่านั้น ศพของสัตว์ยักษ์วิหคดุร้ายที่สุมดั่งภูเขาก็ถูกชำแหละสิ้น

เมื่อชำแหละถึงสุดท้ายแล้ว เหลือไว้เพียงโครงกระดูกบางส่วนเท่านั้น ขณะที่นักศึกษาของสถาบันศึกษาเทพเจ้ามีเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะนักศึกษาของศตาคารต่างไม่ยอมปล่อยผ่านสิ่งมีค่าใดๆ ทั้งสิ้น

“กระดูกของสัตว์ยักษ์วิหคดุร้ายเหล่านี้ก็มีราคานะเนี่ย เอามาเคี่ยวให้เป็นครีมได้” มีนักศึกษาที่ทยอยกันทุบกระดูกให้ละเอียดเพื่อนำไปปรุงเป็นโอสถ

“นั่นสิ โครงกระดูกของมังกรตัวนี้ช่างใหญ่โตเหลือเกิน หากนำไปเคี่ยวให้เป็นครีมมังกร แล้วนำไปขายข้างนอกก็ได้ราคาที่น่าตกใจ จะอย่างได้เสียสามารถเคี่ยวให้เป็นครีมมังกรออกมาเป็นจำนวนมาก” จึงมีนักศึกษาลงมือเลาะกระดูกมังกรนั้นทันที

“เลือดสัตว์ก็นำมาเป็นวัตถุดิบได้ สามารถกลั่นให้เป็นแก่นก็จะมีค่ามากเช่นกัน” มีนักศึกษาที่ทยอยกันตั้งเตากลั่นโอสถขึ้น และนำเอาเลือดสัตว์จำนวนมากลงไปในเตา ต้องการกลั่นให้กลายเป็นแก่น

ภายในระยะเวลาอันสั้น ศพของสัตว์ยักษ์วิหคดุร้ายที่กองสุมดั่งภูเขาในสถาบันศึกษาเทพเจ้าก็ถูกกวาดล้างจนสะอาดเรี่ยม ท้ายที่สุดไม่เหลือแม้แต่กาก เลือดสัตว์ก็ถูกจัดการจนสะอาดหมดจด เรียกได้ว่านักศึกษาจำนวนมากไม่ยอมปล่อยผ่านทุกสิ่งทุกอย่างที่พอจะมีราคาไป

ภายในเวลาอันสั้น สถาบันศึกษาเทพเจ้าได้กลับคืนสู่ความสดชื่นเย็นสบายเหมือนที่ผ่านมา ไม่มีซากและกระดูกให้เห็น ไม่ได้กลิ่นคาวเลือดอีกต่อไป

“เฮ่อ คราวนี้นับว่ารวยกันแล้วหละ เมื่อไหร่จะมีสัตว์ยักษ์วิหคดุร้ายรุกรานเข้ามาอีกนะ” นักศึกษาของสถาบันศึกษาเทพเจ้าต่างทอดถอนใจออกมา หลังจากที่อิ่มเอมกันทั่วหน้า

กล่าวได้ว่า มาคราวนี้นักศึกษาจำนวนมากได้ลาภลอยมาก้อนหนึ่ง โดยเฉพาะกล่าวสำหรับนักศึกษาของศตาคารแล้วยิ่งจะเป็นเช่นนี้ นักศึกษาของศตาคารส่วนใหญ่มีชาติกำเนิดมาจากชนชั้นรากหญ้า พวกเขามีทรัพย์สินน้อยถึงน้อยที่สุด ต่อให้ทางสำนักมีของดีอะไรก็ตาม ก็ไม่มีโอกาสสำหรับรุ่นเยาว์อย่างพวกเขา ยิ่งไปกว่านั้น ทางสำนักของพวกเขาก็ไม่สามารถมีของดีอะไรนัก

ดังนั้น การเก็บกวาดสมรภูมิรบในครั้งนี้กำลังหลักจึงตกอยู่กับนักศึกษาจากศตาคาร พวกเขาจะไม่ยอมปล่อยผ่านของมีค่าใดๆ ทั้งสิ้นเฉกเช่นผลประโยชน์จากสัตว์ยักษ์วิหคยักษ์เช่นนี้ ปรกติแล้วเป็นไปได้อย่างไรที่จะเปิดโอกาสให้กับนักศึกษาจากศตาคารอย่างพวกเขา

เวลานี้บนท้องฟ้ากลับมีความมั่งคั่งก้อนใหญ่ตกลงมาจากฟากฟ้า นักศึกษาจากศตาคารจะไม่พยายามได้อย่าไร ดังนั้น นักศึกษาจากศตาคารก็คล้ายดั่งเป็นมดฝูงหนึ่งที่คอยเก็บกวาดสมรภูมิรบ ไม่ยอมละเว้นแม้แต่เศษกระดูก

แน่นอนที่สุด มีความพยายาม มีความขยันหมั่นเพียรย่อมต้องได้รับผลตอบแทน ดังนั้น นักศึกษาจากศตาคารจำนวนมากล้วนแล้วแต่ได้รับผลกำไรจนกระเป๋าตุง ท่าทีเหมือนกินอิ่มดื่มอย่างเพียงพอกันมาแล้วอย่างนั้น

การต่อสู้อย่างดุเดือนสิ้นสุดลง การทำความสะอาดสมรภูมิรบเสร็จสิ้น นักศึกษาของสถาบันศึกษาเทพเจ้าต่างเข้าใจว่าภัยอันตรายได้ผ่านพ้นไปแล้ว แต่ว่า พวกเขากลับไม่รู้ว่าอันตรายเพิ่งจะเริ่มต้นเท่านั้นเอง การรุกรานของสัตว์ยักษ์วิหคดุร้ายเป็นเพียงอาหารว่างก่อนที่จะมีมื้อใหญ่ตามมาเท่านั้น

ตูม ตูม ตูมขณะที่นักศึกษาทั้งหมดต่างเข้าใจว่าสถาบันศึกษาเทพเจ้าได้กลับคืนสู่สภาวะเงียบสงบแล้วนั้น ทันใดนั้นเอง เสียงดังตูมตามดังขึ้นเป็นระลอก มันเป็นเสียงของกองทหารม้าที่เกรียงไกรที่วิ่งฮ่อเข้ามา

ตูม…กองทัพม้าเหินฟ้าเข้ามาจากเส้นขอบฟ้าอย่างรวดเร็ว เสมือนดั่งเป็นมีดปลายแหลมที่ฉับพลันแทงทะลุท้องฟ้ามาจากทางด้านเส้นขอบฟ้า ฉับพลันก็มาถึงด้านนอกของสถาบันศึกษาเทพเจ้า

กองทหารกองนี้ปรากฏธงทิวที่โบกสะบัด ปณิธานการฆ่ารุนแรง เสมือนดั่งเป็นกองทัพที่เกรียงไกร กลิ่นไอเยือกเย็นที่ปะทุออกมาจากกองทหารกองนี้ทำให้ผู้คนต้องตัวสั่นดั่งลูกนก แค่มองเห็นกองทัพนี้แล้วก็รู้ได้ทันทีว่า ต้องเป็นกองทัเกรียงไกรผ่านการรบพุ่งในสมรภูมิมานาน

“นี่ นี่มันคือกองทัพเซียนหวังของเหรินเซิ่น” กองทหารนี้มาถึงด้านหน้าของสถาบันศึกษาเทพเจ้าโดยพลัน นักศึกษาที่มองเห็นธงที่โบกสะบัดนั่นถึงกับร้องเสียงดังขึ้นมา

“ถูกต้อง เป็นกองทัพเซียนหวังของเหรินเซิ่นจริงๆ !” นักศึกษาจำนวนมากทยอยกันจดจำประวัติความเป็นมาของกองทหารนี้ได้ กล่าวด้วยความตระหนกว่า “กองทัพของเหรินเซิ่นมาช่วยสถาบันศึกษาเทพเจ้าของพวกเรารึ?”

“กองทัพของเหรินเซิ่นนะเนี่ย นับได้ว่าเป็นกองทัพที่แข็งแกร่งที่สุดในยุคของพวกเราแล้ว กองทัพนี้เคยรอบโจมตีจินเก๋อมาก่อนในครั้งนั้น เคยรับกับกองทัพไร้เทียมทานของตระกูลขุนนางโบราณจ้านหวัง เรียกได้ว่ามีผลงานการสู้รบที่โด่งดังมาก” นักศึกษาเผ่ามพันธุ์มนุษย์เมื่อมองเห็นกองทัพนี้แล้วถึงกับกล่าวด้วยความภาคภูมิใจ

ครั้งนั้นเหรินเซิ่นลอบโจมตีจินเก๋อ สุดท้ายทำให้การสืบทอดชะตาฟ้าของจินเก๋อต้องล้มเหลว แม้ว่าภายหลังเผ่าสวรรค์ก็ได้เคยล้างแค้นให้กับจินเก๋อ ถึงแม้ว่าเหรินเซิ่นเองก็ได้สูญเสียโอกาสสืบทอดชะตาฟ้าในครั้งแรกไปเช่นกัน แต่ทว่า ชื่อเสียงของเหรินเซิ่นก็ได้ขจรไกลในสิบสามทวีปแล้ว

กระทั่งมีรุ่นอาวุโสจำนวนมากที่มั่นใจใจตัวของเหรินเซิ่น ทุกคนต่างรู้สึกว่าในยุคนี้เหรินเซิ่นสามารถเป็นผู้นำของร้อยชาติพันธุ์ได้ สามารถเป็นจอมราชันนำพาร้อยชาติพันธุ์ต่อต้านกับเผ่าเทพ เผ่ามาร และเผ่าสวรรค์สามเผ่าในยุคนี้ได้!

แม้จะกล่าวว่า ในด้านการบำเพ็ญเพียรสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนว่า กู่ฉวี่หังนั้นไปได้ไกลกว่า แต่ในด้านชื่อเสียงเฉพาะตัวนั้น เหรินเซิ่นกลับเหนือกว่ากู่ฉวี่หังอยู่มากทีเดียว เหรินเซิ่นคือผู้นำร้อยชาติพันธุ์ของยุคนี้ ขณะที่กู่ฉวี่หังเป็นเพียงผู้อยู่อย่างสมถะเท่านั้นเอง

ดังนั้น หากเอ่ยถึงเหรินเซิ่นในทวีปเจียวเหิงโจว ไม่รู้ว่ามีผู้คนจำนวนเท่าไรที่รู้สึกภูมิใจในตัวของเขา โดยเฉพาะเผ่าพันธุ์มนุษย์ยิ่งถือเอาเหรินเซิ่นเป็นความภาคภูมิใจ ผู้คนจำนวนมากต่างเห็นพ้องต้องกันว่า เหรินเซิ่นจะต้องเป็นผุ้นำของร้อยชาติพันธุ์ในยุคนี้แน่นอน

ปัง…เวลานี้มองเห็นอาชาเทพที่เหินฟ้าเข้ามา พลันปรากฏอยู่ด้านหน้ากองทัพเซียนหวัง บริเวณด้านหน้าของสถาบันศึกษาเทพเจ้า

อาชาเทพสง่างามยิ่ง เสมือนดั่งเป็นม้าศึกที่ยากจะหาใดเปรียบเปรยนับแต่อดีตถึงปัจจุบัน มองเห็นกล้ามเนื้อที่เป็นมัดไปทั่วร่าง เปรี่ยมด้วยพลังปะทุ พลันที่ผู้คนมองเห็นก็รู้ได้ทันทีว่าเป็นอาชาเทพที่สามารถกระโดดข้ามไปยังเก้าชั้นฟ้าสิบแดนดินได้

อาชาเทพมีความสง่างาม แต่ผู้ที่อยู่บนหลังม้ายิ่งสง่างามมากกว่า เป็นชายหนุ่มคนหนึ่ง คิ้วดั่งจันทรา ดวงตาดั่งดวงดารา ตัวของเขาดูมีราศีเจิดจ้า ไม่ว่าไปอยู่ที่ใดก็เป็นเป้าสายตาของผู้คน โดยเฉพาะดวงตาคู่นั้นของเขา เสมือนดั่งดาวพระศุกร์บนท้องฟ้า สามารถนำทางสรรพชีวิตก้าวไปข้างหน้าท่ามกลางความมืด

ชายหนุ่มที่อยู่บนหลังม้าตลบอบอวลไปด้วยอานุภาพเซียนหวัง เขาเสมือนหนึ่งเป็นบุตรของเซียน ทุกท่วงท่าของเขาเปี่ยมด้วยเสน่ห์ไร้ขีดจำกัด เป็นที่ไว้วางใจและเลื่อมใสยิ่งของผู้คน เหมือนว่าเข้าไม่จำเป็นต้องพูดอะไรออกมา ก็มีพลังที่จะหว่านล้อมอย่างเพียงพอ

“เหรินเซิ่น…” นักศึกษาถึงกับร้องเสียงดังขึ้นมาเมื่อมองเห็นชายหนุ่มผู้นี้แล้ว

“คือเหรินเซิ่น เหรินเซิ่นจริงๆ ข้าได้พบเหรินเซิ่นตัวจริงแล้ว” กระทั่งมีนักศึกษาหญิงที่หลงใหลผู้ชายของสถาบันศึกษาเทพเจ้าที่ร้องเสียงแหลมออกมา

Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *