Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล 2499 แค่คว้าเอามาตามอารมณ์เท่านั้น

Now you are reading Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล Chapter 2499 แค่คว้าเอามาตามอารมณ์เท่านั้น at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 2499 แค่คว้าเอามาตามอารมณ์เท่านั้น
ทุกคนต่างจ้องมองดูไปที่หลี่ชิเย่ จากแววตาที่แสดงออกมานั้นชัดเจนอย่างที่สุด ล้วนแล้วแต่รอคอยให้หลี่ชิเย่ประกาศยกบัลลังก์ให้กับราชันแท้จริงปาเจิ้น

“เคล็ดวิชาจิ่วมี่นะเนี่ย” หลี่ชิเย่ยิ้มนิดหนึ่ง นั่งอยู่บนพระราชอาสน์ตามอารมณ์ ขาทั้งสองข้างยังคงวางพาดอยู่บนโต๊ะทองคำขนาดใหญ่ตัวนั้น เหมือนว่าไม่รีบร้อนแม้แต่น้อยอย่างนั้น

“นี่คือการถ่วงเวลารึ?” มีผู้พูดเสียงแผ่วเบาขึ้นมา เมื่อมองเห็นหลี่ชิเย่ที่นั่งอยู่กับพระราชอาสน์โดยไม่มีความเคลื่อนไหวแม้แต่น้อย

“ต่อให้เป็นการถ่วงเวลาก็ไร้ประโยชน์ คำพูดที่พูดออกมาก็เหมือนเช่นน้ำที่ถูกสาดออกไป เขาสามารถถ่วงเวลาได้ระยะหนึ่ง แต่ไม่สามารถถ่วงเป็นชาติ อย่าว่าแต่เอื้อมมือคว้าเอามาตามอารมณ์เลย ขอเพียงเขาไม่สามารถบรรลุเคล็ดวิชาจิ่วมี่ได้ เขาก็ต้องยกบัลลังก์ให้กับราชันแท้จริงปาเจิ้น” ยอดฝีมือรุ่นอาวุโสส่ายหน้า

สำหรับสองผู้เฒ่าที่อยู่ข้างกายปิงฉือหานยวี่นั้น ได้จ้องมองหลี่ชิเย่พร้อมตะครุบดั่งพญาเสือ สำหรับพวกเขาแล้วมองว่า การที่หลี่ชิเย่คิดบรรลุเคล็ดวิชาจิ่วมี่มันคือการฝันเฟื่องของคนปัญญาอ่อน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่ายื่นมือคว้าเอามาตามใจ

ดังนั้นผู้คน ณ เวลานี้ ที่พวกเขารอคอยก็คือรอให้หลี่ชิเย่ประกาศยกบัลลังก์ให้กับราชันแท้จริงปาเจิ้น ถ้าหากหลี่ชิเย่ในเวลานี้กล้าเล่นตุกติกล่ะก็ พวกเขาจะลงมือทันที จะไม่มีคำว่าเกรงใจอย่างเด็ดขาด

หลี่ชิเย่เพียงนั่งอยู่ที่พระราชอาสน์ด้วยท่าทีเรียบเฉย มองไประยะห่างไกล และเผยรอยยิ้มเฉยเมยขึ้นมา เหมือนว่าไม่ได้รีบร้อนแม้แต่น้อย ขณะที่ดวงตาทั้งสองเผยรอยยิ้มที่ลึกซึ้งออกมา

“รีบๆ บรรลุเสีย ให้ทุกคนได้เปิดหูเปิดตา ดูว่าเจ้าบรรลุเคล็ดวิชาจิ่วมี่ได้อย่างไรกัน” มีผู้ที่อยู่ห่างไกลออกไปอดที่จะร้องเสียงดังขึ้นมา เมื่อเห็นว่าหลี่ชิเย่ยังคงนั่งอยู่ที่บัลลังก์ฮ่องเต้โดยมีมีทีท่าว่าจะลงมือสักที

“นั่นสิ รีบจัดการบรรลุเคล็ดวิชาจิ่วมี่ให้ได้ พวกเราอยู่มาจนอายุปูนนี้แล้ว ต่างก็ไม่เคยพบเห็นเคล็ดวิชาจิ่วมี่มาก่อน วันนี้เจ้าบรรลุให้ได้เพื่อให้ทุกคนได้เปิดหูเปิดตาบ้างก็ดี” คนอื่นๆ ทยอยพากันเอะอะโวยวายขึ้นมา

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง บรรดาอัจฉริยะบุคคลกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่เคยถูกหลี่ชิเย่ทำให้ต้องอัปยศก่อนหน้าครั้งอยู่ที่ป่าหิน ยิ่งแย่งกันเยาะเย้ย และร้องเสียงดังขึ้นมาว่า “ถ้าหากไม่ไหวจริงๆ ล่ะก็ อย่าทำเป็นผู้กล้าอีกเลย รีบๆ ประกาศยกบัลลังก์ให้กับราชันแท้จริงปาเจิ้นเสีย จะอย่างไรเจ้าก็คือฮ่องเต้ที่โง่เขลาเบาปัญญาคนหนึ่ง ผู้คนทั่วหล้าใครบ้างไม่รู้ว่าเจ้าเป็นประเภทเลอะเทอะไร้ความสามารถ ใครบ้างที่ไม่รู้ว่าเจ้าก็คือคนที่สุดจะเยียวยาได้ จะเป็นอีกสักครั้งก็ไม่เห็นจะเป็นอะไร”

ท่ามกลางป่าหิน อัจฉริยะบุคคลกลุ่มคนรุ่นใหม่จำนวนไม่น้อยถูกหลี่ชิเย่จัดการทำให้ต้องอับอายอย่างยิ่ง พวกเขาได้รับความอัปยศอย่างใหญ่หลวง มาวันนี้สามารถถือโอกาสที่ดีเช่นนี้ทับถมซ้ำเติม ทำให้ฮ่องเต้องค์ใหม่ต้องอับอาย โอกาสเช่นนี้พวกเขาจะพลาดได้อย่างไรกัน

ต่อให้พวกเขาไม่สามารถลงมือแก้แค้นด้วยตนเอง แต่ว่าก็สามารถถือโอกาสที่หาได้ยากยิ่งเช่นนี้ระบายความแค้นในใจสักครั้ง

อย่างไรก็ตาม หลี่ชิเย่ไม่ได้มองการเอะอะโวยวายเหล่านี้อยู่ในสายตา เพียงยิ้มเฉยเมยเท่านั้น

“เจ้ายังจะต้องใช้เวลานานเท่าไรจึงสามารถบรรลุเคล็ดวิชาจิ่วมี่ได้ล่ะ?” เวลานี้ปิงฉือหานยวี่ก็เอ่ยขึ้นช้าๆ นางไม่ได้รีบร้อนแม้แต่น้อย เนื่องจากนางได้กำไพ่ตายอยู่ในมือแล้ว ได้ฉกฉวยโอกาสที่ดีที่สุดให้กับราชันแท้จริงปาเจิ้นได้แล้ว คว้าความได้เปรียบที่ดีที่สุดไว้ในมือได้แล้ว เวลานี้ หนึ่งเดียวที่นางต้องระวังก็คือการเล่นตุกติกของหลี่ชิเย่

หลี่ชิเย่ไม่ได้ตอบคำถามของปิงฉือหานยวี่ เขายิ้มเฉยเมยและกล่าวว่า “เจ้าทุ่มเทขนาดนี้เพื่อให้ราชันแท้จริงปาเจิ้นได้รับประโยชน์ คิดแทนเข้า ถ้าหากว่าเจ้าต้องตกไปอยู่ในมือของข้า เจ้าคิดว่าเขาจะสู้ตายเพื่อช่วยเหลือเจ้าหรือไม่?”

“เรื่องเช่นนี้จะไม่เกิดขึ้นอย่างเด็ดขาด” ปิงฉือหานยวี่กล่าวท่าทีเย็นชา

“อย่างนั้นรึ? อย่าพูดคำพูดที่เกินไปนัก” หลี่ชิเย่หัวเราะและกล่าวว่า “เวลานี้ข้าบรรลุเคล็ดวิชาจิ่วมี่ได้ เจ้าก็จะตกไปอยู่ในมือของข้า เมื่อเป็นเช่นนั้น ข้าอยากจะทำอะไรก็ทำได้”

“ก็ต้องรอให้เจ้าบรรลุเคล็ดวิชาจิ่วมี่ให้ได้เสียก่อนแล้วค่อยว่ากัน” ปิงฉือหานยวี่ส่งเสียงฮึเย็นชาขึ้นมา และกล่าวเสียงเย็นชาขึ้นมา

“ข้าบังเกิดความคิดที่น่าสนใจขึ้นมากะทันหัน” หลี่ชิเย่เผยรอยยิ้มที่ลึกซึ้งขึ้นมา และกล่าวว่า “ถ้าหากว่าเจ้าตกไปอยู่ในมือของข้า ข้าจะทำการสั่งสอนเจ้าอย่างดี สั่งสอนให้เจ้ากลายเป็นทาสรับใช้ของข้า เจ้าลองว่ามาซิว่า ราชันแท้จริงปาเจิ้นคู่หมั้นของเจ้าจะยังคงแต่งงานกับเจ้าหรือไม่? ยังคงต้องการผู้หญิงที่เคยเป็นทาสอย่างเจ้ามาก่อนหรือไม่?”

พลันที่หลี่ชิเย่พูดคำๆ นี้ออกมา สีหน้าของปิงฉือหานยวี่อดไม่ได้ที่จะเปลี่ยนไปมากทีเดียว พลันปรากฏใบหน้าที่เย็นยะเยือกขึ้นมา

“เจ้าพูดจาให้ดีๆ หน่อย…” สีหน้าของผู้เฒ่าทั้งสองที่อยู่ข้างกายปิงฉือหานยวี่พลันเปลี่ยนไป ร้องตวาดเสียงดัง ดวงตาทั้งสองเผยให้เห็นปณิธานฆ่าออกมา

แต่ว่า หลี่ชิเย่ไม่ให้ความสนใจพวกเขา เอามือลูบคางและหัวเราะ เอ่ยขึ้นช้าๆ ว่า “ทันใดนั้น ข้ารู้สึกว่าบนโลกนี้มีเรื่องบางเรื่องช่างน่าสนุกขึ้นมากะทันหัน ข้ากำลังพิจารณาอยู่ว่า จะไว้ชีวิตราชันแท้จริงปาเจิ้นเอาไว้ ถ้าหากข้าไว้ชีวิตเขาล่ะก็ เขามีชีวิตอยู่ต่อไปแล้วชั่วชีวิตสามารถก้าวออกจากเงาทมิฬของข้าไปได้หรือไม่?”

ผู้คนจำนวนมากที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างมองหน้ากันและกันเมื่อได้ยินคำพูดเช่นนี้ ทุกคนได้ตระหนักอีกครั้งว่า ฮ่องเต้องค์ใหม่ใช่สวะหรือไม่นั้นพูดยาก แต่ว่า เขาคือผู้ที่มั่วโลกีย์และไร้คุณธรรมอย่างแน่นอน มีเพียงคนที่มั่วโลกีย์และไร้คุณธรรมจึงคิดเช่นนี้ได้ และมีความคิดที่บ้าบิ่นเช่นนี้

ดาบอริยะกวานไห่ที่อยู่ในเหตุการณ์ได้ยินคำพูดเช่นนี้ของหลี่ชิเย่แล้ว ดวงตาทั้งสองของเขาอดเพ่งมองไปข้างหน้าไม่ได้ ในเวลานี้เขามีความสงสัยอยู่บ้างแล้วว่า ความคิดที่บ้าบิ่นเช่นนี้ ฮ่องเต้ที่โง่เขลาเบาปัญญาคนหนึ่งสามารถคิดเช่นนี้ได้จริงหรือ?

ลึกเข้าไปภายในดวงตาทั้งสองของฉินเจี้ยนเหยาพลันถึงกับหดตัวลงอย่างช่วยไม่ได้ พริบตาเดียวนั่นเองภายในใจของนางบังเกิดความหวาดกลัวขึ้นมาสายหนึ่ง และชั่วพริบตาเดียวนางเสมือนรู้สึกว่าคนที่นั่งอยู่ตรงนั้นใช่ฮ่องเต้องค์ใหม่อะไร นั่นคือมือมืดที่น่ากลัวอย่างยิ่ง เขานั่นแหละคือมือมืดที่แอบอยู่เบื้องหลังคอยบงการทุกอย่าง เขานั่นแหละคือผู้ที่ดำรงอยู่ในฐานะน่ากลัวที่สุด

“เจ้ายังคงทำความบรรลุโดยเร็วเถอะ” เวลานี้ปิงฉือหานยวี่ที่ใบหน้าเย็นยะเยือก กล่าวเสียงเย็นชาว่า “ทำเป็นพูดเฉไฉประวิงเวลาก็ไร้ประโยชน์ ไม่ก็รีบๆ ยอมแพ้เสีย ประกาศยกบัลลังก์ให้กับราชันแท้จริงปาเจิ้นเดี๋ยวนี้เลย”

“นั่นสิ ไม่ไหวก็ยอมแพ้เสีย อย่าทำให้ทุกคนต้องเสียเวลา” ด้านนอกทะเลสาบมีผู้ร้องเสียงดังขึ้นมา “ไหนๆ ฮ่องเต้ที่โง่เขลาเบาปัญญาอย่างเจ้าก็ทำลายชาติและประชาราษฎร์อยู่แล้ว”

“อาศัยสวะอย่างเจ้าก็คิดจะบรรลุเคล็ดวิชาจิ่วมี่ ฝันไปเถอะ เจ้าคิดจะทำเรื่องที่แม้แต่ราชันแท้จริงยังทำไม่ได้ เจ้าคิดว่าตัวเองเป็นใคร เป็นเรื่องที่หัวเราะจนฟันหักโดยแท้” มีผู้คนจำนวนไม่น้อยเอะอะโวยวายขึ้น โดยเฉพาะผู้ที่เคยคุกเข่าต่อหน้าหลี่ชิเย่เหล่านั้น ยิ่งส่งเสียงออกมารุนแรงดุดันจากที่ที่ห่างไกล

หลี่ชิเย่เผยรอยยิ้มที่ลึกซึ้งออกมา โดยไม่ได้ให้ความสนใจบรรดาผู้ที่ร้องเอะอะโวยวายเหล่านั้น เวลานี้เขาได้เพ่งสายตาไปข้างหน้า หัวเราะและกล่าวว่า “แค่เคล็ดวิชาจิ่วมี่เท่านั้น ไม่คู่ควรที่จะกล่าวถึง คอยดูข้าคว้าเอามาตามอารมณ์”

พลันที่หลี่ชิเย่พูดขาดคำ ได้ยื่นมือขวาออกไป และยกขึ้นเบาๆ จังหวะที่มือขวาหลี่ชิเย่ยกขึ้นเบาๆ นั้น บรรดาผู้คนทั้งหมดที่อยู่ในเหตุการณ์ได้บังเกิดภาพลวงตา พริบตาเดียวนั่นเอง เสมือนดั่งผืนแผ่นดินของเขาจิ่วเหลียนซานทั้งหมดถูกลอกคราบออกอย่างนั้น

เหมือนว่าเขาจิ่วเหลียนซานเปรียบประดุจดั่งสัตว์ร้ายในยุคดึกดำบรรพ์ตัวหนึ่ง สัตว์ดึกดำบรรพ์ที่มีขนาดใหญ่โตมโหฬารตัวหนึ่ง จังหวะที่มือของหลี่ชิเย่ยกขึ้นเบาๆ นั้น ก็จัดการถลกเอาหนังของสัตว์ดึกดำบรรพ์ที่มีขนาดใหญ่โตมโหฬารตัวนี้ออก ดังนั้น นาทีนี้ผู้คนจำนวนมากรู้สึกว่าตนเองกำลังยืนอยู่บนหนังที่ถูกถลกออกมาอย่างนั้น รู้สึกว่าใต้เท้าของตนเหมือนเบาหวิวอยู่เล็กน้อย และรู้สึกนุ่มๆ แม้ว่าขาทั้งสองข้างของตนก็เหยียบและยืนอยู่บนยอดเขาชัดเจน แต่ยังคงดุจดั่งว่าพร้อมจะตกลงไปทุกเมื่อ

ในเวลานี้เอง มือขวาของหลี่ชิเย่พลันกางออก ได้ยินเสียงแว้งค์ดังขึ้นเสียงหนึ่ง มือขนาดใหญ่ของหลี่ชิเย่คล้ายปรากฎวังวนขนาดเล็กขึ้นมา

แว้งค์ แว้งค์ แว้งค์จังหวะนี้เอง ปรากฏเสียงร้องคำรามที่แผ่วเบาขึ้นมาเสียงหนึ่ง เสมือนว่าช่องว่างของเขาจิ่วเหลียนซานมีการสั่นเทาขึ้นมา การสั่นเทาที่แผ่วเบานี้คล้ายดั่งเป็นการกระพือปีกเบาๆ ของจั๊กจั่นอย่างนั้น

ในชั่วพริบตาเดียวนั่นเอง มองเห็นเขาจิ่วเหลียนซานที่ได้เปล่งแสงออกมาเป็นสาย โดยที่แสงแต่ละสายดุจดั่งมุดออกมาจากทุกตารางนิ้วของผืนแผ่นดินอย่างนั้น

ยามที่แสงแต่ละสายหลังจากมุดขึ้นมาจากผืนแผ่นดินทุกตารางนิ้วแล้ว ก็ค่อยๆ ลอยตัวสูงขึ้นช้าๆ แสงทุกสายจะมีความสูงราวสามฟุต และแสงทุกๆ สายก็จะมีประกายแวบวับเป็นสีทองออกมา

จากการที่แสงแต่ละสายที่ลอยตัวขึ้นมาอย่างช้าๆ นี้ เพียงชั่วพริบตาเดียวเท่านั้น ทั่วทั้งเขาจิ่วเหลียนซานเสมือนดั่งกลายเป็นผืนทะเลไปสิ้นอย่างนั้น

แสงแต่ละสายมองดูก็เหมือนหนึ่งเป็นเข็มทองคำที่มีขนาดเล็กและยาว โดยที่เข็มทองคำแต่ละอันลอยตัวอยู่เหนือพื้นดินที่ความสูงราวสามฟุตเหนือศีรษะขึ้นไป

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง แสงที่มุดและโผล่ขึ้นมาจากใต้พื้นดินมีจำนวนมากถึงหนึ่งหมื่นล้านล้านล้านล้านอัน ด้วยปริมาณแสงถี่ยิบที่ลอยอยู่เหนือท้องฟ้าของเขาจิ่วเหลียนซาน เหมือนหนึ่งทั่วทั้งเขาจิ่วเหลียนซานถูกทะเลเข็มทองคำท่วมจนมิดอย่างนั้น ทุกๆ ที่ที่สายตาของทุกคนมองเห็นล้วนแล้วแต่เป็นทะเลเข็มทองคำเต็มพื้นที่ไปหมด เหมือนว่าหากทะเลเข็มทองคำลักษณะเช่นนี้ยิงถล่มลงมาล่ะก็ สามารถยิงถล่มจนเขาจิ่วเหลียนซานทั้งลูกกลายเป็นกระชอนได้อย่างนั้น

ทุกคนมองดูแสงสีทองจำนวนหนึ่งหมื่นล้านล้านล้านล้านสายที่ลอยตัวอยู่เหนือท้องฟ้าต่างอ้าปากกว้างค้างอยู่อย่างนั้น ทุกคนต่างไม่รู้ว่ามันคืออะไรกันแน่

สีหน้าของฉินเจี้ยนเหยาพลันขาวซีดเมื่อมองเห็นแสงเป็นหนึ่งหมื่นล้านล้านล้านล้านสายเช่นนี้ นัยน์ตาเบิกกว้างไม่อยากเชื่อสายตาของตนเอง

ดาบอริยะกวานไห่มองเห็นภาพเช่นนี้ที่อยู่ตรงหน้าก็ถึงกับเพ่งสายตาไปข้างหน้า แม้ว่าเขาจะไม่รู้ว่าสิ่งนี้คือสิ่งใด แต่ความลึกซึ้งยอดเยี่ยมที่ซ่อนอยู่ภายในเขาไม่สามารถเฝ้าสังเกตุและศึกษาอย่างละเอียดได้อยู่แล้ว สมควรทราบว่า ดาบอริยะกวานไห่นั้นเคยฝึกปรือเคล็ดวิชาที่ลึกซึ้งยอดเยี่ยมมานับไม่ถ้วน แต่ทว่าแสงจำนวนหนึ่งหมื่นล้านล้านล้านล้านสายที่ถี่ยิบตรงหน้า เขากลับไม่สามารถมองเห็นความนัยแม้แต่นิดเดียว

ปิงฉือหานยวี่ที่มองเห็นภาพเช่นนี้แล้วพลันมีสีหน้าที่เปลี่ยนไปมากทีเดียว แม้ว่านางไม่รู้ว่าแสงจำนวนหนึ่งหมื่นล้านล้านล้านล้านสายนี้ใช้ทำอะไรกันแน่ แต่ทว่าทันใดนั้น นางมีความรู้สึกสังหรณ์ใจที่ทำให้ใจไม่เป็นสุข นาทีนี้นางรู้สึกว่าชะตาชีวิตของตนถูกกุมอยู่ในมือของผู้อื่นแล้วอย่างนั้น โดยไม่อยู่ในความควบคุมของตนเองอีกต่อไป นางช่างอ่อนแอไร้เรี่ยวแรงเสียเหลือเกิน

สำหรับทังเฮ่อเสียงนั้น ท่าทางของเขาหนักแน่นจริงจัง มือกำทวนทองคำเอาไว้แน่นอย่างช่วยไม่ได้ ดวงตาทั้งสองเผยปณิธานฆ่าออกมาวูบวาบ

ภายในเขาจิ่วเหลียนซาน คนตัดฟืนแห่งเขาหนานซานดูดกล้องยาสูบฟูดดด ฟูดดดขณะมองดูแสงจำนวนหนึ่งหมื่นล้านล้านล้านล้านสายที่ลอยอยู่บนท้องฟ้า ประกายตาของเขาถึงกับเต้นกระตุกทีหนึ่ง แต่ก็จนด้วยเกล้า ได้แต่ทอดถอนใจเบาๆ และพึมพำขึ้นมาว่า “พันล้านปีที่ผ่านมา ผู้คนจำนวนมากมายเท่าไรใช้เวลาชั่วชีวิตก็ไม่สามารถบรรลุได้ แต่แล้ว กล่าวสำหรับบางคนแล้วมันก็ง่ายยิ่งกว่าพลิกฝ่ามือเสียอีก เหล่าชั้นฟ้าและเหล่าเทพเมื่อเทียบกับผู้ยิ่งใหญ่ที่แท้จริงแล้ว ยังคงเหมือนดั่งมดปลวกเท่านั้นเอง”

ครั้นคนตัดฟืนแห่งเขาหนานซานเอ่ยมาถึงตรงนี้ต้องทอดถอนในออกมาอย่างจนด้วยเกล้า ยังคงดูดกล้องยาสูบดังฟูดดด ฟูดดด และไม่ได้มีท่าทีอะไรอีก

เนื่องจากภายในใจของเขานั้นเข้าใจเป็นอย่างดีว่า ที่ตนเองเผชิญหน้าอยู่คือผู้ที่ดำรงอยู่ในสถานะน่ากลัวเพียงใด สามารถแย่งเอาแม้แต่อาวุธศักดิ์สิทธิ์ที่เขาโปรดปรานที่สุดไปได้อย่างง่ายดาย ผู้ดำรงอยู่ในสถานะเช่นนี้ช่างเป็นบุคคลที่น่ากลัวเพียงใด อย่างน้อยที่สุดก็ต้องเริ่มต้นที่ระดับปฐมบรรพบุรุษ

ผู้ดำรงอยู่ในสถานะเช่นนี้หาใช่ผู้ที่เขาสามารถไปต่อต้านได้ ต่อให้เขาแข็งแกร่งมากกว่านี้ก็ไม่ไหว

…………………………………………………………

Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *