Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล 2409 ออกเดินทางไกล

Now you are reading Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล Chapter 2409 ออกเดินทางไกล at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ท่ามกลางหุบเขาแห่งหนึ่งภายในพรรคหยางหมิง มีบรรดาเหล่าบรรพบุรุษของพรรคหยางหมิงนั่งบัญชาการอยู่ในขณะนี้

มันคือหุบเขาที่ค่อนข้างจะรกร้างแห่งหนึ่ง แม้จะกล่าวว่าพรรคหยางหมิงเป็นพื้นที่สุขสันต์แห่งหนึ่ง มีทิวทัศน์ที่งดงามอยู่ทั่วไป แต่ว่า หุบเขาแห่งนี้ยังคงเป็นหุบเขาที่ค่อนข้างจะเปลี่ยว

ณ ที่ตรงนี้จะเห็นได้ว่าประกอบด้วยก้อนหินจำนวนมากไม่เป็นระเบียบ สลับฟันปลากัน มีก้อนหินจำนวนมากที่ปรากฏออกมาอยู่เหนือพื้นดิน ถูกกัดกร่อนโดยลมตีและแดดเผา แม้ว่าก้อนหินเหล่านี้จะผ่านลมตีและแดดเผามานานนับพันล้านปี ผ่านการเปลี่ยนแปลงของกาลเวลาอย่างช้าๆ แต่พวกมันกลับไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงอะไรมากนัก

ท่ามกลางหุบเขาที่ค่อนข้างจะเปลี่ยวแห่งนี้ นอกเหนือจากหินที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติที่ปรากฎอยู่เหนือพื้นดินจำนวนมากแล้ว ยังมีก้อนหินขนาดยักษ์แต่ละก้อนที่ถูกจัดวางระแกะระกะอยู่บนพื้น และมีพื้นที่อยู่จำนวนไม่น้อยที่มีหญ้าขึ้นรกร้าง

เมื่อสังเกตอย่างละเอียด ผู้คนอาจเข้าใจไปว่าสถานที่แห่งนี้เคยเป็นเหมืองแร่ขนาดยักษ์แห่งหนึ่ง เพียงแต่ภายหลังได้ถูกทิ้งร้างไปแล้ว

ท่ามกลางหุบเขาแห่งนี้มีค่ายกลศิลาขนาดใหญ่โตมโหฬารอยู่ ค่ายกลศิลาดังกล่าวกินพื้นที่ของหุบเขาทั้งหมดไปด้านหนึ่ง มีก้อนหินแต่ละก้อนที่วางตั้งขึ้นภายในค่ายกลศิลานี้ ก้อนหินทุกก้อนล้วนแล้วแต่เป็นหินแกร่งที่อาศัยค่ายกลโบราณจัดวางให้ตั้งขึ้นมา

ค่ายกลศิลาดังกล่าวดูหยาบมาก เหมือนเป็นการตั้งขึ้นมากะทันหันอย่างนั้น อีกทั้ง ก้อนหินที่นำมาใช้ล้วนแล้วแต่นำมาจากพื้นที่บริเวณนี้เอง ทั้งหมดถูกนำมาจากหุบเขาแห่งนี้แหละ

บางทีอาจเป็นเพราะเป็นค่ายกลที่ตั้งขึ้นกะทันหัน และหรือไม่ค่อยได้ใช้ หรือบังเอิญใช้สักครั้งสองครั้ง ดังนั้นค่ายกลศิลาจึงถูกจัดตั้งขึ้นมาอย่างหยาบๆ ไม่ได้มีใครไปดูแลและหรือมีการแกะสลักอย่างประณีต

แม้จะเป็นเช่นนี้ก็ตาม แต่ว่าโลกนี้ยังจะมีสิ่งใดใช้ได้ทนทานได้นานกว่าก้อนหินกันเล่า ดังนั้น แม้ว่าค่ายกลศิลานี้หลังจากสร้างขึ้นมาแล้วก็ไม่เคยได้ใช้มันเลย มันก็ยังคงยืนหยัดอยู่ไม่ล้มลง สภาพของค่ายกลศิลายังคงถูกรักษาและคงสภาพเอาไว้เป็นอย่างดี

ท่ามกลางค่ายกลศิลา ก้อนหินแต่ละก้อนที่ถูกจัดวางตั้งขึ้นนั้นมีหลุมขนาดเล็กแต่ละหลุมอยู่ เนื่องจากค่ายกลศิลาดังกล่าวไม่ได้มีการใช้มาเป็นเวลานานมากแล้ว หลุมขนาดเล็กเหล่านี้เคยเต็มไปด้วยดินเลนทับถมอยู่ในนั้น เวลานี้ได้ถูกทำความสะอาดเรียบร้อยและถูกฝังเลี่ยมด้วยเหรียญแท้จริงแต่ละเหรียญ อีกทั้งทุกๆ เหรียญล้วนแล้วแต่เริ่มต้นด้วยระดับเทพแท้จริงขั้นก้าวขึ้นสู่สวรรค์เป็นอย่างน้อย

กล่าวได้ว่า พรรคหยางหมิงนับว่ามือเติบ พวกเขาถึงกับยอมสูญเสียเหรียญแท้จริงจำนวนมหาศาลเพื่อเบิกทางให้กับหลี่ชิเย่ อีกทั้งยังเป็นการเชื่อมต่อให้กับหลี่ชิเย่โดยไม่คิดมูลค่า

ขณะที่ค่ายกลทั้งหมดถูกฝังเลี่ยมเต็มไปด้วยเหรียญแท้จริงนั้น ภายใต้ประกายที่แวบวับนั้น เสมือนดั่งค่ายกลศิลาโบราณได้เปล่งความมีชีวิตชีวาออกมาอย่างนั้น เหมือนว่าค่ายกลศิลาทั้งค่ายกลได้ปรากฏประกายที่แวบวับคล้ายดั่งเป็นกากเพชรอย่างนั้น

ขณะที่พวกหลี่ชิเย่สามคนเดินเข้ามายังหุบเขานั้น บรรดาบรรพบุรุษที่ควบคุมค่ายกลศิลาต่างทยอยกันพยักหน้า บ่งบอกว่าได้เตรียมการพร้อมสรรพ สามารถออกเดินทางได้ทุกเมื่อ

“พวกเราไม่รู้ว่าค่ายกลศิลานี้ไม่ได้เปิดใช้มานานเท่าไรแล้ว พวกเรารู้แต่เพียงสามารถเชื่อมไปยังแดนลัทธิราชันเท่านั้น เป็นช่องทางหนึ่งที่พวกเราบอกได้แต่เพียงรับประกันว่าส่งเจ้าไปให้ถึงแดนลัทธิราชันได้ ส่วนจะส่งไปยังตำแหน่งไหนของแดนลัทธิราชันคงพูดยาก พวกเราได้สูญเสียรายละเอียดพิกัดตำแหน่งไปแล้ว” ขณะที่ยืนอยู่ด้านหน้าของค่ายกลศิลา นักพรตพเนจรหยางหมิงได้เอ่ยกับหลี่ชิเย่ด้วยท่าทีที่หนักแน่นจริงจัง

การที่พรรคหยางหมิงใจกว้างส่งตัวหลี่ชิเย่ไปยังแดนลัทธิราชันเช่นนี้ นอกเหนือจากหลี่ชิเย่ควรค่าให้พรรคหยางหมิงพวกเขาทุ่มเทให้แล้ว ที่สำคัญยิ่งไปกว่านั้นก็คือพรรคหยางหมิงเองก็ต้องการทดสอบดูสักครั้งว่า การเปิดใช้ประตูที่ปรัชญาเมธีได้ทิ้งเอาไว้อีกครั้ง ถ้าหากเวลานี้หลี่ชิเย่ก็สามารถผ่านเส้นทางนี้ไปได้ล่ะก็ พรรคหยางหมิงพวกเขาคิดจะส่งคนขึ้นไปยังแดนลัทธิราชันในอนาคต ก็จะง่ายขึ้นมากแล้ว

“สามารถขึ้นไปได้ก็พอ” หลี่ชิเย่หัวเราะตามอารมณ์ ไม่ใส่ใจอย่างสิ้นเชิง

เวลานี้นาทีนี้ มือของนักพรตฉางเซินได้กุมมือของหลี่ชิเย่เอาไว้โดยไม่รู้ตัว นางกุมเอาไว้แน่นโดยไม่ยอมคลาย

“ควรออกเดินทางได้แล้ว” เวลานี้หลังจากนักพรตพเนจรหยางหมิงยืนยันแล้วได้เอ่ยขึ้นช้าๆ

นักพรตฉางเซินอดจ้องมองหลี่ชิเย่ไม่ได้ หลี่ชิเย่มองดูนักพรตฉางเซินและจัดผมให้นางเบาๆ ยิ้มนิดหนึ่ง สบายๆ และกล่าวว่า “ลาก่อน ต้องมีวันได้พบกัน”

“ลาก่อน…” ภายในใจของนักพรตฉางเซินสั่นเทาทีหนึ่ง นางสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ทีหนึ่ง และคลายมือจากหลี่ชิเย่

ใบหน้าหลี่ชิเย่แฝงรอยยิ้มพยักหน้าต่อนักพรตพเนจรหยางหมิง จากนั้นเดินเข้าไปในค่ายกลศิลา ยืนอยู่ท่ามกลางค่ายกลศิลานั่น

จังหวะที่ค่ายกลศิลาจะมีการขับเคลื่อน นักพรตฉางเซินยังคงไม่สามารถควบคุมไว้ได้ วิ่งเข้าไปภายในค่ายกลศิลา และสวมกอดหลี่ชิเย่เอาไว้จนแน่น หลี่ชิเย่ทอดถอนใจออกมาเบาๆ ได้สวมกอดให้กับนางอย่างลึกซึ้ง

“ลาก่อน บางทีอาจเป็นการลาจากชั่วนิรันดร์” นักพรตฉางเซินเอ่ขึ้นมาเบาๆ สุดท้ายได้คลายมือออกจากหลี่ชิเย่ และถอนตัวออกจากค่ายกลศิลาช้าๆ

การที่นักพรตฉางเซินวิ่งเข้าไปสวมกอดหลี่ชิเย่อย่างกะทันหัน นั่นเป็นเพราะนางรู้ว่าการจากลาในครั้งนี้จะกลายเป็นการจากลาชั่วนิรันดร์ที่แท้จริง นางไม่เหมือนดั่งพวกของฝานเมี่ยวเจินอย่างนั้นที่เข้าใจว่ายังมีโอกาสได้พบกันอีก ภายในใจของนางเข้าใจดี กล่าวสำหรับหลี่ชิเย่แล้ว เกรงว่าทั่วทั้งแดนสามเซียนเขาก็เป็นเพียงคนที่เดินทางผ่านมาคนหนึ่งเท่านั้นเอง จากไปแล้วเกรงว่าคงไม่หวนกลับมาอีกแล้ว

ดังนั้น การสวมกอดครั้งนี้เกรงว่าจะเป็นการลาจากชั่วนิรันดร์ ต่อแต่นี้จะไม่มีโอกาสได้พบกันอีก!

หลี่ชิเย่ที่ยืนอยู่ท่ามกลางค่ายกลศิลาได้พยักหน้ากับนักพรตพเนจรหยางหมิง นักพรตพเนจรหยางหมิงได้พยักหน้ากับเหล่าบรรพบุรุษ และกล่าวว่า “เริ่มได้ ออกเดินทาง”

ขาดคำ ได้ยินเสียงแว้งค์ดังขึ้นเสียงหนึ่ง เหรียญแท้จริงทั้งหมดที่มีการฝังเลี่ยมไว้บนก้อนหินล้วนแล้วแต่สว่างขึ้นมาทันที ประกายแต่ละสายประณีตงดงามและโปร่งแสง คล้ายเป็นของจริงอย่างนั้น

ขณะที่ประกายลักษณะเช่นนี้แต่ละสายได้สาดส่องยังค่ายกลศิลานั้น ค่ายกลศิลาได้ปรากฎลวดลายศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมาและถักทอเข้าด้วยกัน สุดท้ายได้ยินเสียงแว้งค์ดังขึ้นเสียงหนึ่ง ได้กลายเป็นประตูขนาดยักษ์ขึ้นมาบานหนึ่ง

ช่าาาเสียงหนึ่งดังขึ้น ประตูเสมือนดั่งมีน้ำขึ้นน้ำลงอย่างนั้น ค่อยๆ ท่วมปกคลุมตัวหลี่ชิเย่เอาไว้ภายใน และค่อยๆ หายเข้าไปอยู่ภายในประตูนั่น

สุดท้ายร่างของหลี่ชิเย่ได้หายเข้าไปอยู่ภายในประตูนั้นอย่างสิ้นเชิง ได้ยินเสียงปุดังขึ้นมาเสียงหนึ่ง ประตูทั้งบานคล้ายดั่งฟองอากาศที่แตกออก และประตูดังกล่าวก็หายวับไปกับตาทันที และค่ายกลศิลาดังกล่าวก็กลับคืนสู่สภาพเงียบสงบดังเดิม

ในขณะนี้ เหรียญแท้จริงแต่ละอันที่อยู่ในค่ายกลศิลาล้วนแล้วแต่อับแสง ย่อมไม่ต้องสงสัยว่าหากคิดจะเปิดประตูเชื่อมช่องทางไปยังแดนลัทธิราชันนั้น จำนวนเหรียญแท้จริงที่ต้องสูญเสียไปในแต่ละครั้งนั้นน่ากลัวมาก มีเพียงพรรคหยางหมิงที่เป็นระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิอันดับหนึ่งมีธาตุแท้ภายในแข็งแกร่งอย่างยิ่งจึงสามารถแบกรับได้ มิฉะนั้นล่ะก็ หากเป็นระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิอื่นๆ ไม่แน่นักการเปิดประตูเพียงครั้งก็จะทำให้พวกเขาต้องยากจนกระทั่งไม่มีอะไรจะกิน

“ลาก่อน” นักพรตพเนจรหยางหมิงก็ทอดถอนใจด้วยความหดหู่อยู่บ้างขณะมองดูประตูที่หายไป มองดูนักพรตฉางเซินทีหนึ่งและเอ่ยขึ้นช้าๆ ว่า “นี่คือการจากลาชั่วนิรันดร์ เขาถูกลิขิตไว้แล้วว่าไม่ได้มีสำหรับโลกของพวกเรา”

นักพรตพเนจรหยางหมิงย่อมเป็นนักพรตพเนจรหยางหมิง ระหว่างนางกับนักพรตฉางเซินเข้าใจซึ่งกันและกันเหลือเกิน ในเวลานี้นางเองก็เข้าใจได้ว่า หลังจากหลี่ชิเย่จากไปแล้วเป็นไปไม่ได้ที่จะกลับมาอีกแล้ว เขาจะกลายเป็นตำนานหนึ่งเท่านั้น

“วิถีทางยาวไกล ใครบ้างล่ะสามารถพบกันได้อีก” นักพรตฉางเซินทอดถอนใจออกมาเบาๆ

สุดท้าย นักพรตพเนจรหยางหมิง และนักพรตฉางเซินได้ออกไปจากหุบเขาแห่งนี้ พวกนางรู้ว่าแดนลัทธิพรรษจะได้ให้การต้อนรับช่วงเวลาแห่งความสงบสุขที่ยาวนานมาก แต่ว่า กล่าวสำหรับพวกนางแล้วโลกนี้ได้ขาดความยิ่งใหญ่ไปอย่างหนึ่ง

แดนลัทธิราชันกว้างใหญ่ไพศาลยิ่งกว่าแดนลัทธิพรรษเสียอีก และน่าเกรงขามและยิ่งใหญ่กว่าแดนลัทธิพรรษ ที่นี่เป็นโลกที่กว้างใหญ่ไร้ขอบเขตแห่งหนึ่ง กระทั่งกล่าวได้ว่าไม่มีใครสามารถบอกเป็นรูปธรรมได้ว่ามันกว้างขวางใหญ่โตแค่ไหน

ท่ามกลางแดนลัทธิราชัน เต็มไปด้วยระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจำนวนมาก สำนักต่างๆ มากราวดอกเห็ดนับกันไม่หวั่นไม่ไหว เป็นแหล่งรวมของสาพัดเผ่าพันธุ์ เป็นโลกที่มีความเจริญรุ่งเรืองอย่างยิ่ง ที่ตรงนี้ได้เคยให้กำเนิดอัจฉริยะบุคคลจำนวนนับไม่ถ้วน เคยให้กำเนิดราชันแท้จริงแต่ละคน และให้กำเนิดปฐมบรรพบุรุษมายุคแล้วยุคเล่า

ไม่ต้องสงสัยเลยว่า ระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่คือหนึ่งในระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิที่แข็งแกร่งที่สุดของแดนลัทธิราชัน เป็นสิ่งที่ใหญ่โตมหึมา ได้รับการยกย่องว่าเป็นสามผู้ยิ่งใหญ่แห่งแดนลัทธิราชัน มีชื่อชั้นเสมอด้วยตระกูลมู่

โดยเฉพาะระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่ในยุคปัจจุบันที่มีไท่ชิงหวงเป็นผู้กุมอำนาจ ทำให้ระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่ยิ่งเสมือนดั่งพระอาทิตย์กลางหาว มีท่าทีที่จะสยบระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิอื่นๆ อีกสอง

ในวันนี้ ระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่เรียกได้ว่ามีแสงตะวันที่สวยวิจิตรตระการตายิ่ง เป็นวันที่งดงามมากวันหนึ่ง

เสียงฉึกดังขึ้นมาเสียงหนึ่ง ร่างของหลี่ชิเย่ได้หล่นลงมาจากฟากฟ้า ขณะที่พรรคหยางหมิงส่งตัวเขาขึ้นมายังแดนลัทธิราชันนั้น ในช่วงเวลาสำคัญสุดท้ายนั้น ค่ายกลศิลาของพรรคหยางหมิงไม่สามารถยืนหยัดพลังช่วงสุดท้ายเอาไว้ได้ และพังทลายลงในทันที ทำให้หลี่ชิเย่ถูกแรงกระแทกจนลอยออกมา

ปังเสียงหนึ่งดังขึ้น หลี่ชิเย่ที่ถูกแรงกระแทกจนตัวลอยก้นกระแทกพื้นจนกลายเป็นหลุมขึ้นมาหลุมหนึ่ง

ตึง ตึง ตึงเสียงดายและกระบี่ออกจากฝักดังขึ้นเป็นระลอก หลี่ชิเย่ยังไม่ทันได้ลุกขึ้นมา พลันปรากฏไอเยือกเย็นที่เข้ามาคุกคาม ดาบยาวแต่ละเล่มได้จ่ออยู่ที่ลำคอของเขาทันที ขอเพียงเขาขยับตัวแม้เพียงน้อยนิดก็ต้องหัวหลุดจากบ่า

หลี่ชิเย่ลืมตามองไปทีหนึ่ง รอบๆ ตัวถูกล้อมเอาไว้ด้วยยอดฝีมือผู้บำเพ็ญตนจำนวนนับไม่ถ้วน กระทั่งน้ำยังเล็ดรอดไปไม่ได้ การปรากฏตัวของหลี่ชิเย่ทำให้ยอดฝีมือผู้บำเพ็ญตนที่อยู่โดยรอบเสมือนหนึ่งพบกับศัตรูที่กล้าแข็งอย่างนั้น

ที่ตรงนี้เป็นที่ราบแห่งหนึ่ง มีการวางเวรยามไว้โดยรอบเต็มไปหมด เหมือนว่ามีบุคคลที่สำคัญมากๆ มาตั้งค่ายอยู่ที่ตรงนี้ ด้วยเหตุนี้ จึงมีการวางเวรยามเอาไว้ถี่ยิบ

ขณะที่หลี่ชิเย่ที่เป็นคนแปลกหน้าคนหนึ่งกลับมาปรากฏอยู่ในที่ตั้งค่ายกะทันหัน แล้วจะไม่ให้ยอดฝีมือผู้บำเพ็ญตนที่ทำหน้าที่รักษาการณ์คล้ายดั่งพบกับศัตรูกล้าแข็งได้อย่างไร?

ดังนั้น เพียงชั่วพริบตาเดียวเท่านั้น ดาบยาวแต่ละเล่มจึงพาดอยู่บนคอของหลี่ชิเย่ เหมือนว่าหากหลี่ชิเย่ขยับแม้เพียงเล็กน้อยก็ต้องตัดหัวออกมาทันที

“เจ้าเป็นใคร มาจากที่ใด” ในเวลานี้ ยอดฝีมือที่เหมือนเป็นระดับหัวหน้าได้เอ่ยถามเสียงทุ้มต่ำขึ้นมา ยอดฝีมือที่ดูเหมือนเป็นหัวหน้ากลับเป็นระดับเทพแท้จริง สรรค์ชั้นที่หกคนหนึ่ง

ระดับเทพแท้จริง สรรค์ชั้นที่หกสามารถเป็นได้เพียงหัวหน้าองครักษ์เท่านั้น ช่างเป็นเรื่องที่น่าตกใจยิ่งเพียงใด

“ผ่านมาโดยไม่ทันระวังตัวเท่านั้น” หลี่ชิเย่นั่งอยู่ตรงนั้น ยิ้มเฉยเมยและเอ่ยขึ้นมา

“อย่าได้พูดจาเพ้อเจ้อ ที่นี่คือเขตหวงห้าม ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่กล้าเดินเพ่นพ่านตามอำเภอใจภายในรัศมีพันลี้” ดวงตาทั้งสองของผู้เป็นหัวหน้าดูไม่เป็นมิตร กล่าวเสียงเย็นชาว่า “พูด ใครใช้ให้เจ้ามา!”

“มีการรับรองแขกเช่นนี้ด้วยรึ?” หลี่ชิเย่ไม่ได้แสดงท่าทีตระหนก นั่งอยู่ตรงนั้นด้วยท่าทีที่สงบมาก

“ดูท่าเจ้าไม่เห็นโลงศพคงไม่หลั่งน้ำตา” ดวงตาทั้งสองของหัวหน้าผู้นี้พลันดูน่าเกรงขาม เผยปณิธานการฆ่าขึ้นมา กล่าวน่าครั่นคร้ามขึ้นว่า “ลงทัณฑ์เขาอย่างหนัก ไม่กลัวว่าเขาจะไม่ยอมรับสารภาพ!”

“ลงทัณฑ์หนัก?” หลี่ชิเย่ถึงกับเผยรอยยิ้มขึ้นมาเมื่อได้ยินคำพูดนี้แล้ว

แอ่ม…ในเวลานี้เอง เสียงไอกระแอมดังขึ้น คนผู้หนึ่งก้าวเข้ามาช้าๆ ไร้ซุ่มไร้เสียงเหมือนหนึ่งเป็นวิญญาณอย่างนั้น เหมือนว่าไม่ว่าจะก้าวเดินไปที่ใดก็จะไม่มีใครรู้สึก

ทุกคนหันหลังกลับไปมองเมื่อได้ยินเสียงไอกระแอมดังขึ้น มองเห็นด้านหลังได้มีผู้เฒ่าผู้หนึ่งยืนอยู่แล้ว

ทุกคนต่างรู้สึกตระหนกอย่างยิ่งเมื่อมองเห็นผู้เฒ่าผู้นี้ พลันรู้สึกหนาวเย็น และคุกเข่าลงเต็มพื้นที่

……………………………………………………..

Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *