Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล 2414 จางเจี๋ยตี้

Now you are reading Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล Chapter 2414 จางเจี๋ยตี้ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

หลี่ชิเย่กลับไปยังตำหนักตงกง โดยไม่ได้รับผลกระทบจากเรื่องที่ถูกแต่งตั้งเป็นรัชทายาทแม้แต่น้อย เพียงกล่าวท่าทีเฉยเมยว่า “รัชทายาท น่าสนใจ” กล่าวพลางเผยรอยยิ้มออกมา

เรื่องนี้ช่างเป็นเรื่องที่น่าปาฏิหาริย์และคาดคิดไม่ถึง ฮ่องแต้ไท่ชิงถึงกับแต่งตั้งหลี่ชิเย่ที่เป็นเพียงคนแปลกหน้าคนหนึ่งขึ้นเป็นรัชทายาทอย่างน่าประหลาดหาคำอธิบายไม่ได้ ขณะที่หลี่ชิเย่หลังจากได้รับการแต่งตั้งให้เป็นรัชทายาทแล้ว ถึงกับมีท่าทีเหมือนว่าเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลอย่างนั้น โดยที่ไม่รู้สึกตกใจกับสิ่งนี้แม้แต่น้อย เหมือนว่ามันเป็นเรื่องที่ปรกติธรรมดามากเรื่องหนึ่ง

เรื่องราวในนั้นนับว่าแปลกประหลาดจนถึงขีดสุด อาจกล่าวได้ว่าเป็นการกระทำที่ผิดทำนองคลองธรรมอย่างยิ่ง เรื่องนี้หากแพร่ออกไปก็คงไม่มีใครเชื่อ

ฮ่องแต้ไท่ชิงที่คิดวางแผนอย่างรอบคอบไม่เคยพลาด และรวบอำนาจไว้ทั้งหมดมาชั่วชีวิต ถึงกับแต่งตั้งคนแปลกหน้าคนหนึ่งเป็นรัชทายาท นี่เป็นเพราะชราและสติฟั่นเฟือนไปแล้วชัดๆ ยังจะมีเรื่องใดที่เหลือเชื่อมากไปกว่านี้ได้อีกเล่า

สมควรทราบว่า ในระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่นั้น ยังไม่ต้องพูดถึงสำนักอื่นๆ และไม่พูดถึงผู้ยิ่งใหญ่อย่างหอหลินไห่เก๋อ ตระกูลขุนนางโบราณปิงฉือ แคว้นไป่เจิ้งเหล่านี้ แม้แต่ภายในราชวงศ์โต่วเซิ่นเองก็เต็มไปด้วยผู้ที่มีความรู้ความสามารถ อีกทั้งยังมีอัจฉริยะบุคคลจำนวนไม่น้อยที่มีชาติกำเนิดมาจากสายของฮ่องแต้ไท่ชิง

แม้ว่าบรรดาชนรุ่นหลังที่มีความโดดเด่นเหล่านั้นจะไม่ใช่ลูกหลานของฮ่องแต้ไท่ชิง หรือญาติสนิทของฮ่องแต้ไท่ชิงก็ตาม แต่ทว่า จะอย่างไรเสียก็คือคนในตระกูลเดียวกันกับฮ่องแต้ไท่ชิง มีชาติกำเนิดมาจากสายของราชวงศ์โต่วเซิ่นของพวกเขา ล้วนแล้วแต่ถือเป็นส่วนหนึ่งของราชสำนัก

แต่ว่า ฮ่องแต้ไท่ชิงกลับละทิ้งไม่แต่งตั้งบุคคลที่มีความโดดเด่นจำนวนมากของราชวงศ์โต่วเซิ่น กระทั่งไม่สืบทอดตำแหน่งให้กับบรรดาระดับบรรพบุรุษที่มีกำลังกล้าแข็งเหล่านั้นของราชวงศ์โต่วเซิ่น กลับไปแต่งตั้งคนแปลกหน้าโดยสิ้นเชิงคนหนึ่งเป็นรัชทายาท

นี่มันคือเรื่องที่อยู่เหนือกฎเกณฑ์สุดๆ เกรงว่านอกจากชื่อของหลี่ชิเย่แล้ว ฮ่องแต้ไท่ชิงไม่รู้อะไรเกี่ยวกับหลี่ชิเย่อีกเลย แต่ว่า เขากลับแต่งตั้งคนแปลกหน้าอย่างหลี่ชิเย่เป็นรัชทายาทเสียอย่างนั้น นี่คือการเสียสติแล้วชัดๆ

หากจะกล่าวว่า ฮ่องแต้ไท่ชิงยกราชบัลลังก์ให้กับซุนหลึ่งหยิ่ง ผู้คนจำนวนมากยังสามารถยอมรับได้ จะอย่างไรเสียซุนหลึ่งหยิ่งนั้นเป็นผู้กุมอำนาจความเป็นความตายมาโดยตลอด แต่ว่า ฮ่องแต้ไท่ชิงกลับไม่ได้ยกราชบัลลังก์ให้กับผู้ที่เขาไว้วางใจมากที่สุดอย่างซุนหลึ่งหยิ่ง กลับยกให้กับหลี่ชิเย่ที่เป็นเพียงคนแปลกหน้าคนหนึ่ง

ถ้าหากมีใครที่รู้เรื่องนี้เข้า เกรงว่าคงไม่สามารถเข้าใจได้อย่างสิ้นเชิงว่า เพราะอะไรฮ่องแต้ไท่ชิงจึงได้ทำเช่นนี้

ที่อยู่เหนือกฎเกณฑ์ยิ่งกว่าก็คือ หลี่ชิเย่ที่ถูกแต่งตั้งให้เป็นรัชทายาทกลับไม่ได้มีปฏิกิริยาอะไรมากนัก ท่าทีเอ้อระเหยเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เหมือนว่ามันเป็นเรื่องที่ธรรมดาที่สุดอย่างนั้น

แม้ว่ากล่าวสำหรับหลี่ชิเย่แล้ว แค่ระบบถ่ายทอดความคิดทางด้านลัทธิเท่านั้นไม่นับเป็นอะไรได้ แต่ว่า ท่าทีของหลี่ชิเย่ก็ดูแปลกประหลาดอย่างยิ่ง เขาถึงกับไม่ไปครุ่นคิดว่าเป็นเพราะอะไรฮ่องแต้ไท่ชิงถึงได้แต่งตั้งคนแปลกหน้าอย่างเขาขึ้นเป็นองค์รัชทายาท

หรือจะกล่าวว่า หลี่ชิเย่นั้นมองทุกอย่างทะลุปรุโปร่งถึงแก่นแท้แล้ว ทุกอย่างมีแผนอยู่ในใจแล้ว ดังนั้นเขาจึงมีท่าทีที่เรียบเฉย กล่าวสำหรับเขาแล้วการได้รับการแต่งตั้งเป็นองค์รัชทายาทเป็นเรื่องที่ปรกติธรรมดามากเรื่องหนึ่ง เหมือนว่าทุกวันก็ต้องกินข้าวมื้อเช้าอยู่แล้ว

หลี่ชิเย่เพียงยิ้มนิดหนึ่งเท่านั้นเมื่อถูกแต่งตั้งให้เป็นรัชทายาท เขาไม่ได้กล่าวอะไรมากความ ลึกซึ้งยากจะหยั่งถึง ไม่มีใครรู้ว่าในใจของเขาคิดอะไรอยู่

ในวันที่หลี่ชิเย่ถูกแต่งตั้งให้เป็นรัชทายาทนั่นเอง ก็ได้มีคนผู้หนึ่งมาคารวะและรายงานตัวต่อหลี่ชิเย่

องค์ชาย…ผู้ที่มาพบได้คารวะต่อหลี่ชิเย่ และกล่าวด้วยท่าทีที่เคารพว่า “ข้าน้อยได้รับคำบัญชาจากฝ่าบาท ให้มารายงานตัวต่อองค์ชาย”

ผู้ที่เดินทางมารายงานตัวต่อหลี่ชิเย่เป็นผู้ที่แลดูเหมือนเป็นชายวัยกลางคน เขามีรูปหน้าที่ดูมีคุณธรรมมาก ภาพรวมของเขาแลดูซื่อตรงมาก เค้าโครงบนใบหน้าดูแข็งแกร่งและเด็ดเดี่ยว เหมือนแกะสลักขึ้นมาจากหินผาอย่างนั้น

เขามีคู่ดวงตาที่สุกใสคล้ายดั่งอัญมณี เผยให้เห็นประกายที่ผึ่งผายภูมิฐานสง่าผ่าเผยและเคร่งขรึมเอาจริงเอาจังออกมา

เขาสวมชุดสีดำทั้งชุด ภาพรวมแลดูมีสติปัญญาและชำนาญอย่างยิ่ง เผยให้เห็นถึงกลิ่นอายความเป็นทหารสายหนึ่งบนตัวของเขา รวดเร็วดุดันแต่ก็เฉยเมย และให้ความเคารพยิ่ง

ชายหนุ่มผู้นี้ไม่ได้พวยพุ่งกลิ่นอายที่แข็งแกร่งและพาลออกมา แต่ว่า ท่วงท่าของเขากลับมีท่วงทำนองของผู้ที่ชำนาญเรื่องการเจรจาหว่านล้อม ถ้าหากเป็นผู้ที่ตาถึง พลันที่มองเห็นก็รู้ได้ทันทีว่าชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าคือระดับอมตะ

ระดับเทพแท้จริงขั้นอมตะนะเนี่ย หลังจากที่หลี่ชิเย่มาถึงแดนลัทธิราชันแล้ว ได้พบเจอระดับเทพแท้จริงขั้นอมตะมาคนแล้วคนเล่า

แต่ว่า เรื่องนี้ใช่เป็นเรื่องแปลก หากพูดถึงในแดนลัทธิพรรษแล้วล่ะก็ ผู้ดำรงอยู่ในขั้นอมตะนับเป็นผู้ที่แข็งแกร่งมาก ดำรงอยู่ในฐานะที่สูงเด่น แต่ว่า ในแดนลัทธิราชัน แม้ระดับเทพแท้จริงขั้นอมตะจะยังคงมีความแข็งแกร่งปราศจากผู้ต่อกรเช่นกัน แต่ห่างไกลไม่ได้ล้ำค่ามากนักเฉกเช่นอยู่ที่แดนลัทธิพรรษ

ยิ่งไปกว่านั้น ราชวงศ์โต่วเซิ่นคือราชวงศ์ที่แข็งแกร่งที่สุดของแดนลัทธิราชัน ยืนอยู่บนจุดสูงสุดของแดนลัทธิราชัน ภายใต้ราชวงศ์ลักษณะเช่นนี้มีระดับเทพแท้จริงขั้นอมตะอย่างเพียงพอ ซึ่งไม่นับเป็นเรื่องแปลกแต่อย่างใด

ถ้าหากไม่มีระดับเทพแท้จริงขั้นอมตะมากมายเช่นนี้ ไหนเลยจะปกครองระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่ได้ทั้งหมด และยืนหยัดอยู่บนจุดสูงสุดของแดนลัทธิราชันได้อย่างไรกัน

“เจ้าชื่ออะไร…” หลี่ชิเย่เอ่ยถามขณะมองดูชายวัยกลางคนที่อยู่ตรงหน้า

“เรียนองค์ชาย ข้าน้อยมีชื่อว่าจางเจี๋ยตี้ เคยดำรงตำแหน่งหัวหน้าองครักษ์ของฝ่าบาท เวลานี้ฝ่าบาทมีคำบัญชาให้ดำรงตำแหน่งหัวหน้าองครักษ์ขององค์ชาย ข้าน้อยสุดแต่องค์ชายจะบัญชาสั่งการ” ชายวัยกลางคนมีสีหน้าเข้มขรึมเอาจริงเอาจัง และยืนตัวตรงดั่งท่อนไม้

ถ้าหากมีคนของราชวงศ์โต่วเซิ่น หรือระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่ได้ยินชื่อของ ‘จางเจี๋ยตี้’ จะต้องรู้สึกตื่นตระหนกยิ่งนัก

จางเจี๋ยตี้ หัวหน้าองครักษ์ข้างกายของฮ่องแต้ไท่ชิง คือระดับเทพแท้จริงขั้นอมตะที่แข็งแกร่งมากคนหนึ่ง แม้ว่าจะห่างชั้นเทียบไม่ได้กับผู้ที่สูงส่งอย่างฮ่องแต้ไท่ชิง และเทียบไม่ได้กับซุนหลึ่งหยิ่งที่มีความแข็งกร้าวในการเข่นฆ่าสังหาร แต่ว่า เขายังคงเป็นระดับเทพแท้จริงขั้นอมตะที่แข็งแกร่งยิ่ง เป็นระดับเทพแท้จริงขั้นอมตะที่แท้จริง

สมควรทราบว่า เฉกเช่นผู้ที่ดำรงอยู่ในฐานะอย่างฮ่องแต้ไท่ชิง ระดับเทพแท้จริงทั่วไปไหนเลยมีสิทธิ์ได้เป็นหัวหน้าองครักษ์ให้กับเขาได้ ระดับเทพแท้จริงขั้นอมตะเช่นจางเจี๋ยตี้ที่เป็นหัวหน้าองครักษ์ให้กับฮ่องแต้ไท่ชิงได้นั้น นับเป็นเรื่องบังเอิญแล้ว

จะอย่างไรเสีย เฉกเช่นผู้ที่ดำรงอยู่ในฐานะอย่างฮ่องแต้ไท่ชิง จะมีสักกี่คนที่สามารถลอบสังหารเขาได้? ถ้าหากมีคนที่สามารถลอบสังหารฮ่องแต้ไท่ชิงได้ล่ะก็ หัวหน้าองครักษ์อย่างเขาก็ใช้การอะไรไม่ได้ เพราะตัวของฮ่องแต้ไท่ชิงเองก็มีความแข็งแกร่งมากกว่าเขาอยู่มากทีเดียว

“พูดเช่นนี้ หัวหน้าองครักษ์เช่นเจ้าต้องทำตามคำสั่งของข้าทุกประการล่ะสิ?” หลี่ชิเย่จ้องมองจางเจี๋ยตี้และยิ้มกล่าว

“องค์ชายโปรดวางพระทัย ในเมื่อฝ่าบาทได้มอบข้าน้อยให้มารับใช้องค์ชาย คำบัญชาขององค์ชายก็คือคำบัญชาของฝ่าบาท ข้าน้อยไม่กล้าทำอย่างขอไปทีแม้แต่น้อยอย่างเด็ดขาด” จางเจี๋ยตี้ยืนยืดตัวตรงทันที หนักแน่นและเข้มขรึม

ผู้คนไม่อาจจินตนาการได้เลย การที่ผู้ซึ่งอยู่ในขั้นอมตะนั้น ไม่ว่าจะไปอยู่ที่ใดก็ถือเป็นผู้ยิ่งใหญ่คนหนึ่ง แม้จะเป็นที่ระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่ หรือแม้จะเป็นราชวงศ์โต่วเซิ่น ก็เป็นบุคคลที่มีฐานะสูงเด่นคนหนึ่ง

แต่ว่า จางเจี๋ยตี้ผู้ซึ่งอยู่ในระดับเทพแท้จริงขั้นอมตะคนหนึ่งกลับไม่มีการวางมาดใดๆ แต่อย่างใด กระทั่งไม่ได้วางตำแหน่งของตนในฐานะที่เป็นระดับเทพแท้จริงขั้นอมตะ เขาเพียงวางตัวเป็นทหารที่ปฏิบัติตามคำสั่งคนหนึ่งเท่านั้น

สิ่งนี้เป็นเรื่องที่ทำให้ผู้คนไม่สามารจินตนาการได้ ระดับเทพแท้จริงขั้นอมตะคนหนึ่งวางตำแหน่งของตนเป็นเพียงทหารที่ทำตามคำสั่งเท่านั้น เรื่องเช่นนี้เกรงว่าคงเกิดขึ้นได้เฉพาะกับจางเจี๋ยตี้เท่านั้น

“พูดเช่นนี้ แสดงว่าเจ้าภักดีต่อฝ่าบาทไม่มีเปลี่ยนแปลงล่ะสิ” หลี่ชิเย่ยิ้มกล่าวตามอารมณ์

“ไม่ขอปิดบังองค์ชาย ฝ่าบาททรงมีบุญคุณเหมือนชุบชีวิตใหม่ให้ข้าน้อย เป็นบิดามารดาที่ให้ชีวิตใหม่ข้าน้อย” จางเจี๋ยตี้ไม่ปิดบังใดๆ และกล่าวว่า “มีฝ่าบาทจึงมีข้าน้อยในวันนี้”

แท้จริงแล้ว จางเจี๋ยตี้มีชาติกำเนิดเป็นเพียงทหารคนหนึ่งเท่านั้น เขาเป็นเพียงทหารระดับธรรมดาคนหนึ่งในกองทัพ อีกทั้งเขามีชาติกำเนิดมาจากชนชั้นรากหญ้า เป็นมนุษย์ปุถุชนธรรมดาที่มีฐานะต่ำต้อยอย่างยิ่งคนหนึ่งเท่านั้น

จะว่าไปแล้วก็นับเป็นเรื่องแปลก ครั้งหนึ่ง ฮ่องเต้ไท่ชิงเสด็จประพาส ถึงกับเลือกจางเจี๋ยตี้ที่เป็นเพียงมนุษย์ปุถุชนธรรมดาและมีชาติกำเนิดเป็นเพียงทหารชนชั้นรากหญ้าคนหนึ่ง

ที่ทำให้ผู้คนรู้สึกมหัศจรรย์ยิ่งก็คือ ฮ่องเต้ไท่ชิงได้พระราชทาน ‘จตุรเทพแปรผัน’ เล่มหนึ่งที่อยู่ใน ‘คัมภีร์ไท่ชิงตัน’ ให้เขาไปฝึกฝน

มันเป็นเรื่องที่สะเทือนหวั่นไหวต่อจิตใจผู้คนอย่างแน่นอน สมควรทราบว่า ‘คัมภีร์ไท่ชิงตัน’ นั้นมาจากฝีมือของราชันเจิ้นตี้ โดยที่ราชันเจิ้นตี้คือราชันแท้จริงที่ยอดเยี่ยมที่สุดของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่ ในยุคของราชันเจิ้นตี้ ระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่อยู่ในช่วงตกต่ำ ขณะที่ราชันเจิ้นตี้ที่อยู่ในวัยเยาว์ได้ผงาดขึ้นมา กลายเป็นสุดยอดราชันแท้จริงแห่งยุค และสร้างความเจริญรุ่งเรืองให้กับระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่นับแต่นั้นเป็นต้นมา และวางรากฐานที่แน่นหนาให้ราชวงศ์โต่วเซิ่นอยู่ในฐานะที่ไม่อาจสั่นคลอนได้

ภายหลัง เมื่อมีผู้ประเมินสิบยุคสมัยโบราณที่เจริญรุ่งเรือง ก็จะจัดให้ราชันเจิ้นตี้เข้าไปอยู่ในนั้นด้วย

ชั่วชีวิตของราชันเจิ้นตี้ได้ประพันธ์ ‘คัมภีร์ไท่ชิงตัน’ ขึ้นมาชุดหนึ่ง เป็นเคล็ดวิชาที่ยอดเยี่ยมยากจะหาใดเทียมชุดหนึ่ง ตามตำนานเล่าว่าสามารถเทียบเคียงได้กับ ‘จิ่วมี่’ ที่ปฐมบรรพบุรุษจิ่วมี่ได้ทิ้งเอาไว้ให้

หากจะกล่าวว่า ‘จิ่วมี่’ นั้นเป็นสิ่งที่มีไว้สำหรับระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่ทั้งหมด เช่นนั้นแล้ว ‘คัมภีร์ไท่ชิงตัน’ ก็มีไว้สำหรับราชวงศ์โต่วเซิ่นเท่านั้น!

ย่อมสามารถจินตนาการได้ว่า ‘คัมภีร์ไท่ชิงตัน’ มีความสำคัญต่อราชวงศ์โต่วเซิ่นเพียงใด โดยทั่วไปแล้วเคล็ดวิชาลักษณะเช่นนี้ต่อให้เป็นเพียงเล่มใดเล่มหนึ่งก็เป็นไปไม่ได้ที่จะพระราชทานให้กับคนนอกได้

แต่ว่า ฮ่องเต้ไท่ชิงเป็นใหญ่เพียงผู้เดียวใครเล่าจะกล้าขวาง? ดังนั้น เมื่อเขาพระราชทาน ‘จตุรเทพแปรผัน’ เล่มหนึ่งในชุดของ ‘คัมภีร์ไท่ชิงตัน’ จึงไม่มีผู้ใดกล้าวิจารณ์และขัดขวาง แม้แต่ระดับปรมาจารย์ของราชวงศ์โต่วเซิ่นก็เป็นเช่นนั้น

แต่ว่า นับว่าจางเจี๋ยตี้ไม่ทำให้ต้องผิดหวัง เขาได้แสดงให้เห็นว่าฮ่องเต้ไท่ชิงดูคนไม่ผิด หลังจากได้รับ ‘จตุรเทพแปรผัน’ เล่มนั้นมาแล้ว จางเจี๋ยตี้ก็ได้ก้าวสู่เส้นทางของผู้ฝึกยุทธ ในเวลานี้เอง จางเจี๋ยตี้ที่เป็นเพียงบุคคลธรรมดาได้เผยพรสวรรค์การฝึกยุทธที่สะเทือนเลื่อนลั่นยิ่งออกมา กระทั่งเรียกได้ว่าเป็นพรสวรรค์ที่ไม่ธรรมดา

บนเส้นทางการฝึกยุทธนั้น จางเจี๋ยตี้รุดหน้าอย่างรวดเร็วโดยตลอด สุดท้ายได้กลายเป็นขั้นอมตะคนหนึ่ง แม้ว่าไม่สามารถเทียบได้กับซุนหลึ่งหยิ่ง แต่ก็สามารถเย้ยหยันทั่วหล้าได้แล้ว

อีกทั้งตลอดเวลาที่ผ่านมา จางเจี๋ยตี้ภักดีต่อฮ่องเต้ไท่ชิงไม่แปรผัน แม้ว่าเขาจะสำเร็จในระดับเทพแท้จริงขั้นอมตะแล้วก็ตาม เขายังคงวางตำแหน่งของตนอยู่ที่ทหารคนหนึ่งเท่านั้น

สิ่งนี้ยิ่งเป็นการแสดงให้เห็นว่าฮ่องเต้ไท่ชิงดูคนไม่ผิด ภายในราชวงศ์โต่วเซิ่นก็ไม่ระดับบรรพบุรุษคนใดกล้าพูดอีกแม้แต่คำเดียว

“ไม่ว่ากับใครก็ตาม ความภักดีล้วนแล้วแต่นับเป็นคุณธรรมดีงามอย่างหนึ่ง” หลี่ชิเย่ยิ้มเฉยเมย

“ก่อนจะมาที่นี่ ฝ่าบาทให้องค์ชายไปคัดเลือกของวิเศษสักหลายชิ้นเอาไว้ป้องกันตัว ไม่ทราบว่าองค์ชายจะติดตามข้าน้อยไปที่คลังสมบัติสักครั้งหรือไม่? ” จางเจี๋ยตี้เอ่ยด้วยความเคารพ

แม้ว่าจางเจี๋ยตี้จะไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับหลี่ชิเย่ที่เป็นคนแปลกหน้าตรงหน้า อีกทั้งยังเป็นคนหนุ่มที่ไม่มีชื่อเสียงอะไรเลย กระทั่งผู้ที่พบเห็นก็รู้ได้ทันทีว่าเป็นคนหนุ่มที่มีทักษะยุทธต่ำมาก คนหนุ่มลักษณะเช่นนี้ ในระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่หากยื่นมือคว้าสุ่มๆ ออกไปก็สามารถได้มาเป็นกอบเป็นกำ

คนหนุ่มลักษณะเช่นนี้ตามหลักแล้วจะไม่สามารถสั่งการกับระดับเทพแท้จริงขั้นอมตะได้

แต่ทว่า จางเจี๋ยตี้กลับปฏิบัติตามคำสั่งโดยไม่ย่อท้อ เขาจะไม่ดูถูกหลี่ชิเย่เนื่องจากหลี่ชิเย่นั้นอ่อนด้อยกว่า และไม่เป็นเพราะหลี่ชิเย่ที่เป็นเพียงเจ้าหนูที่ไร้ชื่อเสียงคนหนึ่งก็ทำอย่างขอไปที หรือทำชักช้า

เมื่อฮ่องเต้ไท่ชิงส่งตัวเขามาอยู่ข้างกายของหลี่ชิเย่ หลี่ชิเย่ก็คือนายของเขา และเขาก็จะปฏิบัติตามคำสั่งของหลี่ชิเย่อย่างเคร่งครัด

สิ่งนี้ก็คือสิ่งที่ยอดเยี่ยมที่สุดของจางเจี๋ยตี้ และเป็นสิ่งที่เรียกว่าเป็นเหตุผลที่ว่าเพราะอะไรฮ่องเต้ไท่ชิงจึงได้เลือกตัวเขาเพียงแวบแรกที่เห็นเขาในครั้งนั้น

…………………………………………………………..

Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *