Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล 2182 ทะเลาะ

Now you are reading Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล Chapter 2182 ทะเลาะ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

มือกระดูกกุมทวนราชันขวางตี้เล่มนี้เอาไว้แน่น เหมือนว่าต่อให้ต้องตายก็จะไม่คลายมืออย่างเด็ดขาด บรรยากาศลักษณะเช่นนี้บีบเค้นหัวใจ และหนักแน่นจริงจังยิ่งนัก

ทวนราชันขวางตี้เล่มนั้นถูกวางอยู่ตรงนั้นนิ่งๆ นั่นแหละ แต่ทว่าในฐานะที่เป็นอาวุธปฐมบรรพบุรุษ ต่อให้ไม่มีใครไปสำแดงอานุภาพที่ปราศจากผู้ต่อกรของมัน ยังคงมีพลังที่สามารถสยบเหล่าชั้นฟ้าได้อย่างเด็ดขาด ยังคงมีท่าทีที่ปราศจากผู้ต่อกรในหล้าเช่นเดิม

ยามที่ทวนราชันขวางตี้นอนนิ่งอยู่ที่ตรงนั้น ไม่รู้ว่ามีผู้คนจำนวนเท่าไรที่รู้สึกหายใจไม่สะดวก ไม่รู้ว่ามีผู้คนจำนวนเท่าไรที่บังเกิดความรู้สึกเคารพยำเกรงขึ้นในใจ กระทั่งไม่กล้าหายใจ

ขณะที่ทวนราชันขวางตี้วางอยู่ที่ตรงนั้น ด้วยอำนาจของปฐมบรรพบุรุษ ทันใดนั้นทุกคนเสมือนหนึ่งได้มองเห็นผู้เฒ่ากำแหงที่ในมือถือสิ่งนี้เกรียงไกรไปเก้าชั้นฟ้าสิบแดนดิน ต่อสู้กับผู้ยิ่งใหญ่หมื่นยุค ท่วงท่าที่ปราศจากผู้ต่อกรของผู้เฒ่ากำแหงเหมือนปรากฏอยู่ตรงหน้าทุกในพริบตาเดียวอย่างนั้น

ในเวลานี้ ไม่รู้ว่ามีผู้คนจำนวนเท่าไรที่หมอบกราบกับพื้น สยบอยู่ภายใต้อำนาจที่ปราศจากผู้ต่อกรของผู้เฒ่ากำแหง

นับตั้งแต่ก่อตั้งระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงจนถึงปัจจุบันไม่รู้ว่าผ่านไปกี่ปีแล้ว กาลเวลาที่ลอยล่อง กาลเวลาที่เคลื่อนผ่านไปไร้ขอบเขต ระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงจากแดนลัทธิเซียนในวันนั้นตกต่ำเสื่อมลงถึงแดนลัทธิพรรษในวันนี้ ไม่รู้ว่าได้ผ่านมากียุคกี่สมัย และไม่รู้ว่าผู้ผู้คนมากี่รุ่น แม้แต่ระดับราชันแท้จริงก็ได้ให้กำเนิดมาแล้วองค์แล้วองค์เล่า

แต่ทว่า ท่ามกลางสายน้ำแห่งกาลเวลา ไม่รู้ว่ามีอัจฉริยะบุคคลที่ปราดเปรื่องน่าทึ่งจำนวนเท่าไรหายไป กระทั่งราชันแท้จริงบางองค์ก็ไม่ได้เหลือทิ้งร่องรอยเอาไว้

อย่างไรก็ตาม ปฐมบรรพบุรุษเหมือนหนึ่งไม่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างนั้น เขาก้าวข้ามจากยุคดึกดำบรรพมาจนถึงปัจจุบัน แม้ว่าในวันนี้จะไม่เห็นร่องรอยาของเขาอีกแล้ว แต่ว่า ยามเมื่อทวนราชันขวางตี้ปรากฎตัวขึ้นที่นี่ ทันใดนั้นทุกคนเหมือนมองเห็นผู้เฒ่ากำแหงอีกครั้ง อดที่จะหวนรำลึกถึงเรื่องราวปราศจากผู้ต่อกรของเขา

ทวนราชันขวางตี้…ไม่รู้ว่ามีศิษย์จำนวนเท่าไรของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงที่รู้สึกตื่นเต้นอย่างยิ่ง เมื่อเห็นทวนราชันขวางตี้ที่วางอยู่ตรงนั้น แม้แต่ระดับบรรพบุรุษของตระกูลขุนนางโบราณก็รู้สึกตื่นเต้นยิ่งนัก

“ไหนว่าทวนราชันขวางตี้อยู่ภายในระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิมิใช่รึ?” ระดับผู้อาวุโสของสำนักแห่งหนึ่งกระซิบถามระดับบรรพบุรุษสำนักตน

จุ๊ จุ๊…บรรพบุรุษผู้นี้รีบห้ามผู้อาวุโสนี้เอาไว้ กล่าวเตือนด้วยเสียงแผ่วเบาว่า “อย่าได้เอ่ยถึงเรื่องนี้ เรื่องนี้ได้ถูกปิดผนึกเอาไว้แล้ว ห้ามเอ่ยถึงอีก”

คำตักเตือนของระดับบรรพบุรุษพลันทำให้ผู้อาวุโสผู้นี้เงียบกริบดั่งจั๊กจั่นในหน้าหนาว ไม่กล้าพูดมากความอีก

ความจริงแล้ว ไม่เพียงแต่ผู้อาวุโสผู้นี้เท่านั้นที่รู้สึกอยากรู้อยากเห็น บรรดายอดฝีมือเองก็รู้สึกแปลกใจยิ่งในใจ เนื่องจากมีข่าวลือกันมานานแล้วว่า ในระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงของพวกเขามีอาวุธปฐมบรรพบุรุษอยู่ชิ้นหนึ่ง และอาวุธปฐมบรรพบุรุษดังกล่าวก็คือทวนราชันขวางตี้นั่นเอง!

ตลอดเวลาที่ผ่านมาก็ไม่เคยมีผู้ที่พบเห็นทวนราชันขวางตี้เล่มนี้มาก่อน และไม่มีใครรู้ว่าทวนราชันขวางตี้เล่มนี้อยู่ในมือของใคร ในความคิดของยอดฝีมือจำนวนมากมองว่า ในเมื่อทวนราชันขวางตี้คืออาวุธปฐมบรรพบุรุษของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหง ย่อมจะต้องอยู่ในมือของผู้ที่กุมอำนาจของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหง และหรือขั้วอำนาจต่างๆ ร่วมกันดูแลรักษา

อย่างไรก็ตาม ที่ทุกคนนึกไม่ถึงก็คือ มาวันนี้กลับพบเห็นทวนราชันขวางตี้ ณ ที่ตรงนี้ หาใช่อย่างที่ทุกคนเข้าใจว่าทวนราชันขวางตี้ควรจะอยู่ในราชสำนัก

ความจริงแล้วในอดีตที่นานมาแล้วมันเป็นเช่นนี้ ในอดีตที่นานมากๆ ทวนราชันขวางตี้อยู่ในราชสำนักของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงจริงๆ และอยู่ในการดูแลรักษารับผิดชอบร่วมกันของขั้วอำนาจฝ่ายต่างๆ

พันล้านปีที่ผ่านมา ไม่ว่าระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงได้มีการเปลี่ยนราชวงศ์มาแล้วกี่มากน้อย มีสำนักและวตระกูลขุนนางโบราณจำนวนเท่าไรที่เคยกุมอำนาจของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงมาก่อน แต่ทวนราชันขวางตี้ในฐานะที่เป็นอาวุธปฐมบรรพบุรุษของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงไม่เคยไปจากระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงมาก่อน กระทั่งน้อยครั้งนักที่ออกจากราชสำนัก กระทั่งมันคือสิ่งที่แทนอำนาจสุงสุดของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหง

เพียงแต่ภายหลังได้เกิดเรื่องบางเรื่องขึ้นมา ทำให้ทวนราชันขวางตี้เล่มนี้หายไปจากระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหง แต่ระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงกลับไม่กล้าพูดถึงให้มากความ ยิ่งไม่มีการปล่อยให้ข่าวนี้รั่วไหลออกไป ทำให้คนบางส่วนที่รับรู้ว่าระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงมีทวนราชันขวางตี้อยู่ เข้าใจว่าทวนราชันขวางตี้อยู่ในราชสำนักตลอดมา

ขณะที่ระดับบรรพบุรุษที่รับรู้ถึงเบื้องหลังก็ไม่กล้าเอ่ยถึงเรื่องนี้ เนื่องจากเหตุการณ์กลิ่นคาวเลือดในครั้งนั้น ผู้คนจำนวนมากต่างไม่ต้องการไประลึกถึงมัน เรียกได้ว่าช่วงเวลาช่วงนั้นถือเป็นหนึ่งในช่วงเวลาที่ชั่วร้ายมากที่สุด ตั้งแต่มีการก่อตั้งระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงเป็นต้นมา

“ขึ้นมา…” ในเวลานี้เอง เทพแท้จริงทั้งเจ็ดจากตรีเทพแห่งหอศักดิ์สิทธิ์ และสี่ปราชญ์แห่งกองกำลังซั่งเข้าถึงก่อนใครอื่น ได้บุกเข้าไปภายในน้ำเลือดและเอื้อมมือหวังคว้าทวนราชันขวางตี้เล่มนี้มาอยู่ในมือให้ได้

แต่ว่า ทวนราชันขวางตี้กลับไม่ขยับเขยื้อนแม้แต่น้อย แม้ว่าพลังของพวกเขาจะน่าเกรงขามและปราศจากขอบเขตจำกัด ยังคงไม่สามารถสั่นคลอนต่อทวนราชันขวางตี้แม้เพียงน้อยนิด

“เปิด…” ไม่ว่าจะเป็นปราชญ์ภูผาพิโรธ หรือว่าเทพฟ้าคะนองต่างก็ไม่ยอมแพ้ พลันระเบิดพลังขึ้นมา เห็นเป็นประกายที่รุนแรง หวังจะยกเอาทวนราชันขวางตี้เล่มนี้ขึ้นมา แต่ทว่า ทวนราชันขวางตี้เล่มนี้ที่กำแน่นอยู่ในมือกระดูกกลับไม่ขยับแม้แต่น้อย

ไม่รู้ว่าเป็นเพราะมือกระดูกนี้กำทวนราชันขวางตี้เล่มนี้เอาไว้เสียแน่น ทำให้ไม่สามารถหยิบเอาไปได้ หรือเป็นเพราะตัวทวนราชันขวางตี้มีน้ำหนักมากเกินไป จนพวกเขาไม่สามารถยกเอาทวนราชันขวางตี้เล่มนี้ขึ้นมาได้

เวลานี้ตรีเทพแห่งหอศักดิ์สิทธิ์ และสี่ปราชญ์แห่งกองกำลังซั่งต่างมองตากันและกัน ฉับพลันนั้น เทพแท้จริงทั้งเจ็ดได้ร่วมมือกัน ต่างจับทวนราชันขวางตี้เอาไว้แน่น พวกเขาทั้งเจ็ดหวังร่วมแรงร่วมใจกันยกเอาทวนราชันขวางตี้ขึ้นมา

“ขึ้น…” ทันใดนั้น เทพแท้จริงทั้งเจ็ดส่งเสียงคำรามเสียงดังขึ้นมา พลังของพวกเขาเสมือนดั่งภูเขาไฟระเบิดขึ้นมา กลิ่นอายที่น่ากลัวปกคลุมไปทั่วฟ้าดิน คล้ายดั่งการมาเยือนของพายุฝนฟ้าคะนองอย่างนั้น

อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าพวกของปราชญ์ภูผาพิโรธที่เป็นเทพแท้จริงทั้งเจ็ดจะสำแดงพลังออกมาเต็มที่แล้ว ก็ยังคงไม่สามารถยกเอาทวนราชันขวางตี้ขึ้นมาได้แม้แต่น้อย เหมือนว่าทวนราชันขวางตี้รากงอกจนยึดติดอยู่ที่ตรงนั้น เหมือนว่าไม่ว่าใครก็ตามก็จะไม่สามารถเคลื่อนย้ายมันได้แม้แต่น้อยอย่างนั้น

เวลานี้ผู้คนจำนวนไม่น้อยที่มองหน้ากันและกัน มองเห็นพวกของปราชญ์ภูผาพิโรธที่เป็นเทพแท้จริงทั้งเจ็ดที่ไม่สามารถเคลื่อนย้ายทวนราชันขวางตี้แม้แต่น้อย ในขณะนี้ได้มีระดับบรรพบุรุษของตระกูลขุนนางโบราณและสำนักต่างๆ บางส่วนที่ค่อยๆ ล้อมวงกันเข้าไป พวกเขาต่างยืนอยู่บริเวณริมขอบหลุมยักษ์นั้นแล้ว ท่าทีดูจะจ้องตาเป็นมันกัน

แม้จะกล่าวว่าไม่มีใครกล้าไปหาเรื่องกับพวกของปราชญ์ภูผาพิโรธที่เป็นเทพแท้จริงทั้งเจ็ดร่วมมือกัน แต่คำกล่าวที่ว่าของวิเศษทำให้จิตใจคนหวั่นไหว ถ้าหากจำเป็น เกรงว่าคงมีระดับบรรพบุรุษจำนวนไม่น้อยจากสำนักและตระกูลขุนนางโบราณอาจร่วมมือกัน จะอย่างไรเสียนี่คืออาวุธปฐมบรรพบุรุษนะเนี่ย ไม่มีใครที่ไม่บังเกิดอารมณ์หวั่นไหวอยู่แล้ว

พวกของปราชญ์ภูผาพิโรธก็มองเห็นเส้นสนกลในเช่นนี้ เวลานี้ภายในใจของพวกเขาก็ร้อนรนอยู่เช่นกัน เนื่องจากพวกเขาก็สามารถเข้าใจได้ถึงวิกฤตที่อยู่ตรงหน้า ถ้าหากพวกเขาไม่นำเอาทวนราชันขวางตี้ไปอีก ต้องนำมาซึ่งพวกเขาที่คอยจ้องและทำให้คนอื่นรู้สึกอยากได้ครอบครองเป็นอันมาก แม้ว่าในระยะเวลาอันสั้นยังคงสามารถสยบบรรดาสำนักและตระกูลขุนนางโบราณอื่นๆ ได้

แต่ว่า เมื่อเวลาผ่านไปนานต้องมีผู้ลงมืออย่างแน่นอน โดยเฉพาะบรรดาสำนักและตระกูลขุนนางโบราณที่แข็งแกร่งทั้งหมดของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงหากร่วมมือกัน ก็จะคุกคามต่อกองกำลังซั่งและหอศักดิ์สิทธิ์ได้แน่นอน ยิ่งไปกว่านั้น จวนหวัง และค่ายฉู่ที่เป็นขั่วอำนาจใหญ่อีกสองของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงยังไม่ได้ลงมือเลย

“สถานที่ตรงนี้คือพื้นที่สำคัญของหอศักดิ์สิทธิ์ มาวันนี้เมื่อทวนราชันขวางตี้ปรากฏขึ้นที่นี่ หอศักดิ์สิทธิ์ของพวกเรามีหน้าที่ที่จะต้องเฝ้าปกป้องอาวุธปฐมบรรพบุรุษเอาไว้ ดังนั้น นับแต่วันนี้เป็นต้นไป พวกท่านออกไปจากเขาฟันหลอ เพื่อป้องกันมีโจรแฝงตัวเข้ามาไม่หวังดีต่อทวนราชันขวางตี้” เวลานี้ เทพฟ้าคะนองได้บังเกิดความคิดขึ้นมา ดวงตาทั้งสองดูน่าเกรงขาม มองไปยังผู้คนที่อยู่ในเหตุการณ์โดยรอบ และเอ่ยขึ้นช้าๆ

ย่อมไม่ต้องสงสัย เทพฟ้าคะนองต้องการปิดเขา ขอเพียงทำให้ทุกคนออกไปจากเขาฟันหลอได้ หอศักดิ์สิทธิ์ของพวกเขาก็จะระดมกำลังจำนวนมากมาเฝ้ารักษาการณ์ที่นี่เอาไว้ เมื่อถึงตอนนั้น พวกเขาค่อยๆ ศึกษาวิเคราะห์ทวนราชันขวางตี้อีกครั้งก็ยังไม่สาย ถึงเวลานั้นทวนราชันขวางตี้ก็จะกลายเป็นของที่อยู่ในมือของหอศักดิ์สิทธิ์ไปแล้ว

เมื่อไรที่พวกเขาสามารถยึดครองทวนราชันขวางตี้ได้แล้ว เช่นนั้นแล้วหอศักดิ์สิทธิ์ของพวกเขามิเท่ากับได้ยึดครองระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงได้ทั้งหมด พวกเขาจะได้เป็นผู้บงการท่าทีของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงทั้งหมด ยามที่หอศักดิ์สิทธิ์ของพวกเขามีทวนราชันขวางตี้อยู่ในมือ ยังจะมีใครหน้าไหนกล้าทรยศหอศักดิ์สิทธิ์ของพวกเขา ยังจะมีใครกล้าเป็นศัตรูกับพวกเขา

อาจกล่าวได้ว่า ไม่ว่าใครก็ตามหากได้ยึดครองทวนราชันขวางตี้ ก็จะมีอำนาจสูงสุดในระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหง

“คำพูดเช่นนี้ของพี่เหลยเป้าออกจะเกินไปแล้ว” ในเวลานี้ปราชญ์ภูผาพิโรธก็ไม่เล่นด้วยแล้ว กล่าวน้ำเสียงเย็นชาว่า “ครั้งนั้น บรรดาบรรพบุรุษของกองกำลังซั่งพวกเราก็เคยมากักตนสนทนาธรรมที่เขาฟันหลอแห่งนี้ และยังเคยมาบรรลุสัจธรรมและฝึกวิชาที่นี่ พูดได้อย่างไรว่าเขาฟันหลอเป็นของหอศักดิ์สิทธิ์พวกเจ้า หากจะต้องไล่เรียงย้อนถึงต้นกำเนิดแล้ว เขาฟันหลอสมควรเป็นของกองกำลังซั่งพวกเราจึงจะถูก…”

“…อาศัยการแบ่งเขตแดนของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิของพวกเราแล้ว ในเมื่อเขาฟันหลอเป็นสถานที่ที่บรรดาเหล่าบรรพบุรุษของกองกำลังซั่งพวกเราบรรลุธรรมและฝึกวิชา เช่นนั้นแล้ว เขาฟันหลอสมควรอยู่ในความปกครองของกองกำลังซั่งพวกเราจึงจะถูก” ในขณะนี้ ปราชญ์ภูผาพิโรธก็เอ่ยขึ้นมาช้าๆ พยายามโต้แย้งเต็มที่

การที่หอศักดิ์สิทธิ์คิดจะผนวกเอาเขาฟันหลอเข้าไปเป็นอาณาจักรของตน และหมายรวมเอาทวนราชันขวางตี้เข้าไปด้วย กองกำลังซั่งในฐานะที่เป็นขั้วอำนาจใหญ่ของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหง ไหนเลยจะยอมมองตาปริบๆ ให้หอศักดิ์สิทธิ์ยึดเอาทวนราชันขวางตี้ไปเป็นของตนได้อย่างไรกันเล่า

“ถ้าหากจะพูดเช่นนี้ ขณะปฐมบรรพบุรุษแบ่งพื้นที่ในครั้งนั้น เขาฟันหลอสมควรเป็นของพวกเราตระกูลหวังนะ” มีระดับบรรพบุรุษของตระกูลขุนนางโบราณผู้หนึ่งที่ยืนอยู่บนยอดเขา กล่าวด้วยน้ำเสียงไม่สู้จะมั่นใจนักขึ้นมา

“เช่อะ เรื่องของตระกูลหวังเป็นเรื่องเก่าแก่นมนานมาแล้ว ตระกูลหวังของพวกเจ้าได้ย้ายออกจากที่นี่ไปนานแล้ว ย้ายไปยังชายแดนที่ห่างไกล ตามหลักแล้ว ครั้งนั้นราชันแท้จริงฉู่ขวางได้พระราชทานพื้นที่ผืนนี้ให้กับสำนักร้อยพฤกษา ที่ตรงนี้สมควรเป็นของสำนักร้อยพฤกษาพวกเราจึงจะถูก” ระดับบรรพบุรุษของสำนักกล่าวไม่ยอมรับขึ้นมา

“ถ้าหากจะไล่ย้อนกลับไปเช่นนี้จริงๆ ล่ะก็ บรรพบุรุษของพวกเราก็เคยอาศัยอยู่ที่ตรงนี้มาหลายสิบชั่วคน มันก็ต้องนับพวกเราด้วยจึงจะถูก…”

เวลานี้ ผู้คนจำนวนไม่น้อยต่างโต้เถียงกันไปมา ใครเล่าจะยอมพลาดโอกาสในเมื่อทวนราชันขวางตี้อยู่ตรงหน้านี่เอง? ต่อให้เป็นสำนักและตระกูลขุนนางโบราณที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องเลยแม้แต่น้อยก็ตาม เวลานี้ต่างทยอยกันคิดหาวิธีที่จะให้มีส่วนเกี่ยวข้องกับเขาฟันหลอ และเกี่ยวข้องกับทวนราชันขวางตี้ให้ได้

“หุบปาก…” เวลานี้เทพฟ้าคะนองตวาดเสียงดังขึ้นมา อำนาจสยบจิตใจของผู้คน ดวงตาคู่นั้นที่เสมือนดั่งกระแสไฟที่น่าเกรงขามกวาดตามองผ่านไป ทำให้ผู้คนจำนวนไม่น้อยต้องหวาดหวั่น เวลานี้บรรดาระดับบรรพบุรุษที่อยู่ในเหตุการณ์และโต้เถียงกันต่างทยอยกันหุบปากลง

เวลานี้ดวงตาทั้งสองที่ดุจดั่งไฟฟ้าที่เยือกเย็นของเทพฟ้าคะนองได้สยบจิตใจของผู้คน เขากล่าวน่าเกรงขามออกมาว่า “เรื่องราวนมนานที่ผ่านมาอย่าได้เอ่ยถึงอีก เวลานี้เขาฟันหลออยู่ในเขตพื้นที่ของหอศักดิ์สิทธิ์ ก็ควรอยู่ในการปกครองของหอศักดิ์สิทธิ์”

“พี่เหลยเป้า เรื่องนี้อาศัยเสียงดังไม่มีประโยชน์หรอกนะ” คนอื่นอาจจะเกรงกลัวเทพฟ้าคะนอง แต่ปราชญ์ภูผาพิโรธไม่ได้กลัวเขา ในระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงไม่ว่าจะด้านกำลัง หรือฐานะ พวกเขาต่างก็พอๆ กัน

ปราชญ์ภูผาพิโรธเอ่ยขึ้นมาช้าๆ ว่า “สถานที่แห่งนี้บรรพบุรุษของพวกเราดูแลมาโดยตลอด ถ้าหากหอศักดิ์สิทธิ์ของพวกท่านคิดจะแย่งเอาไปอย่าหวังเลย”

“ดูแลนั้นหรือ?” เทพฟ้าคะนองจ้องมองไปที่ปราชญ์ภูผาพิโรธ หัวเราะเยาะทีหนึ่งและกล่าวว่า “ครั้งนั้น เหล่าบรรพบุรุษของกองกำลังซั่งได้ทำเรื่องอะไรไว้ที่เขาฟันหลอแห่งนี้ เกรงว่าเจ้าน่ะรู้อยู่แก่ใจกระมัง ยังจะมีหน้ามาพูดคำว่าดูแลสองคำนี้”

…………………………………………………..

Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *