Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล 2172 เฉินไท่เหอ

Now you are reading Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล Chapter 2172 เฉินไท่เหอ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

เผิงฉู่จวินวิ่งหนีแบบล้มลุกคลุกคลานเข้าไปภายในค่ายตระกูลเฉินของกองกำลังซั่ง เขาเพิ่งวิ่งเข้าไปในเขตค่ายตระกูลเฉินของกองกำลังซั่งก็ล้มลงและไม่สามารถลุกขึ้นมาได้อีก เขาได้รับบาดเจ็บที่สาหัสมาก เรียกได้ว่ายามที่เขาพาตัวเองเข้าไปในค่ายของตระกูลเฉินนั้นได้ใช้พลังที่เหลืออยู่จนสิ้น เป็นพลังเฮือกสุดท้ายแล้ว

“ช่วยข้าด้วย…” เมื่อเฉินฉู่จวินล้มลงบนพื้นบริเวณค่ายของตระกูลเฉินได้ร้องเสียงดังออกมาทันที

บ้านตระกูลเผิงนับเป็นสายย่อยหนึ่งของกองกำลังซั่ง ยิ่งกว่านั้นพวกเขาเคยเกี่ยวดองสมรสระหว่างกันกับตระกูลเฉินมาหลายยุคหลายสมัย แม้จะกล่าวว่าตระกูลเผิงหาใช่พันธมิตรที่เข้มแข็งที่สุดของตระกูลเฉิน แต่ทว่า ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตามบ้านตระกูลเผิงก็ยังคงเป็นพันธมิตรของตระกูลเฉิน อีกทั้งเผิงฉู่จวินมีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งมากกับเจ้าบ้านตระกูลเฉินและบรรดาผู้อาวุโสต่างๆ ดังนั้น เป็นไปไม่ได้ที่ตระกูลเฉินของกองกำลังซั่งจะไม่เข้าช่วยเหลือเขา

ดังนั้น ขณะที่เผิงฉู่จวินล้มลงที่ค่ายตระกูลเฉินนั้น ศิษย์ของตระกูลเฉินได้เข้าไปหามตัวเขาเข้าไปรักษาอาการบาดเจ็บภายในค่ายทันที

ฉับพลันนั้นเอง ณ ค่ายตระกูลเฉินของกองกำลังซั่งปรากฏเสียงของดาบกระบี่และโล่ขนาดใหญ่ดังตึง ตึง ตึงขึ้นมาเป็นระลอก กองทัพแต่ละหน่วยเข้าประจำที่ ไม่ว่าจะเป็นด้านหน้าด้านหลังของค่าย ด้านซ้ายขวาทั้งสองปีก กองทัพของตระกูลเฉินได้ปิดล้อมค่ายเอาไว้อย่างแน่นหนา ทันใดนั้นค่ายทหารทั้งค่ายได้กลายสภาพคล้ายป้อมปราการขนาดยักษ์สุดเปรียบเปรย ป้อมค่ายลักษณะเช่นนี้มีความแข็งแกร่งมาก ยากจะตีให้แตกได้

ย่อมไม่ต้องสงสัย หลังจากเข้าช่วยเหลือเผิงฉู่จวินเอาไว้แล้ว ตระกูลเฉินของกองกำลังซั่งได้เข้าสู่โหมดพร้อมรบในทันที พวกเขาเหมือนดั่งได้พบกับศัตรูที่แข็งแกร่งมากอย่างนั้น

ทุกคนที่ได้เห็นภาพนี้แล้วต่างถึงกับกลั้นลมหายใจเอาไว้ ทุกคนจ้องมองดูหลี่ชิเย่ และมองไปที่บริเวณค่ายของตระกูลเฉิน

หลี่ชิเย่เพียงยิ้มๆ ก้าวเดินไปยังค่ายของตระกูลเฉินอย่างช้าๆ เขาก้าวเดินไม่เร็ว แต่ละก้าวที่ก้าวเท้าออกไปดูผ่อนคลายยิ่ง แต่ว่า ยามที่หลี่ชิเย่ก้าวออกไปแต่ละก้าวก็เหมือนได้ส่งผลกระทบต่อจิตใจของทุกคนอย่างนั้น ทำให้ทุกคนต้องกลั้นลมหายใจเอาไว้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งยามที่หลี่ชิเย่เข้าใกล้ค่ายของตระกูลเฉินทุกขณะนั้น ไม่รู้ว่ามีผู้คนจำนวนเท่าไรที่ต้องกุมมือทั้งสองเอาไว้

หลังจากผ่านไปชั่วครู่ หลี่ชิเย่ก็ได้ก้าวเดินมาถึงด้านนอกของค่ายตระกูลเฉินแล้ว

“หยุด…” จากการร้องเสียงดังออกมาของศิษย์ตระกูลเฉิน ได้ยินเสียงตึง ตึง ตึงของหอกดังขึ้นเป็นระลอก มองเห็นหอกยากที่ส่งประกายวาววับแต่ละเล่มถูกตั้งขึ้น และปลายหอกที่เป็นส่วนหัวแหลมคมและส่งประกายเยือกเย็นแวบวับชี้ไปที่หลี่ชิเย่ พลันกลับกลายเป็นรูปขบวนภูเขาดาบป่าหอกทวนอย่างนั้น ส่วนปลายของดาบแลดูซ้อนกันเป็นชั้นๆ หากคิดจะบุกเขาค่ายตระกูลเฉินล่ะก็ เกรงว่าคงต้องผ่านด่านภูเขาดาบป่าหอกทวนเช่นนี้ตรงหน้าเสียก่อน

เวลานี้ ทั่วทั้งค่ายตระกูลเฉินตลบอบอวลไปด้วยกลิ่นอายการฆ่า กลิ่นอายการฆ่าฟันคลอบคลุมไปทั่วค่ายตระกูลเฉิน

มองดูค่ายตระกูลเฉินที่ตลบอบอวลไปด้วยกลิ่นอายการฆ่า และมีความแข็งแกร่งมาก ยากจะตีให้แตกได้ ทุกคนถึงกับมองตากันและกัน กองกำลังซั่งในฐานะเป็นหนึ่งในสี่ขั้วอำนาจใหญ่ของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหง ยิ่งตระกูลเฉินด้วยแล้วถือเป็นเสาหลักของกองกำลังซั่งทีเดียว อาศัยค่ายทหารเช่นนี้ก็พอจะมองออกถึงศักยภาพของตระกูลเฉินได้แล้ว พวกเขาสมคำเล่าลือจริงๆ พวกเขามีกำลังเพียงพอที่จะท้าสู้กับใคร หรือสำนักใดๆ ของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงก็ได้

“ท่าน จงหยุดอยู่ตรงนั้น!” ในขณะที่หลี่ชิเย่เดินเข้าไปใกล้ ศิษย์ของตระกูลเฉินได้ร้องเตือนด้วยเสียงดังขึ้นมา “อย่าทำให้ตนเองต้องเดือดร้อน!”

แม้ว่าศิษย์ของตระกูลเฉินได้กล่าวเตือนหลี่ชิเย่ไปแล้ว แต่ทว่า พวกเขาเองก็อยู่ในสภาวะที่ตึงเครียด ประสาทตึงไปทั่วร่าง ภาพของหลี่ชิเย่ที่สังหารอย่างดุดันพวกเขาประจักษ์กับตาตนเอง ศิษย์ของบ้านตระกูลเผิงหลายพันคนถูกหลี่ชิเย่เข่นฆ่าสังหารเสียสิ้นภายในระยะเวลาอันสั้น เวลานี้พวกเขาก็ไม่มีความมั่นใจว่าสามารถต้านคนโหดที่อยู่ตรงหน้าคนนี้เอาไว้ได้

แต่ว่าโชคดีตรงที่ว่า ตระกูลเฉินของพวกแข็งแกร่งมากกว่าไม่รู้เท่าไรเมื่อเทียบกับบ้านตระกูลเผิง พวกเขายังมีสิ่งที่พึ่งพิงได้ซึ่งแข็งแกร่งยิ่งกว่า พวกเขามีระดับบรรพบุรุษที่แข็งแกร่งปราศจากผู้เทียบเทียม ซึ่งเป็นธาตุแท้ภายในที่กล้าแข็งที่สุดของตระกูลเฉินพวกเขา

เสียงปัง ปัง ปังดังขึ้น เป็นเสียงฝีเท้าที่ก้าวเดินด้วยความพร้อมเพรียง เวลานี้องครักษ์เมืองหลวงเฉินซูเหว่ยได้นำพากองทัพม้าสองขบวนวิ่งฮ้อออกมาจนกระทั่งมาถึงข้างนอกด้านหน้าของประตู่ค่าย

ทหารม้าทั้งสองขบวนได้แปรขบวนแยกออกเป็นซ้ายขวาเข้าปิดล้อมเอาไว้ ไม่ว่าจะเป็นตัวของเฉินซูเหว่ยเองหรือกองทหารม้าที่เป็นศิษย์ของตระกูลเฉินทั้งสองขบวนต่างสวมเสื้อเกราะมาเต็มยศ ชุดเกราะที่หนาเตอะได้หุ้มร่างของพวกเขาไว้ทั้งหมด เผยให้เห็นเฉพาะดวงตาคู่นั้นเท่านั้น

ชุดเกราะบนตัวของทั้งเฉินซูเหว่ยกับศิษย์ของตระกูลเฉินทุกคนล้วนแล้วแต่ส่งประกายเยือกเย็นแวบวับออกมา ผู้คนที่มองเห็นเสื้อเกราะลักษณะเช่นนี้สามารถรู้ได้ทันทีว่าเป็นโลหะวิเศษที่ผ่านการหลอมกลั่นมาหลายครั้งจนนำมาสร้างเป็นเสื้อเกราะดังกล่าวในที่สุด ซึ่งชุดเกราะประเภทนี้มีสมรรถนะในการป้องกันที่แกร่งมาก ยอดฝีมือโดยทั่วไปยากที่จะโจมตีทะลุผ่านแนวป้องกันของเสื้อเกราะเช่นนี้ไปได้

กองกำลังลักษณะเช่นนี้สองขบวนที่แยกเป็นซ้ายขวาวิ่งฮ้อเข้ามานั้น เสมือนดั่งเป็นน้ำหลากที่แข็งแกร่งดั่งเหล็กกล้าสองสาย สามารถพุ่งชนทำลายทุกสิ่งทุกอย่างที่กีดขวางข้างหน้าพวกเขาได้ทั้งหมด ด้วยท่าทีที่แหลมคมไม่อาจต้านทานได้ ด้วยขบวนอาชาที่ดุดันแข็งแกร่งเช่นนี้ เกรงว่าผู้คนจำนวนมากต่างรู้สึกหวาดกลัวอยู่ในใจ

ความเข้มแข็งของตระกูลเฉินใช่เป็นเพียงคำพูดที่เลื่อนลอย กองทัพของตระกูลเฉินพวกเขาผ่านสมรภูมิรบมานับไม่ถ้วน เคยสู้รบปราบปรามไปทั่วสารทิศ มีศักยภาพที่แข็งแกร่งอย่างเพียงพอ

เฉินซูเหว่ยนำทัพที่เป็นกองกำลังอาชาสองขบวนวิ่งฮ้อมาถึงหน้าค่ายโดยพลัน และเข้าขวางหลี่ชิเย่เอาไว้ ทำให้บรรยากาศเกิดความตึงเครียดขึ้นเป็นพิเศษและตื่นเต้นโดยพลัน

“พี่หลี่ โปรดหยุดอยู่เพียงเท่านั้น” เวลานี้เฉินซูเหว่ยได้เอ่ยขึ้นมาช้าๆ ว่า “ค่ายทหารเป็นเขตหวงห้าม อย่าได้บุกรุกเข้ามาตามอำเภอใจ”

หลี่ชิเย่มองดูกองทัพทหารม้าสองขบวนของเฉินซูเหว่ยที่เข้ามาขวางทางตนเอาไว้แล้วยิ้มจางๆ และเอ่ยขึ้นช้าๆ ว่า “แค่พวกที่มีชื่อเสียงจอมปลอมกลุ่มหนึ่งเท่านั้น คิดว่าจะขวางข้าเอาไว้ได้อย่างนั้นรึ?”

พลันที่คำพูดนี้ถูกพูดออกมา ทำให้บรรดาผู้บำเพ็ญตนจำนวนมากที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างรู้สึกใจหายใจคว่ำ คำพูดลักษณะเช่นนี้ช่างอันธพาลยิ่งนัก ถ้าหากเกิดขึ้นขณะยังไม่มีการทำลายล้างบ้านตระกูลเผิงล่ะก็ ทุกคนจะต้องเห็นด้วยเป็นเอกฉันท์ว่าหลี่ชิเย่นั้นอวดดีมากเกินไปเสียแล้ว ไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ แต่ทว่า เวลานี้ต่อให้หลี่ชิเย่พูดคำพูดกที่อวดดีมากไปกว่านี้ก็ไม่มีใครกล้าพูดมาก และไม่กล้าไปวิจารณ์สุ่มๆ การเข่นฆ่าอย่างโหดเหี้ยมทารุณของหลี่ชิเย่เมื่อครู่ เพียงพอที่จะอธิบายได้ทุกสิ่งทุกอย่างแล้ว

สีหน้าของเฉินซูเหว่ยดูไม่จืดถึงขีดสุดเมื่อได้ยินคำพูดเช่นนี้ของหลี่ชิเย่ แม้ว่าตระกูลเฉินแห่งกองกำลังซั่งพวกเขาหาใช่สำนักที่แข็งแกร่งมากที่สุดของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหง กองทัพอาชาของพวกเขาก็ไม่นับเป็นกองทัพที่แข็งแกร่งมากที่สุดของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหง แต่ศักยภาพของตระกูลเฉินพวกเขาสามารถเบียดเข้าไปอยู่ในอันดับหนึ่งในห้าของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงได้อย่างแน่นอน

ด้วยกำลังที่กล้าแข็งเช่นนี้ เมื่อออกจากปากของหลี่ชิเย่แล้วกลับกลายเป็นไร้ค่าแม้แต่น้อย กองทัพของพวกเขาที่ผ่านสมรภูมิรบมาอย่างโชกโชนกลายเป็นพวกมีชื่อเสียงจอมปลอมจากปากของหลี่ชิเย่ แล้วจะไม่ให้สีหน้าของเฉินซูเหว่ยดูไม่จืดถึงขีดสุดได้อย่างไรเล่า?

ใช่เพียงแต่สีหน้าของเฉินซูเหว่ยเท่านั้นที่ดูไม่จืด แม้แต่ศิษย์ที่อยู่ในขบวนอาชาทั้งสองสายด้านหลังของเขาก็ถึงกับจ้องมองหลี่ชิเย่ด้วยความโกรธ พวกเขาล้วนแล้วแต่เป็นผู้ที่หลั่งเลือดสมรภูมิรบมาแล้วทั้งสิ้น ผ่านความเป็นความตายมาแล้ว มาวันนี้กลับถูกหลี่ชิเย่ดูแคลนถึงเพียงนี้ แล้วจะให้พวกเขากล้ำกลืนความอัปยศนี้ได้อย่างไรกันเล่า

“ท่านออกจะโอหังมากไปแล้วกระมัง” เวลานี้น้ำเสียงของเฉินซูเหว่ยก็เปลี่ยนไป และกล่าวน่าเกรงขามว่า “เหนือฟ้ายังมีฟ้า เหนือคนย่อมมียอดคน บนโลกนี้ยอดฝีมือเกิดขึ้นมากมาย เจ้าคิดว่าปราศจากผู้ต่อกรอย่างนั้นรึ?”

“เหนือฟ้ายังมีฟ้า เหนือคนย่อมมียอดคน คำพูดนี้ก็ไม่ผิดนัก” หลี่ชิเย่ยิ้มเฉยเมยและกล่าวว่า “แต่ทว่า ทั้งหมดนี้ล้วนแล้วแต่ดั่งเมฆหมอก กล่าวสำหรับข้าแล้ว ข้าก็คือผู้ที่ปราศจากผู้ต่อกร! และมันก็เป็นความจริงที่พวกเจ้าเป็นเพียงพวกจอมปลอมเท่านั้นเอง”

ถูกหลี่ชิเย่พูดจาดูแคลนเช่นนี้อีกครั้ง พลันทำให้พวกเฉินซูเหว่ยโกรธจนตัวสั่น พวกเขามีความทระนงอยู่ในระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหง ไม่รู้ว่ามีสำนัก และยอดฝีมือจำนวนเท่าไรที่ต้องก้มโค้งให้กับพวกเขาเมื่ออยู่ต่อหน้า มาวันนี้กลับถูกหลี่ชิเย่ดูแคลนถึงเพียงนี้ ไร้ค่าเมื่อออกจากปากของเขา นับว่าสร้างความอึดอัดใจด้วยความโกรธให้กับในใจของพวกเขาอย่างยิ่ง

“ท่าน เชิญกลับไปได้แล้ว” ในเวลานี้เอง น้ำเสียงทุ้มต่ำที่มีความหนักแน่นดังขึ้น ภายในค่ายทหารของตระกูลเฉินมีผู้เฒ่าก้าวออกมาคนหนึ่งและเอ่ยขึ้นช้าๆ ว่า “ขออภัยที่ตระกูลเฉินพวกเราวันนี้งดรับแขก ขออภัย”

ผู้เฒ่าผู้นี้ยืนอยู่ตรงนั้นเสมือนหนึ่งเป็นผู้ที่แข็งแกร่งไม่ยอมก้มหัวให้ผู้ใด ท่วงท่าไม่ธรรมดา มีผมเผ้าหนวดเคราเป็นสีขาว แววตาเหมือนแวบวับเป็นประกายออกมา ไม่โกรธแต่เปี่ยมด้วยอำนาจ การยืนอยู่ตรงนั้นของเขาตลบอบอวลไปด้วยกลิ่นอายปราชญ์แท้จริง เหมือนดั่งคลื่นที่แข็งแกร่งดุดันน่าเกรงขาม

“เจ้าบ้านตระกูลเฉิน เสนาบดีเฒ่า” มีผู้ที่จดจำผู้เฒ่าที่อยู่ตรงหน้าได้ ถึงกับร้องออกมาด้วยความตระหนก

ผู้คนจำนวนไม่น้อยต้องลุกขึ้นมาแสดงความเคารพเลื่อมใสอย่างสุดซึ้งที่ได้เห็นผู้เฒ่าผู้นี้ ไม่กล้าประมาทแม้แต่น้อย กระทั่งมีผู้ที่ก้มหัวคำนับให้กับเขา

ผู้เฒ่าที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้คือเจ้าบ้านตระกูลเฉินคนปัจจุบันนามว่าเฉินไท่เหอ เขาเคยดำรงตำแหน่งเสนาบดีกลาโหมของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงมาก่อน และเคยเป็นผู้อำนวยการกิจการงานน้อยใหญ่ต่างๆ ภายในกองกำลังซั่ง เรียกได้ว่าเป็นผู้ที่มีตำแหน่งและอำนาจสูงส่งคนหนึ่ง และก็คือบิดาของเฉินซูเหว่ยนั่นเอง

ผู้เฒ่าที่อยู่ตรงหน้าไม่เพียงเป็นผู้ที่มีตำแหน่งและอำนาจสูงส่งคนหนึ่งเท่านั้น ด้านกำลังความสามารถก็มีความแข็งแกร่งยิ่งนัก เขาอยู่ในระดับปราชญ์แท้จริงขั้นสูง เคยเป็นบุคคลผู้ทรงอิทธิพลของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหง ต่อมาภายหลังได้หลีกทางให้กับบุตรชายของตนเอง ถอนตัวมาอยู่เบื้องหลัง จึงมีน้อยครั้งมากที่ปรากฏตัวออกมา

การปรากฎตัวของ เฉินไท่เหอโดยพลัน ได้สร้างความตระหนกและรู้สึกเหนือความคาดคิดให้กับผู้คนจำนวนไม่น้อย ทุกคนต่างนึกไม่ถึงว่าเฉินไท่เหอถึงกับมาที่เขาฟันหลอด้วยตนเอง

สมควรทราบว่า กษัตริย์ของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงขณะยังไม่ได้สวรรคตนั้น มีความน่าจะเป็นที่อยู่ในระดับกษัตราแท้จริงขั้นสูง ขณะที่เฉินไท่เหอกลับอยู่ในระดับปราชญ์แท้จริงขั้นสูง ซึ่งแข็งแกร่งกว่าระดับหนึ่งเต็มๆ เมื่อเทียบกับกษัตริย์ของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหง

ย่อมสามารถจินตนาการได้ว่าเฉินไท่เหอมีศักยภาพที่แข็งแกร่งเพียงใด และมีฐานะตำแหน่งที่สูงส่งเช่นใดในระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหง

ผู้คนจำนวนไม่น้อยจึงให้ความเคารพต่อเฉินไท่เหออยู่หลายส่วน กระทั่งมีความเคารพยำเกรงอยู่หลายส่วน

สำหรับหลี่ชิเย่นั้นไม่มีปฏิกิริยาใดๆ ทั้งสิ้น เขาเพียงมองหน้าเฉินไท่เหอไปตามอารมณ์แวบหนึ่ง กล่าวเรียบเฉยว่า “พวกเจ้ารับหรือไม่รับแขกมันเกี่ยวอะไรกับข้า ขอเพียงพวกเจ้ามอบตัวเผิงฉู่จวินออกมา ข้าจะถือว่าไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นทั้งนั้น”

สีหน้าของเฉินซูเหว่ยในฐานะนายน้อยดูไม่จืดเลยเมื่อได้ยินคำพูดเช่นนี้ ถึงกับจ้องมองหลี่ชิเย่ด้วยความโกรธ เฉินไท่เหอกลับเป็นผู้ผ่านอุปสรรคมามากมายจึงไม่โกรธ เอ่ยขึ้นมาช้าๆ ว่า “ท่าน ทำอะไรก็อย่าให้มันเกินไปนัก อภัยได้ก็จงให้อภัย บ้านตระกูลเผิงเรียกได้ว่าพ่ายแพ้ราบคาบแล้ว พวกเขาได้จ่ายค่าตอบแทนนี้แล้ว ต่อจากนี้ไปบ้านตระกูลเผิงไม่กล้าเป็นศัตรูกับท่านอีกแล้ว การที่ท่านจะละเว้นให้กับเจ้าบ้านตระกูลเผิงสักครั้งจะเป็นไรไปเล่า?”

คำพูดนี้ของเฉินไท่เหอพูดได้มีเหตุผลยิ่งนัก เวลานี้ทุกคนต่างจ้องมองไปที่หลี่ชิเย่

“ข้าทำอะไรยังต้องให้เจ้ามาชี้แนะ มดปลวกตัวหนึ่งมาแนะนำช้างว่าควรจะทำอย่างไร ดูจะน่าขันจริงๆ” หลี่ชิเย่หัวเราะและกล่าวว่า “วิธีการทำงานของคนอย่างข้าง่ายมาก ถ้าหากพวกเจ้าไม่มอบเผิงฉู่จวินออกมาล่ะก็ ข้าจะเหยียบตระกูลเฉินเจ้าให้ราบเป็นหน้ากลอง นี่เป็นการเลือกที่ง่ายมาก พวกเจ้าก็เลือกเอาเองก็แล้วกัน”

“วาจาสามหาว…” เฉินซูเหว่ยเป็นคนแรกที่ไม่สามารถอดกลั้น อดที่จะร้องตวาดออกมาด้วยความโกรธไม่ได้ทันทีที่ได้ฟังคำนี้ของหลี่ชิเย่ จ้องเขม็งไปที่หลี่ชิเย่ด้วยความโกรธ

ไม่เพียงแต่เฉินซูเหว่ยคนเดียวเท่านั้นที่จ้องเขม็งหลี่ชิเย่ด้วยความโกรธ แม้แต่บรรดาศิษย์ของตระกูลเฉินที่อยู่ในเหตุการณ์ทั้งหมดก็จ้องมองหลี่ชิเย่ด้วยความโกรธเช่นกัน

นี่เป็นการมองไม่เห็นตระกูลเฉินของพวกเขาอยู่ในสายตาชัดๆ ถึงกับประกาศต่อหน้าผู้คนใต้หล้าว่าจะเหยียบตระกูลเฉินให้ราบเป็นหน้ากลอง จะให้พวกเขาอดกลั้นความอัปยศเช่นนี้ได้อย่างไรกับการท้าทายอย่างโจ๋งครึ่มเช่นนี้ ดังนั้น พวกเขาต่างจ้องมองหลี่ชิเย่ด้วยความโกรธ ดวงตาทั้งสองต่างพวยพุ่งเป็นเพลิงแห่งความโกรธออกมา

แต่ทว่า หลี่ชิเย่เหมือนมองไม่เห็นอย่างสิ้นเชิง เพียงแค่ยิ้มจางๆ ออกมาเท่านั้น

เฉินไท่เหอเองก็ถึงกับมีสีหน้าบึ้งตึง เมื่อถูกคนเขาประกาศจะเหยียบบ้านตระกูลเฉินของตนให้ราบเป็นหน้ากลองต่อหน้าผู้คนใต้หล้า เอ่ยขึ้นช้าๆ ว่า “ท่านออกจะเกินเลยไปแล้ว หากท่านจะต้องสังหารให้สิ้นซาก ตระกูลเฉินของพวกเราจะไม่ยอมนิ่งดูดายอย่างเด็ดขาด”

กล่าวสำหรับเฉินไท่เหอในเวลานี้แล้ว ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตามก็ต้องปกป้องเผิงฉู่จวินเอาไว้ จะอย่างไรเสียเจ้าบ้านตระกูลเผิงเป็นสุนัขรับใช้ของตระกูลเฉินพวกเขา โดยเฉพาะอย่างยิ่งยังไม่ต้องพูดถึงการเกี่ยวดองสมรสระหว่างกันระหว่างบ้านตระกูลเผิงกับตระกูลเฉินของพวกเขา

ถ้าหากว่าวันนี้กตระกูลเฉินไม่สามารถปกป้องเผิงฉู่จวินเอาไว้ เช่นนั้นแล้วภายภาคหน้ายังจะมีใครกล้ามาสวามิภักดิ์ต่อตระกูลเฉินของพวกเขาอีก ในเมื่อแม้แต่น้องตัวเองยังปกป้องไม่ได้ จากนี้ไปยังจะมีสำนักหรือตระกูลขุนนางโบราณในกองกำลังซั่งยินดีทำงานให้ตระกูลเฉินของพวกเขา ดังนั้น วันนี้ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม พวกเขาก็จะไม่มอบเผิงฉู่จวินออกมาอย่างเด็ดขาด!

………………………

Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *