Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล 2171 กระบี่พายุกำแหง

Now you are reading Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล Chapter 2171 กระบี่พายุกำแหง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ผู้คนจำนวนไม่น้อยต่างพยักหน้า เมื่อเห็นรูปขบวนของกองกำลังทหารสองขบวนที่เสมือนดั่งเป็นคมมีดสองเล่มทั้งฟันทั้งแทงเข้าใส่หลี่ชิเย่อย่างโหดเหี้ยม การที่บ้านตระกูลเผิงมีฐานะเช่นทุกวันนี้ใช่เป็นเพียงชื่อเสียงจอมปลอม พวกเขาได้อาศัยศักยภาพแสดงถึงความแข็งแกร่งบ้านตระกูลเผิงของพวกเขา

กรรร…จังหวะที่ขบวนกองทัพทั้งสองขบวนกำลังสลับไขว้ซ้ายขวาบุกเข้าสังหารนั้น พลันปรากฏเสียงร้องคำรามของมังกรขึ้นมา หรือพูดให้ถูกต้องมากกว่านี้มันเหมือนเป็นเสียงร้องคำรามของมังกรยักษ์ที่บ้าคลั่งตัวหนึ่งมากกว่า

พริบตาเดียวนั่นเอง ทุกคนล้วนแล้วแต่บังเกิดเป็นมโนภาพขึ้นมา หลี่ชิเย่ที่ยืนอยู่ตรงนั้นได้หายตัวไป ทันใดนั้นเองมองเห็นเพียงการปรากฏตัวขึ้นของมังกรยักษ์อย่างกะทันหัน มังกรยักษ์ตัวนี้ฉับพลันได้บ้าคลั่งขึ้นมา จากการที่ร้องคำรามออกมาด้วยความโกรธและพาลอย่างบ้าคลั่ง มันแยกเขี้ยวกางเล็บและวิ่งเข้าใส่ทันที ทันใดที่มังกรยักษ์บ้าคลั่ง กลิ่นอายมังกรที่น่ากลัวได้พังทลายทุกสิ่งทุกอย่าง กรงเล็บที่คมกริบอย่างยิ่งฉีกทุกสิ่งทุกอย่างที่ขวางหน้าจนแหลกละเอียด

ได้ยินเสียงดังปัง ปังที่ดังขึ้น กองทัพที่แปรขบวนเป็นหอกยาวและดาบศักดิ์สิทธิ์สองขบวนถูกมังกรยักษ์หักทิ้งโดยพลัน ตามติดด้วยเสียงฉีกขาดดังแคว่กก แคว่กก แคว่กก เห็นเพียงมังกรยักษ์ที่บ้าคลั่งได้พุ่งชนขบวนสู้รบทั้งสองขบวนจนแตกพ่าย ขบวนทัพของศิษย์บ้านตระกูลเผิงทั้งหมดแตกพ่ายไม่เป็นขบวน

ทันใดนั้นเอง มังกรยักษ์เสมือนดั่งลุยเข้าไปในฝูงแกะอย่างนั้น ศิษย์ทั้งหมดของบ้านตระกูลเผิงภายใต้กรงเล็บที่แหลมคมนั้นไม่สามารถต้านได้เลย ท่ามกลางเสียงฉีกขาดแคว่กก แคว่กก แคว่กกที่ดังขึ้นเป็นระลอก มองเห็นศิษย์บ้านตระกูลเผิงแต่ละคนถูกฉีกร่างจนแหลกละเอียด

อ๊ากก อ๊ากก อ๊ากก…เสียงร้องน่าเวทนาดังระงมขึ้นเป็นระลอก มองเห็นเลือดสดๆ ที่แตกกระเซ็น เศษเนื้อและเลือดที่ปลิวว่อน ศิษย์บ้านตระกูลเผิงแต่ละคนถูกฉีกร่างจนละเอียด เวลานี้บนพื้นเต็มไปด้วยเศษเนื้อเกลื่อนกลาด เลือดที่ไหลรินรวมกันเป็นธาร กลิ่นคาวเลือดที่คละคลุ้งโชยมาแตะจมูก ทำให้ผู้คนบังเกิดอาการอยากจะอาเจียนขึ้นมา

ท่ามกลางเลือดสดๆ ที่เทราดลงมา เศษเนื้อที่ปลิวว่อนไปทั่ว ภายในระยะเวลาอันสั้นศิษย์บ้านตระกูลผิงจำนวนนับพันถูกฉีกร่างจนแหลกเหลว เสียงร้องอันน่าเวทนาแต่ละเสียงที่ดังขึ้นทำให้ผู้คนถึงกับตัวสั่นดั่งลูกนก

ครั้นมังกรยักษ์ได้ฉีกร่างของศิษย์บ้านตระกูลผิงจนแหลกละเอียดไปหมดทุกคนแล้ว มังกรยักษ์ได้หายตัวไป มองเห็นแต่เพียงหลี่ชิเย่ที่ยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น เศษเนื้อยังเต้นตุ้บๆ อยู่ใต้เท้าของเขา เลือดสดๆ ไหลรินผ่านใต้เท้าของเขา เขาเพียงก้าวเดินผ่านไปช้าๆ เสมือนดั่งเป็นดอกบัวดอกหนึ่งที่เกิดอยู่บนเนื้อเน่าๆ เลือดสกปรกอย่างนั้น ให้ความรู้สึกอย่างหนึ่งที่ยอดเยี่ยมปราศจากผู้เทียบเทียมกับผู้คน เหมือนว่าตัวเขามาจากนรกอเวจี แต่มีท่าทีที่เรียบเฉย ดูเป็นธรรมชาติยิ่ง ความรู้สึกเช่นนี้ทำให้ผู้คนรู้สึกตัวสั่นดั่งลูกนก

“มังกรกำแหงอาละวาด…” ไม่ว่าจะเป็นระดับบรรพบุรุษของสำนักใด หรือตระกูลขุนนางโบราณใดก็ตาม ต่างร้องเสียงหลงขึ้นมา เมื่อมองเห็นภาพของมังกรยักษ์ที่ฉีกทุกอย่างจนละเอียดนั่น ต้องหวาดกลัวจนขนลุกซู่ภายในใจ และมีระดับบรรพบุรุษที่รู้สึกใจหายใจคว่ำ พึมพำออกมาว่า “นี่จะต้องเป็นลักษณะการบ่มฟักศิษย์แบบเน้นๆ ของสายตรงแน่นอน!”

ในขณะนี้ สิ่งหนึ่งที่บรรดาบรรพบุรุษเหล่านี้นึกถึงก็คือจวนหวัง มังกรกำแหงอาละวาด คือหนึ่งในเคล็ดวิชาที่พาลมากที่สุดของผู้เฒ่ากำแหง มันสูงกว่า ‘พลังพาลบ้าระห่ำ’ ขั้นหนึ่ง สำนักและหรือตระกูลขุนนางโบราณของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงที่มีเคล็ดวิชานี้อยู่ในครอบครองมีอยู่ไม่กี่แห่งเท่านั้น เป็นต้นว่าตระกูลเฉินแห่งกองกำลังซั่ง ตระกูลหวังแห่งจวนหวังก็จะมีเคล็ดวิชานี้อยู่ในครอบครอง

แต่ทว่า ใช่ว่าใครๆ ก็สามารถฝึกเคล็ดวิชานี้ได้ เฉกเช่น ‘พลังพาลบ้าระห่ำ’ ในสำนักและหรือตระกูลขุนนางโบราณก็มีศิษย์ที่ฝึกเคล็ดวิชานี้อยู่จำนวนไม่น้อย ขณะที่ ‘มังกรกำแหงอาละวาด’ จะแตกต่างกัน ศิษย์ที่จะฝึกเคล็ดวิชา ‘มังกรกำแหงอาละวาด’ ได้นั้น ต้องมีฐานะที่สูงส่ง และมีพรสวรรค์ที่สูงมาก!

ในสำนักและหรือตระกูลขุนนางโบราณ ผู้ที่สามารถฝึก ‘มังกรกำแหงอาละวาด’ เป็นการบ่งบอกว่าคนผู้นี้จะต้องเป็นศิษย์ที่ทางสำนักและหรือตระกูลขุนนางโบราณต้องการบ่มฟักเป็นพิเศษ เฉกเช่นศิษย์ประเภทเฉินซูเหว่ย และซี๋วจื้อเจี๋ยทำนองนั้น

ในเวลานี้ บรรดาระดับบรรพบุรุษของสำนักและหรือตระกูลขุนนางโบราณต่างมั่นใจได้ว่า หลี่ชิเย่จะต้องเป็นศิษย์ที่ทางจวนหวังให้การบ่มฟักเป็นพิเศษแน่นอน กระทั่งคือผู้ที่จะสืบทอดตำแหน่งกษัตริย์ต่อจากกษัตริย์องค์ก่อน!

จังหวะที่กลิ่นคาวเลือดโชยคละคลุ้งแตะจมูกของทุกๆ คนอยู่ ศิษย์นับพันคนของบ้านตระกูลเผิงถูกสังหารสิ้นภายในระยะเวลาอันสั้น ทั้งค่ายเหลือเพียงเผิงฉู่จวินเพียงคนเดียวเท่านั้น ทั่วบริเวณพื้นที่ค่ายเต็มไปด้วยเลือด เสมือนหนึ่งได้กลับกลายเป็นนรกอเวจีไปแล้วอย่างนั้น

ไม่รู้ว่ามีผู้คนจำนวนเท่าไรที่รู้สึกขาทั้งสองข้างที่อ่อนแรง และสั่นเทาตลอดเวลา เมื่อได้เห็นภาพเช่นนี้ กระทั่งมีบางคนที่ทนดูไม่ได้จนอาเจียนออกมา กระทั่งน้ำดีก็ยังอาเจียนออกมาด้วย

“เจ้า…” นาทีนี้สีหน้าของเผิงฉู่จวินดูขาวซีด ขาทั้งสองอ่อนแรง ถึงกับต้องก้าวถอยหลังไปหลายก้าวเมื่อเห็นหลี่ชิเย่เดินเข้ามาหาตน ความรู้สึกหวาดกลัวลามไปทั่วจิตใจของเขา

เวลานี้ ผู้ที่มีความหวาดกลัวเข้าไปในใจใช่มีเพียงเผิงฉู่จวินเท่านั้น ผู้คนจำนวนไม่น้อยถึงกับสั่นเทาอยู่ในใจ และจำนวนไม่น้อยที่จ้องมองหลี่ชิเย่ด้วยสีหน้าที่ขาวซีด

“เจ้า เจ้า เจ้าโหดเหี้ยมเกินไปแล้ว…” เวลานี้เผิงฉู่จวินถึงกับร้องเสียงดังออกมา และยืนได้อย่างมั่นคงแล้ว เวลานี้เขาไม่สามารถถอยไปไหนได้อีก มีทางเดียวคือสู้ตาย!

“โหด…” หลี่ชิเย่แสดงท่าทีที่อ่อนโยน และกล่าวเฉยเมยว่า “อย่างนี้รึนับว่าโหด? คนที่มีชีวิตอยู่กับคมดาบก็ต้องสำนึกได้ว่าอาจจะต้องถูกฆ่าตายได้สักวัน เจ้าที่เป็นคนแก่เฒ่าและพูดเช่นนี้ออกมา ออกจะดูเด็กๆ เกินไปแล้วกระมัง? อีกอย่าง ถ้าหากไม่โหดแล้วข้าจะถูกผู้คนยกย่องว่าเป็น ‘จอมโหดอันดับหนึ่ง’ ได้รึ? การล้างผลาญเช่นนี้สำหรับข้าแล้วมันก็แค่อาหารเรียกน้ำย่อยเท่านั้นเอง ไม่คู่ควรจะกล่าวถึง”

ร่างของเผิงฉู่จวินถึงกับสั่นเทิ้มไปทั่วร่างเมื่อได้ยินคำพูดเช่นนี้ของหลี่ชิเย่

“คนโหดอันดับหนึ่ง…” มีผู้ที่พูดทวนฉายาของหลี่ชิเย่ ทว่าพวกเขาไม่เคยได้ยินชื่อฉายาของหลี่ชิเย่มาก่อน!

“อาหารเรียกน้ำย่อย ไม่คู่ควรจะกล่าวถึง” ผู้คนที่ได้เห็นภาพตรงหน้านี้แล้วยิ่งต้องหวาดกลัวจนขนลุกซู่ในใจ แค่ชั่วพริบตาเดียวก็จัดการฉีกร่างศิษย์บ้านตระกูลเผิงจำนวนนับพันจนแหลกละเอียด ถึงกับเป็นเพียงอาหารเรียกน้ำย่อยเท่านั้นเอง แล้วถ้าเป็นอาหารหลักล่ะ มันช่างเป็นเรื่องที่น่าสยดสยองยิ่งนัก เกรงว่าคงเป็นทะเลเลือดที่ดั่งคลื่นยักษ์ ซึ่งพวกเขาไม่อยากจะไปจินตนาการถึงภาพนั้น

เวลานี้ภายในใจของเผิงฉู่จวินรู้สึกเสียใจและโกรธตัวเองกับการกระทำของตนอยู่บ้าง เขาประเมินศักยภาพของหลี่ชิเย่ต่ำไปมากทีเดียว นึกไม่ถึงเลยว่ากองทหารบ้านตระกูลเผิงหลายพันคนจะสู้ไม่ได้เลยเมื่ออยู่ต่อหน้าหลี่ชิเย่!

“เสียดาย โลกนี้ไม่มียาเสียใจ เวลานี้คิดเสียใจก็สายเกินไปแล้ว” มองดูเผิงฉู่จวินรู้สึกเสียใจและโกรธตัวเองกับการกระทำของตน หลี่ชิเย่หัวเราะและกล่าวว่า “ชีวิตคนเรามักมีให้เลือกเพียงครั้งเดียวเท่านั้น เมื่อพลาดไปแล้วก็ไม่มีโอกาสที่จะหวนกลับมาได้เอีก! เดินผิดตาเดียว แพ้ทั้งกระดาน!”

ตึง…ทันใดนั้นเอง ปรากฏกระบี่ยักษ์ในมือของเผิงฉู่จวิน กระบี่ยักษ์พลันพวยพุ่งเปลวไฟสีแดงที่ไม่สิ้นสุดออกมา ขณะที่เปลวไฟสีแดงพวยพุ่งออกมานั้น ต่อให้อยู่ห่างจากจุดนั้นกว่าสิบจ้างยังคงสามารถรับรู้ถึงคลื่นความร้อนที่ร้อนแรงยิ่งนักนั้นได้

ตูมเสียงดังสนั่น ทันใดนั้นเอง มองเห็นประกายที่ไม่มีสิ้นสุดพวยพุ่งออกมาจากกระบี่ยักษ์เล่มนี้ เสมือนดั่งเทพแท้จริงได้ฟื้นคืนชีพขึ้นมาอย่างนั้น

“กระบี่เทพแท้จริง…” ยอดฝีมือรุ่นอาวุโสที่มองเห็นกระบี่ยักษ์ที่มีเปลวไฟสีแดงดั่งคลื่นยักษ์แล้ว สามารถจดจำประวัติความเป็นมาของกระบี่ยักษ์เล่มนี้ได้ เอ่ยขึ้นช้าๆ ว่า “นี่เป็นกระบี่เทพแท้จริงของผู้ก่อตั้งบ้านตระกูลเผิง เป็นสัจอาวุธเทพแท้จริงซานฉุงเทียน!”

เวลานี้ กระบี่เทพแท้จริงเล่มนี้ได้พวยพุ่งอานุภาพเทพแท้จริงออกมาไม่ขาดสาย อานุภาพเทพแท้จริงสายนี้สยบผู้คนถึงกับหายใจไม่สะดวกได้เป็นจำนวนมาก ยามที่เผิงฉู่จวินได้ถ่ายทอดพลังทั้งหมดของตนเข้าไปในกระบี่เทพแท้จริงเล่มนี้แล้ว เสมือนดั่งเป็นการปลุกปณิธานปฐมบรรพบุรุษของตนขึ้น เสมือนหนึ่งปณิธานเทพแท้จริงมาถึงอย่างนั้น

“ข้าขอแลกกับเจ้า!” ทันใดนั้นเองเผิงฉู่จวินคำรามเสียงดัง นาทีนี้เขาไม่มีทางเลือกอีกแล้ว เขาได้แต่สู้กับหลี่ชิเย่ให้ถึงที่สุด ระหว่างเขากับหลี่ชิเย่ไม่ใช่เจ้าตายก็คือข้าม้วย!

แช้งค์…หนึ่งกระบี่ที่ฟาดฟันลงมา เสมือนหนึ่งเป็นทางช้างเผือกที่เทลงมา เหมือนว่ากระบี่นี้มาจากการลงมือของเทพแท้จริง หนึ่งกระบี่ที่ฟาดฟันลงมาสามารถผ่าผืนแผ่นดินให้เป็นสองซีก หนึ่งกระบี่ที่ร้ายกาจและแหลมคมไร้ผู้เทียบเทียม ปราศจากสิ่งใดต้านทาน

ทันใดนั้นเอง มองเห็นมือของหลี่ชิเย่กางออกเท่านั้น ตูม…เสียงดังสนั่น เพียงเสี้ยววินาทีเท่านั้นเอง ปรากฏพายุฝนฟ้าคะนอง บนท้องฟ้าพลันปรากฏพายุรุนแรงอย่างยิ่งลงมา ซึ่งดูเหมือนว่ามันมีความรุนแรงเพียงพอที่จะทำลายโลกทั้งโลกได้ พายุร้ายที่ไม่มีสิ้นสุดซึ่งพุ่งลงมาจากท้องฟ้าสามารถฉีกทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกได้ ได้ยินเสียงตูม ตูม ตูมดังตูมตามขึ้นมาเป็นระลอก ทั่วพื้นดินคล้ายถูกพายุร้ายนี้ฉีกจนแหลกละเอียดไปแล้วอย่างนั้น

เสียงตึง ตึง ตึงดังขึ้นมาเป็นระลอก มองเห็นเพียงท่ามกลางพายุร้ายมีกระบี่ทรงพลังขนาดใหญ่เล่มหนึ่ง ยามที่กระบี่ทรงพลังขนาดใหญ่ปรากฏ มันก็คล้ายเป็นตัวแทนของพายุร้ายทั้งหมด ภายใต้หนึ่งกระบี่จึงครอบคลุมพลังทำลายทั้งหมดของพายุร้าย

“กระบี่พายุกำแหง…” แม้แต่ระดับบรรพบุรุษของหอศักดิ์สิทธิ์ก็ต้องมีสีหน้าที่แปรเปลี่ยนไป กล่าวเสียงทุ้มต่ำขึ้นมา

ผู้ที่รู้จักกระบวนท่ากระบี่นี้ต่างมีสีหน้าที่เปลี่ยนไปมากทีเดียว เนื่องจาก ‘กระบี่พายุกำแหง’ คือหนึ่งในเคล็ดวิชาที่มีความเป็นตัวแทนอย่างยิ่งของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหง มันมีอดีตที่รุ่งโรจน์มากในระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหง มีผู้ที่ยกย่องให้ ‘กระบี่พายุกำแหง’ เป็นหนึ่งในสามสุดยอดเคล็ดวิชากระบี่ของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหง

อีกทั้งในระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหง ต่อให้มีสำนักหรือตระกูลขุนนางโบราณที่ได้ครอบครองเพลงกระบี่นี้ ผู้ที่จะฝึกก็ต้องเป็นบุคคลระดับบรรพบุรุษเท่านั้น ซึ่งเป็นตัวแทนหนึ่งในเคล็ดวิชาที่ทรงพลังที่สุดของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหง และแทนอำนาจบารมีของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหง!

เวลานี้ ‘กระบี่พายุกำแหง’ ปรากฏในเมือของหลี่ชิเย่ แล้วจะไม่ให้บรรดาระดับบรรพบุรุษของหอศักดิ์สิทธิ์ กองกำลังซั่ง หรือแม้กระทั่งค่ายฉู่ต้องมีสีหน้าที่เปลี่ยนไปกับเรื่องนี้!

ปัง…เสียงดังสนั่นขึ้น กระบี่พายุกำแหงรับกับกระบี่เทพแท้จริงซึ่งหน้า ต่อให้กระบี่เทพแท้จริงมีความดุดันยิ่งนัก แต่ภายใต้กระบี่พายุกำแหงที่มีความพาลสูงสุด ยังคงไม่อาจต่อกรได้ มองเห็นกระบี่เทพแท้จริงของเผิงฉู่จวินถูกกระแทกจนหลุดจากมือไป และร่างของเผิงฉู่จวินถูกพลังจนปลิวออกไป กระอักเลือดออกมาอย่างแรง

ได้ยินเสียงดังคร๊ากก ภายใต้พลังโจมตีที่น่ากลัวยิ่งเช่นนี้ กระดูกบนตัวของเผิงฉู่จวินไม่รู้ว่าแตกละเอียดไปเท่าไร ขณะเดียวกัน ภายใต้คมกระบี่ของกระบี่พายุกำแหงที่กวาดผ่านไป พลันทำให้ร่างกายของเผิงฉู่จวินโชกไปด้วยเลือดที่หยดเป็นทาง ปรากฏบาดแผลหลายแผลบนตัวจากกระบี่ โดยเป็นแผลที่ลึกมากถึงกระดูก กระทั่งมีแผลจากกระบี่พายุกำแหงที่ทิ่มทะลุตัวของเขา

ได้ยินเสียงที่เผิงฉู่จวินล้มดังปังกับพื้น หลังจากผ่านไปครู่ใหญ่เขาจึงลุกขึ้นมาด้วยร่างกายที่สั่นเทา กล่าวได้ว่า การที่เขายังคงมีชีวิตอยู่ได้ก็คือเรื่องมหัศจรรย์แล้ว

“เสียดาย เจ้าไม่ควรแตะต้องคนของข้า” หลี่ชิเย่กล่าวเรียบเฉย และเดินเข้าหาเผิงฉู่จวินทีละก้าวๆ กล่าวขึ้นช้าๆ ว่า “ฟ้าได้ลิขิตแล้วว่าเป็นวันตายของเจ้า”

ใบหน้าของเผิงฉู่จวินขาวซีด เวลานี้เขาได้รับบาดเจ็บสาหัสไม่สามารถต่อสู้ได้อีกต่อไป เขามุ่งหน้าหนีไปที่ค่ายทหารของตระกูลเฉินแห่งกองกำลังซั่งอย่างล้มลุกคลุกคลาน นาทีนี้เขาได้อาศัยพลังที่มีอยู่ทั้งหมด อยากจะวิ่งหนีเข้าไปภายในค่ายทหารของพวกเฉินซูเหว่ยเสียเดี๋ยวนี้ให้มันรู้แล้วรู้รอดไป

…………………………

Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *