Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล 2472 ไสหัวไปเสีย

Now you are reading Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล Chapter 2472 ไสหัวไปเสีย at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“แม่นางฉินแห่งวัดจิ้งเหลียนกวานก็มาแล้ว” มีผู้ที่มองเห็นฉินเจี้ยนเหยาเดินกอดกระบี่มาถึงกับทอดถอนใจขึ้นมา และกล่าวว่า “ถ้าหากทะเลสาบทั้งเก้ามีการเปลี่ยนสีและพานพบเรื่องประหลาดมหัศจรรย์จริงๆ ล่ะก็ พวกเราจะไปมีสิทธิ์ต่อกรกับแม่นางฉินได้อย่างไรกันเล่า”

ผู้คนจำนวนไม่น้อยที่รู้สึกตื่นเต้นระคนความดีใจหลังจากที่ได้เห็นการมาถึงของฉินเจี้ยนเหยา แต่ก็มีคนที่รับรู้ถึงความกดดัน เนื่องจากถ้าหากฉินเจี้ยนเหยามาด้วยเรื่องการเปลี่ยนสีของทะเลสาบทั้งเก้าจริงล่ะก็ หากเป็นเช่นนั้นเป็นไปไม่ได้เลยที่คนอื่นๆ จะคิดแย่งชิงสิ่งประหลาดมหัศจรรย์กับนางได้

สิ่งนี้ใช่ว่าเป็นเพราะพวกเขาดูถูกตัวเองมากเกินไป แต่เป็นเพราะฉินเจี้ยนเหยามีความแข็งแกร่งเช่นนี้จริงๆ หรือพูดให้ถูกต้องมากกว่าก็คือ วัดจิ้งเหลียนกวานมีความแข็งแกร่งมากกว่าที่ผู้คนจำนวนมากคาดคิดเอาไว้

ทุกคนต่างก็รู้ว่า วัดจิ้งเหลียนกวานที่อยู่ในฐานะหนึ่งในห้าแกร่ง ดูผิวเผินเหมือนว่าจะอยู่ในระดับเดียวกันกับสี่แกร่งที่เหลือ กำลังความสามารถพอๆ กัน ความจริงแล้วกลับไม่ได้เป็นเช่นนั้น

ในใจของยอดฝีมือรุ่นอาวุโสจำนวนไม่น้อยมีความชัดเจนยิ่งว่า ความจริงแล้ว ศักยภาพวัดจิ้งเหลียนกวานที่เป็นหนึ่งในห้าแกร่งเหมือนกันเหนือกว่าอีกสี่แกร่งที่เหลือเป็นอันมาก ไม่ว่าจะเป็นตระกูลขุนนางโบราณปิงฉือหรือว่าแคว้นว่านเจิ้น และหรือหอหลินไห่เก๋อก็ห่างชั้นเทียบไม่ได้กับวัดจิ้งเหลียนกวาน

สมควรทราบว่า ระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่ในยุคปัจจุบัน ยกเว้นราชวงศ์โต่วเซิ่นแล้ว วัดจิ้งเหลียนกวานคือสำนักเพียงหนึ่งเดียวที่มีสองในเก้าเคล็ดลับจิ่วมี่อยู่ในครอบครอง ความแข็งแกร่งและแน่นหนาของธาตุแท้ภายใน หาใช่สำนักอื่นๆ สามารถเทียบเคียงได้อยู่แล้ว

ก่อนยุคของฮ่องแต้ไท่ชิง ผู้ครองอำนาจของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่ในทุกยุคสมัยล้วนแล้วแต่มีความสัมพันธ์กับวัดจิ้งเหลียนกวานมากมาย แม้จะกล่าวว่าในห้วงพันล้านปีที่ผ่านมา วัดจิ้งเหลียนกวานน้อยครั้งนักที่จะควบคุมอำนาจปกครองใต้หล้าโดยตรง และคนของวัดจิ้งเหลียนกวานก็น้อยครั้งนักที่ได้ขึ้นนั่งบัลลังก์ฮ่องแต้โดยตรง

แต่ว่า วัดจิ้งเหลียนกวานเคยให้การสนับสนุนให้ได้ขึ้นเป็นฮ่องแต้มาไม่น้อย สนับสนุนผู้กุมอำนาจของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่มาไม่น้อย ด้วยเหตุนี้เอง วัดจิ้งเหลียนกวานจึงสามารถบงการสถานการณ์โดยรวมของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่ทั้งหมดตลอดเวลาที่ผ่านมา

วัดจิ้งเหลียนกวานมีผลกระทบต่ออำนาจฮ่องแต้ของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่ที่ลึกซึ้งและแน่นหนามาก ในช่วงระยะเวลาที่ยาวนานมาก

กระทั่งฮ่องแต้ไท่ชิงเป็นใหญ่แต่ผู้เดียวใต้หล้าแล้ว ผลกระทบดังกล่าวจึงถูกบั่นทอนให้อ่อนลงอย่างช้าๆ และผลกระทบที่วัดจิ้งเหลียนกวานมีต่ออำนาจของฮ่องแต้จึงถูกขจัดทิ้งไป

แม้จะเป็นเช่นนี้ก็ตาม กำลังของวัดจิ้งเหลียนกวานยังคงแข็งแกร่งมาก ถ้าหากจะกล่าวว่า ในยุคที่ฮ่องแต้ไท่ชิงเป็นใหญ่แต่ผู้เดียวใต้หล้า ทั่วทั้งระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่ใครกันนะที่สามารถคานอำนาจราชวงศ์โต่วเซิ่นไว้ได้ล่ะก็ คงมีเพียงวัดจิ้งเหลียนกวานเท่านั้นแล้ว

“เกรงว่าฮ่องแต้องค์ใหม่จะถือกำเนิดขึ้นมาแล้ว” ขณะยอดฝีมือรุ่นอาวุโสมองเห็นฉินเจี้ยนเหยาแล้วถึงกับทอดถอนใจออกมา

อาศัยรูปแบบการกระทำของวัดจิ้งเหลียนกวานที่ผ่านมาในอดีต ช้าหรือเร็วพวกเขาก็ต้องบ่มฟักผู้ที่จะมากุมอำนาจฮ่องแต้คนหนึ่ง เวลานี้แม้แต่ฉินเจี้ยนเหยาที่ไม่ค่อยปรากฎตัวในยุทธภพก็ปรากฎตัวขึ้นมาแล้ว สิ่งนี้อาจเป็นการบ่งบอกว่าวัดจิ้งเหลียนกวานกำลังเล็งหาว่าทีผู้ที่จะขึ้นมากุมอำนาจฮ่องแต้อยู่

ฉินเจี้ยนเหยาที่กอดกระบี่เดินไม่ได้มุ่งหน้าไปยังที่พักของตนเองทันที แต่มุ่งไปยังเขาหงฮวงซาน

“แม่นางฉินไปทำอะไรที่เขาหงฮวงซาน? ” มีผู้ที่รู้สึกตระหนกอยู่ในใจ เมื่อเห็นฉินเจี้ยนเหยามุ่งหน้าไปยังเขาหงฮวงซาน เนื่องจากผู้ที่อาศัยอยู่ในเขาหงฮวงซานก็คือฮ่องแต้องค์ใหม่

“อย่าลืมสิ วัดจิ้งเหลียนกวานก็มีสัญญาหมั้นหมายเช่นกัน และตามสัญญาหมั้นหมายแม่นางฉินถูกยกให้กับฮ่องเต้องค์ใหม่” มีผู้เอ่ยขึ้นด้วยเสียงแผ่วเบา

ผู้คนจำนวนมากต่างตะลึงทันทีเมื่อได้ยินคำพูดเช่นนี้ ผู้คนจำนวนไม่น้อยถึงกับเหม่อลอย โดยเฉพาะบรรดาผู้ที่หลงรักชอบพอในตัวฉินเจี้ยนเหยา พลันที่ได้ยินคำพูดคำนี้เสมือนหนึ่งถูกราดด้วยน้ำเย็น

ถ้าหากไม่มีใครเอ่ยถึงเรื่องนี้ ผู้คนจำนวนมากเกือบลืมเรื่องนี้ไปแล้ว

“ฮึ ฮ่องเต้องค์ก่อนสวรรคต ฮ่องเต้องค์ใหม่สูญเสียแผ่นดินไปแล้ว สัญญาหมั้นหมายไร้ผลมานานแล้ว” ศิษย์อัจฉริยะบุคคลที่หลงรักในตัวฉินเจี้ยนเหยาส่งเสียงฮึเย็นชาและกล่าวด้วยความไม่พอใจ

“มันก็ไม่แน่เสมอไป” มีผู้ที่แกล้งพูดเช่นนี้ขึ้นมาว่า “อย่าลืมไปสิ องค์หญิงหลินไห่เวลานี้มิใช่รั้งอยู่ข้างกายฮ่องเต้องค์ใหม่รึ องค์หญิงหลินไห่ก็เป็นสาวงามคนหนึ่ง ชื่อก้องในหลินไห่ ชายหนุ่มมากความสามารถจำนวนเท่าไรที่หลงไหลในตัวของนาง เวลานี้มิใช่รั้งอยู่ข้างกายคอยปรนนิบัติฮ่องเต้องค์ใหม่อยู่ สัญญาหมั้นหมายย่อมเป็นสัญญาหมั้นหมาย ขอเพียงยังไม่มีการฉีกสัญญาทิ้ง มันยังคงมีผลอยู่”

สีหน้าของผู้บำเพ็ญตนกลุ่มคนรุ่นใหม่จำนวนไม่น้อยที่หลงไหลชอบพอในตัวฉินเจี้ยนเหยาดูไม่จืดยิ่ง เมื่อถูกคนเขาแกล้งพูดขึ้นมาเช่นนี้

“ฮึ อาศัยสวะอย่างฮ่องเต้องค์ใหม่ก็คิดจะแต่งงานกับเทพธิดาฉิน เป็นการฝันเฟื่องของคนปัญญาอ่อน คางคกคิดอยากกินเนื้อห่านฟ้า” อัจฉริยะบุคคลที่รักใคร่ชื่นชมในฉินเจี้ยนเหยากล่าวเชิดใส่ขึ้นมา

ผู้บำเพ็ญตนกล่าวด้วยท่าทางเอ้อระเหยว่า “นั่นพูดยากล่ะนะ เกิดวัดจิ้งเหลียนกวานทำการสนับสนุนฮ่องเต้องค์ใหม่ขึ้นครองราชย์อีกครั้งล่ะ? อาศัยวิธีปฏิบัติในอดีตของวัดจิ้งเหลียนกวานที่ผ่านมา พวกเขาไหนเลยจะยอมพลาดโอกาสที่งดงามเช่นนี้ไปเล่า จะอย่างไรเสียฮ่องเต้องค์ใหม่คือผู้สืบทอดที่ถูกต้องตามกฎหมาย การขึ้นนั่งบัลลังก์อีกครั้งของเขาก็สมเหตุสมผล หากแม่นางฉินแต่งงานกับฮ่องเต้องค์ใหม่ อนาคตก็คือฮองเฮา สามารถปกครองใต้หล้า”

“เจ้า เจ้าพูดจาเพ้อเจ้อ” เมื่อได้ยินคำพูดของผู้บำเพ็ญตนผู้นี้แล้ว อัจฉริยะบุคคลกลุ่มคนรุ่นใหม่จำนวนไม่น้อยต่างทยอยกันกล่าวตำหนิ สีหน้านั้นดูจะปั้นยากสุดๆ

กล่าวสำหรับอัจฉริยะบุคคลกลุ่มคนรุ่นใหม่แล้ว พวกเขามองตนเองว่าสูงส่งมาก แม้ว่าพวกเขาก็รู้ดีว่าการที่จะคบหาผู้มีฐานะสูงกว่าอย่างฉินเจี้ยนเหยานั้นเป็นเรื่องที่ยากมาก แต่ว่า สิ่งนี้ไม่ว่าจะมากหรือน้อยอย่างน้อยก็ทำให้พวกเขาได้มีช่องว่างที่จะเพ้อฝันอยู่ในใจได้บ้าง

กล่าวสำหรับอัจฉริยะบุคคลกลุ่มคนรุ่นใหม่เช่นพวกเขา ฮ่องเต้องค์ใหม่ก็คือกากเดนมนุษย์คนหนึ่ง เป็นขยะ เป็นฮ่องเต้ขั่วที่มั่วโลกีย์ไร้คุณธรรม! เป็นสวะที่ไม่เป็นโล้เป็นพายคนหนึ่ง

ภายในใจของบรรดาอัจฉริยะบุคคลกลุ่มคนรุ่นใหม่เหล่านี้เหยียดหยามต่อฮ่องเต้องค์ใหม่อย่างสิ้นเชิง เมินใส่ฮ่องเต้องค์ใหม่

จะให้ภายในใจของบรรดาอัจฉริยะบุคคลกลุ่มคนรุ่นใหม่อย่างพวกเขารับได้อย่างไรเล่า ถ้าหากฉินเจี้ยนเหยาต้องแต่งงานกับสวะอย่างฮ่องเต้องค์ใหม่นี้จริงๆ

ถึงแม้ว่าดูผิวเผินแล้วบรรดาอัจฉริยะบุคคลกลุ่มคนรุ่นใหม่จะเมินเฉย แต่เมื่อมองเห็นฉินเจี้ยนเหยาขึ้นไปยังเขาหงฮวงซานก็อดที่จะตื่นเต้นไม่ได้ พวกเขาเกรงว่าเรื่องดังกล่าวเช่นนี้จะเกิดขึ้นจริงๆ

“ศิษย์วัดจิ้งเหลียนกวาน ฉินเจี้ยนเหยามาขอคารวะ” เมื่อฉินเจี้ยนเหยายืนกอดกระบี่อยู่ด้านหน้าตำหนักศิลา น้ำเสียงไพเราะน่าฟัง การได้ฟังนางพูดก็ถือเป็นการเสพสุขอย่างหนึ่ง

จังหวะที่ทุกคนกลั้นลมหายใจเอาไว้นั้น สุดท้ายแล้วได้ยินเสียงดังเอี๊ยดดดเสียงหนึ่ง ประตูศิลาค่อยๆ เปิดออกช้าๆ ฉินเจี้ยนเหยาโค้งคำนับแล้วก็ก้าวเดินเข้าไปในตำหนักศิลาช้าๆ

มองดูฉินเจี้ยนเหยาหายเข้าไปในตำหนักศิลาแล้ว สายตาแต่ละคู่ต่างให้ความสนใจกับสิ่งนี้ ทุกคนถึงกับกลั้นลมหายใจเอาไว้ เนื่องจากทุกคนต่างต้องการรู้ว่าผลที่ออกมาจะเป็นเช่นใด

ภายในตำหนักศิลา หลี่ชิเย่นั่งอยู่ตรงนั้นหลับตาพักผ่อนกายาเสมือนหนึ่งนอนหลับไปแล้วอย่างนั้น กระทั่งฉินเจี้ยนเหยาเดินเข้ามา และหลิ่วชูฉิงที่คอยปรนนิบัติข้างกายหลี่ชิเย่ได้เอ่ยขึ้นเบาๆ ว่า “ฝ่าบาท เทพธิดาฉินมาแล้ว”

ในเวลานี้ หลี่ชิเย่ได้ลืมตาทั้งสองขึ้นช้าๆ สายตาตกอยู่บนตัวของฉินเจี้ยนเหยา ช่างตามอารมณ์ ช่างกำเริบเสิบสานอะไรอย่างนั้น สายตาคู่นั้นเปี่ยมด้วยความคุกคาม สังเกตตัวของฉินเจี้ยนเหยาอย่างละเอียด

ฉินเจี้ยนเหยารู้สึกไม่สบายใจนัก เมื่อถูกสายตาคู่นั้นของหลี่ชิเย่สังเกตดูตัวของนางอย่างกำเริบเสิบสานเช่นนี้ สายตาคู่นั้นเปี่ยมด้วยความคุกคาม เหมือนเป็นมือคู่หนึ่งที่ไร้รูปล้วงเข้าไปในเสื้อของนางและลูบคลำไปทั่วอย่างนั้น

“ฉินเจี้ยนเหยา ศิษย์วัดจิ้งเหลียนกวานคารวะฝ่าบาท” หลังจากที่ฉินเจี้ยนเหยาพบกับหลี่ชิเย่แล้ว ย่อตัวนิดหนึ่งและกล่าวทักทายต่อหลี่ชิเย่ โดยไม่คิดที่จะคุกเข่า แต่อย่างน้อยที่สุดก็ได้แสดงความเคารพต่อฮ่องเต้องค์ใหม่อย่างหลี่ชิเย่แล้ว

“เจ้ามาปฏิบัติตามสัญญาหมั้นหมายรึ? ตกลงจะรั้งอยู่ที่นี่เพื่อปรนนิบัติข้าอย่างนั้นรึ? ” หลี่ชิเย่หัวเราะและยกเท้าพาดบนเก้าอี้โดยตรง ท่าทางตามใจตนเองอย่างยิ่ง

“การมาที่เขาจิ่วเหลียนซานของเจี้ยนเหยาในครั้งนี้ ได้นำเอาคำอำนวยพรของท่านปรมาจารย์ของสำนักมาถวายพระพรต่อฝ่าบาท และทักทายฝ่าบาท” ฉินเจี้ยนเหยาเอ่ยขึ้นช้าๆ ท่วงท่างดงามน่าประทับใจ ดูอยู่เหนือกิเลสยิ่งนัก

คำตอบของฉินเจี้ยนเหยาตอบได้ดีมาก เป็นการหลบหลีกคำถามของหลี่ชิเย่ไปโดยตรง

“พูดแบบนี้ แสดงว่าเจ้าไม่คิดที่จะทำตามสัญญาหมั้นหมายในครั้งนี้? ” หลี่ชิเย่ถึงกับหัวเราะขึ้นมา ท่าทางนั้นดูกำเริบเสิบสานอย่างยิ่ง

ผู้ชายคนอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นบุรุษผู้สูงส่ง หรือว่าเป็นอัจฉริยะบุคคลแห่งใดแห่งหนึ่ง เมื่ออยู่ต่อหน้าฉินเจี้ยนเหยาแล้วล้วนแล้วแต่แสดงออกถึงความเป็นผู้สูงศักดิ์สง่างามยิ่งนัก และสำแดงจุดที่ดีเด่นที่สุดของออกมา

แต่ทว่า หลี่ชิเย่กลับไม่ได้ใส่ใจแม้แต่น้อย ตามอารมณ์และกำเริบเสิบสาน

“เรื่องการแต่งงาน เหล่าปรมาจารย์เป็นผู้ตัดสินใจ เจี้ยนเหยาไม่กล้าตัดสินใจเอง เรื่องเช่นนี้ฝ่าบาทสามารถสอบถามจากบรรดาเหล่าปรมาจารย์ได้” ฉินเจี้ยนเหยาดูเป็นธรรมชาติและตามใจปรารถนา

คำพูดเช่นนี้ของนางเรียกได้ว่าไม่มีที่ติ นางไม่ได้ปฏิเสธเรื่องสัญญาหมั้นหมายครั้งนี้ และก็ไม่ได้ฉีกสัญญาทิ้ง นางไม่เหมือนเช่นธิดาศักดิ์สิทธิ์เฟยฮวาที่มาขอยกเลิกการหมั้นหมายด้วยอารมณ์ ท่วงท่าของนางล้วนแล้วแต่แสดงให้เห็นถึงความงดงามสูงศักดิ์ รู้จักกาลเทศะ กล่าวได้ว่าสมบูรณ์แบบทีเดียว เมื่อเปรียบกับธิดาศักดิ์สิทธิ์เฟยฮวาแล้ว ตัดสินแพ้ชนะได้ทันที

“เดิมข้าได้เว้นตำแหน่งที่ตรงนี้ให้กับเจ้า” หลี่ชิเย่หัวเราะ ส่ายหน้าและกล่าวว่า “ดูท่าเป็นเจ้าเองที่ไม่รู้จักทะนุถนอม คราวหน้าหากตัดสินใจที่จะแต่งเข้ามาล่ะก็ เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ข้าเว้นตำแหน่งให้กับเจ้า เจ้ามาอยู่ข้างกายหลิ่วชูฉิงเป็นบ่าวที่คอยรับใช้ก็แล้วกัน ถือเป็นความกรุณาพิเศษของข้าแล้ว”

“เช่นนี้ เจี้ยนเหยาต้องขอบพระทัยฝ่าบาทที่กรุณา” ฉินเจี้ยนเหยานับเป็นมังกรหรือหงส์ในหมู่มนุษย์ เป็นเทพธิดาในทัศนะคติของผู้คนจำนวนเท่าไร เวลานี้หลี่ชิเย่ถึงกับพูดออกมาตรงๆ ว่าจะพระราชทานนางให้เป็นสาวใช้ของหลิ่วชูฉิง สิ่งนี้ย่อมสร้างความไม่สบายใจให้กับนาง และในใจไม่มีความสุขยิ่งนัก แต่ก็ไม่ถึงขั้นโกรธ ยิ่งไม่มีอาการโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยง

“เป็นความจริงที่เจ้าควรซาบซึ่งใจในความกรุณาของข้า” หลี่ชิเย่ยิ้มกล่าวด้วยท่าทีเรียบเฉยว่า “ถ้าหากข้าทำลายวัดจิ้งเหลียนกวานพวกเจ้าเสีย เกรงว่าเจ้าคิดจะเป็นบ่าวก็ไม่มีคุณสมบัติพอ ถึงตอนนั้นอย่างมากก็เป็นได้แค่นังหนูอุ่นเตียงเท่านั้น! ซึ่งก็ต้องขึ้นอยู่กับว่าข้าจะถูกใจเจ้า”

“ฝ่าบาทพูดเล่นแล้วล่ะ” ฉินเจี้ยนเหยาพลันรู้สึกไม่สบายใจทันที คำพูดของหลี่ชิเย่ช่างใจดำเหลือเกิน แม้ว่านางยังแสดงออกถึงความเกรงใจ แต่น้ำเสียงเย็นชาไปไม่น้อย

“เอาล่ะ ไสหัวไปเสีย” หลี่ชิเย่ขี้คร้านจะไปสนใจนาง โบกมือและกล่าวว่า “ความเสแสร้งไม่จริงใจของวัดจิ้งเหลียนกวานพวกเจ้า ข้าน้อมรับใส่ใจ ถ้าหากข้าส่งทหารไปทำลายวัดจิ้งเหลียนกวานพวกเจ้า สามารถพิจารณาละเว้นโทษตายให้กับตาแก่ของวัดจิ้งเหลียนกวานพวกเจ้า อย่างน้อยที่สุดพวกเขายังรู้ว่าควรปฏิบัติตัวอย่างไร”

ในใจของฉินเจี้ยนเหยายิ่งไม่สบายใจมากขึ้น เมื่อหลี่ชิเย่พูดออกมาเช่นนี้ เพียงแต่นางไม่ได้โกรธเป็นฟืนเป็นไฟเท่านั้น นางเพียงโค้งคำนับ และกล่าวว่า “เจี้ยนเหยาทูลลา”

“พวกเจ้ายังคัดเลือกผู้ที่จะมาเป็นฮ่องแต้ไม่ได้กระมัง” จังหวะที่ฉินเจี้ยนเหยาล่าถอยออกไปนั้น หลี่ชิเย่ได้กล่าวเฉยเมยขึ้น

“เจี้ยนเหยาเป็นเพียงศิษย์ธรรมดาคนหนึ่ง เรื่องใหญ่ในหล้าไม่กล้าก้าวก่าย” ฉินเจี้ยนเหยาเอ่ยขึ้นช้าๆ

“ถ้าเช่นนั้นก็จงจำคำข้าไว้ให้ดี ในระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่ยังคงเป็นข้าที่พูดแล้วคนอื่นต้องทำตาม วัดจิ้งเหลียนกวานอะไรนั่นแค่มดปลวกฝูงหนึ่งเท่านั้น หากรู้จักกาลเทศะก็คุกเข่ายอมรับผิดต่อหน้าข้าเสีย” หลี่ชิเย่สั่งการไปว่า “มิฉะนั้นล่ะก็ ทำลายล้างสำนักจะรวมเอาวัดจิ้งเหลียนกวานพวกเจ้าอยู่ในนั้นด้วย”

ฉินเจี้ยนเหยาไม่พูดอะไร และล่องลอยจากไป แน่นอนภายในใจของนางไม่สบายใจแน่ เพียงแต่นางไม่ได้แสดงออกมาเท่านั้นเอง

………………………………………………………….

Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *