Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล 1754 แผนการของเถี่ยซู่อง

Now you are reading Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล Chapter 1754 แผนการของเถี่ยซู่อง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 1754 แผนการของเถี่ยซู่อง
ความขมุกขมัวตลบอบอวล ชะตาแท้แวบปรากฏออกมา หลี่ชิเย่ทิ้งตัวนั่งลงบนเก้าอี้ตัวใหญ่อย่างรวดเร็ว ดูดกลืนกลิ่นอายขมุกขมัว รับเอาพลังของโลกดึกดำบรรพ์ที่ฟ้าดินยังไม่ได้แยกออกเป็นสองส่วน จากการที่หมุนเคลื่อนของเคล็ดวิชา กลิ่นอายขมุกขมัวเสมือนดั่งสายน้ำไหลที่ค่อยๆ ไหลมารวมตัวกัน

ระดับแรกของแดนที่สิบมีชื่อเรียกว่าระดับธุลีสัจธรรม ความหมายของระดับนี้ก็คือผู้บำเพ็ญตนที่อยู่ในระดับนี้เปรียบประดุจผงธุลีบนโลกหล้าที่มีขนาดเล็กมากไม่มีค่าคู่ควรจะกล่าวถึงอย่างนั้น

ระดับธุลีสัจธรรมถือเป็นระดับที่ต่ำที่สุดในโลกของผู้บำเพ็ญตน ในระดับธุลีสัจธรรมเพียงต้องการกลิ่นอายขมุกขมัวเพียงหนึ่งพันลิตรก็สามารถทะลุผ่านคอขวดของระดับนี้ขึ้นสู่ระดับที่สองระดับตะนอยสัจธรรม

ท่ามกลางสิบสามทวีปนั้น ระดับธุลีสัจธรรมเป็นระดับที่สามารถฝึกได้ง่ายมาก ผู้ที่มีสติปัญญาแย่หน่อยฝึกราวหนึ่งถึงสองปีก็สามารถก้าวข้ามระดับธุลีสัจธรรมไปได้ หากเป็นศิษย์ที่มีชาติกำเนิดมาจากสำนักเจ้าลัทธิ และฝึกเคล็ดวิชาที่ไม่เลวนัก กระทั่งหนึ่งถึงสองเดือนก็สามารถทะลุระดับธุลีสัจธรรมไปได้

สำหรับบรรดาดาวรุ่งนั้น การฝึกในระดับธุลีสัจธรรมเป็นเรื่องที่ใช้เวลาฝึกเพียงสามถึงห้าวันเท่านั้นเอง

ต่อให้เป็นมนุษย์ปุถุชนธรรมดาในโลกโลกีย์ ซึ่งไม่มีโอกาสได้ฝึกเคล็ดวิชาของแคว้นเจ้าลัทธิ พวกเขาเพียงไปหาซื้อหนึ่งในสามเคล็ดวิชาที่เป็นตำราวางขายอยู่ทั่วไปในตลาด แล้วมุ่งมั่นฝึกเข้าไปแปดหรือสิบปี ต่อให้ไม่มีใครมาคอยชี้แนะก็ตาม ก็สามารถก้าวไปถึงระดับธุลีสัจธรรมได้เช่นกัน

ด้วยสาเหตุนี้เอง ผู้บำเพ็ญตนระดับธุลีสัจธรรมในสิบสามทวีปจึงมีจำนวนมากดั่งดอกเห็ดนับกันไม่หวั่นไม่ไหว กระทั่งมนุษย์ปุถุชนธรรมดาที่อยู่ในระดับนี้ก็มีเป็นจำนวนนับไม่ถ้วนเช่นกัน!

โต่ว (หน่วยนับในจีนยุคโบราณ โดยหนึ่งโต่วจะเทียบเท่าสิบลิตรในปัจจุบัน) คือหน่วยนับที่เป็นตัวชี้วัดว่ามีกลิ่นอายขมุกขมัวอยู่ปริมาณเท่าไร หนึ่งพันลิตรสำหรับผู้บำเพ็ญตนแล้วนับว่าเป็นจำนวนที่น้อยมาก

หลี่ชิเย่ขับเคลื่อน “เคล็ดวิชาคืนสู่ปุถุชน” ดูดกลืนกลิ่นอายขมุกขมัว ภายในระยะเวลาอันสั้นเพียงไม่กี่วัน เขาก็ได้ดูดกลืนความขมุกขมัวเข้าไปได้ห้าร้อยกว่าลิตร หากใช้เวลาอีกราวแปดถึงสิบวันเขาก็จะสามารถดูดกลืนกลิ่นอายขมุกขมัวได้ถึงหนึ่งพันลิตรได้ทุกเมื่อ พร้อมที่จะทะลุผ่านระดับธุลีสัจธรรมได้ทุกเวลา

“เคล็ดวิชาคืนสู่ปุถุชน” ในฐานะหนึ่งในสามเคล็ดวิชาที่มีการฝึกกันแพร่หลายมากที่สุดในสิบสามทวีป แต่ว่า “เคล็ดวิชาคืนสู่ปุถุชน” ที่อยู่ในสถานะเหมาะแก่การฝึกสำหรับเผ่าพันธุ์มนุษย์มากที่สุดกลับมีความก้าวหน้าในการฝึกที่เชื่องช้ามาก กระทั่งอาจกล่าวได้ว่า เคล็ดวิชาทั้งสามเป็นเคล็ดวิชาที่เชื่องช้าที่สุดในสิบสามทวีป

แต่ทว่า “เคล็ดวิชาคืนสู่ปุถุชน” ที่มีความเชื่องช้าในการฝึกนี้กล่าวสำหรับหลี่ชิเย่แล้ว ไม่ได้ส่งผลกระทบแต่อย่างใด เนื่องจาก “เคล็ดวิชาคืนสู่ปุถุชน” คิดค้นสร้างขึ้นโดยมือของเขาเอง ในโลกนี้ยังจะมีใครที่เชี่ยวชาญและรู้ถึงความหมายที่ลึกซึ้งของ “เคล็ดวิชาคืนสู่ปุถุชน” มากกว่าเขาอีกรึ?

ที่สำคัญที่สุดก็คือ หลี่ชิเย่มีสิบสามลัคนาอยู่ในครอบครอง แม้ว่าสิบสามลัคนาในขณะนี้จะสลดและอับแสง แต่ว่าสิบสามลัคนายังคงอยู่ ซึ่งส่งผลให้หลี่ชิเย่สามารถหลุดพ้นจากข้อจำกัดทุกอย่าง ทำให้เขาไม่ถูกสิ่งใดสยบเอาไว้

ความจริงแล้วขอเพียงหลี่ชิเย่ต้องการ เขากระทั่งสามารถเพิ่มความเร็วในการฝึกเป็นทวีคูณ กระทั่งสามารถสำแดง “เคล็ดวิชาคืนสู่ปุถุชน” จนอยู่ในลักษณะสูงสุดยอด ซึ่งท่ามกลางลักษณะเช่นนี้เพียงพอที่จะทำให้หลี่ชิเย่สามารถดูดกลืนกลิ่นอายขมุกขมัวได้ถึงหนึ่งพันลิตรภายในวันเดียว ทำให้เขาก้าวทะลุผ่านระดับธุลีสัจธรรมได้ภายในวันเดียว!

เพียงแต่หลี่ชิเย่ไม่เร่งรีบที่จะปรับขึ้นระดับในเวลานี้ ดังนั้น เขาจึงปล่อยให้ “เคล็ดวิชาคืนสู่ปุถุชน” ค่อยๆ ดูดกลืนกลิ่นอายขมุกขมัวอย่างไม่ช้าและไม่เร็ว กระทั่งเรียกว่าตลอดขั้นตอนในการดูดกลืนนั้นกระทำกันชนิดที่เรียกได้ว่าพินิจพิเคราะห์อย่างละเอียด ทำการแยกเอาเฉพาะส่วนที่เป็นกลิ่นอายขมุกขมัวออกมาเท่านั้น สุดท้ายเลือกเอาส่วนที่เป็นกลิ่นอายขมุกขมัวที่บริสุทธิ์ที่สุดเอาไว้ เรียกได้ว่าตลอดขั้นตอนการฝึกหลี่ชิเย่ต้องการดีแล้วดีขึ้นไปอีก ด้วยเงื่อนไขที่โหดมาก

สองวันที่หลี่ชิเย่พักอยู่ที่สำนักต้นไม้เหล็กนี้ไม่มีใครมารบกวนเขา ขณะที่เสิ่นเสี่ยวซันก็ปรนนิบัติเขาอย่างดี สองวันมานี้เรียกได้ว่าหลี่ชิเย่แค่อ้าปากเมื่ออาหารมา และกางแขนออกไปเมื่อเสื้อผ้าถูกนำมา

หนึ่งเดียวที่รู้สึกไม่สบายใจก็คือเฮ่อเฉิน เวลานี้อาจารย์ให้ศิษย์พี่สาวไปเป็นคนรับใช้คอยปรนนิบัติหลี่ชิเย่ที่เป็นเพียงมนุษย์ปุถุชนธรรมดาเช่นนี้ ไม่ว่าอย่างไรภายในใจของเฮ่อเฉินก็รับไม่ได้ ดังนั้น ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตามเขาก็มองดูหลี่ชิเย่อย่างไม่สบอารมณ์

เพียงแต่ด้วยคำสั่งของเถี่ยซู่อง เฮ่อเฉินก็ไม่กล้าไปหาเรื่องหลี่ชิเย่

ครั้นล่วงเลยเข้าวันที่สาม เถี่ยซู่องที่ออกไปข้างนอกได้กลับเข้ามาสำนัก พลันที่เขากลับเข้ามาก็เข้าหาหลี่ชิเย่เพื่อหารือ ขณะที่เสิ่นเสี่ยวซันเห็นว่าอาจารย์ของนางมีเรื่องจะปรึกษาหารือกับหลี่ชิเย่ นางไม่พูดสักคำล่าถอยออกไปอย่างเงียบๆ

ท่าทีของเสิ่นเสี่ยวซันที่คล้อยตามทำให้เถี่ยซู่องรู้สึกเหนือความคาดคิดยิ่ง มีรึที่เขาในฐานะอาจารย์จะไม่รู้ว่าศิษย์ของเขามีอุปนิสัยเช่นใด? เวลานี้ เสิ่นเสี่ยวซันเหมือนเปลี่ยนไปเป็นคนละคน กลายเป็นคนที่ดูแลเอาใจใส่และคล้อยตาม

“ไม่เสียทีที่ท่านเป็นผู้ที่แตกต่างจากบุคคลทั่วไป ศิษย์คนนี้ของข้าเป็นผู้ที่หยิ่งยโส ขาดการขัดเกลา ไม่นึกเลยว่าเพียงแค่สองวันเท่านั้น นางก็ปฏิบัติตนต่อท่านด้วยท่าทีที่เคารพและคล้อยตาม เสน่ห์ของท่านไม่มีใครขวางได้” แม้แต่เถี่ยซู่องยังคงต้องกล่าวชื่นชมออกมาด้วยความเลื่อมใสยิ่ง

หลี่ชิเย่เพียงยิ้มตามอารมณ์นิดหนึ่งและไม่ได้ใส่ใจสำหรับคำพูดเช่นนี้ของเถี่ยซู่อง เขาสามารถบ่มฟักกระทั่งราชันเซียน นับประสาอะไรกับผู้หญิงเช่นเสิ่นเสี่ยวซัน

เถี่ยซู่องถูมือไปมากล่าวต่อหลี่ชิเย่ว่า “ท่าน ข้าได้ปรึกษาหารือกับสหายเบื้องบนนั้นแล้ว อีกทั้งตระกูลราชันฉีหลินจะจัดให้มีการทดสอบขึ้นอีกครั้งหนึ่งในเร็ววันนี้ ไม่ทราบว่าท่านสามารถเดินทางได้เมื่อใด”

“สามารถเดินทางได้ทุกเมื่อ” หลี่ชิเย่กล่าวออกไปตามอารมณ์ เขาเองเตรียมตัวพร้อมที่จะไปดูที่ตระกูลราชันฉีหลินสักครั้ง แน่นอนสิ่งที่ดึงดูดความสนใจหลี่ชิเย่หาใช่ความเป็นสำนักเซียนหวางของตระกูลราชันฉีหลิน แต่เป็นสิ่งที่อยู่ในมือของตระกูลราชันฉีหลินชิ้นนั้น ซึ่งดึงดูดความสนใจของหลี่ชิเย่เป็นอย่างยิ่ง

“งั้นดี ข้าจะไปจัดการให้ท่านเดี๋ยวนี้” เถี่ยซู่องถึงกับคึกคักขึ้นมาเมื่อได้ยินคำพูดที่มั่นใจของหลี่ชิเย่ จึงรีบเร่งกล่าวตอบ

เถี่ยซู่องต้องการอาศัยกำลังความสามารถของหลี่ชิเย่สร้างสถานการณ์ขึ้น ถ้าหากความรู้ความสามารถของหลี่ชิเย่ผ่านล่ะก็ จะส่งผลให้เขา และสำนักต้นไม้เหล็กของพวกเขาได้รับประโยชน์อย่างยิ่ง

“ใครเป็นผู้กุมอำนาจในชิงโจวเวลานี้? ยังเป็นตระกูลขุนนางโบราณจ้านหวางรึ?” ก่อนที่เถี่ยซู่องจะหันหลังจากไป หลี่ชิเย่ได้เอ่ยถามขึ้นมาตามอารมณ์

“เรื่องนี้” เถี่ยซู่องเกาหัว และกล่าวว่า “ไม่ขอปิดบังท่าน ข้าเป็นเพียงบุคคลตัวน้อยๆ เท่านั้น ยากจะรับรู้ถึงข่าวคราวของเบื้องบน เพียงแต่เวลานี้ไม่มีการพูดถึงเรื่องการรวมตัวเป็นพันธมิตรเพื่อต่อต้าน ในเวลานี้เผ่าต่างๆ ในชิงโจวต่างอยู่ร่วมกันด้วยดี…”

“…ช่วงยุคสมัยที่ผ่านมา เผ่าเทพ เผ่ามาร และเผ่าสวรรค์ทั้งสามเผ่าขัดแย้งกับร้อยชาติพันธุ์น้อยครั้งมาก อย่างน้อยที่สุดการปะทะกันขนาดใหญ่ไม่มี อย่างมากก็ทะเลาะตีกันเล็กน้อยเท่านั้น เวลานี้ เผ่าเทพ เผ่ามาร และเผ่าสวรรค์ทั้งสามเผ่าอยู่ร่วมกับร้อยชาติพันธุ์อย่างสันติ”

“มันก็ใช่ ทุกครั้งที่มีการเดินทางไกลเพื่อปราบปรามเป็นครั้งสุดท้ายแล้วก็จะนำมาซึ่งสันติสุข บรรดาราชันและเหล่าเทพก็จะทำตัวไม่ให้เป็นที่สนใจ” หลี่ชิเย่กล่าวขึ้นมาช้าๆ

ทุกครั้งที่มีการเดินทางไกลเพื่อปราบปรามเป็นครั้งสุดท้ายแล้วก็จะนำมาซึ่งวันเวลาที่เงียบสงบระยะหนึ่ง เนื่องจากให้บรรดาราชันและเหล่าเทพรู้ว่าสิ่งที่ตนเผชิญอยู่คืออะไร ซึ่งทำให้บรรดาราชันและเหล่าเทพต้องทำตัวไม่ให้เป็นที่สนใจ เพื่อป้องกันการเกิดสวรรค์ลงทัณฑ์ลงมา

“มันก็ใช่ หลังจากการเดินทางไกลเพื่อปราบปรามเป็นครั้งสุดท้ายครั้งที่หกแล้ว ไม่ได้ยินเรื่องราวว่ามีเผ่าเทพ เผ่ามาร และเผ่าสวรรค์เปิดศึกกับร้อยชาติพันธุ์ ทุกคนต่างอยู่ร่วมกันได้ด้วยดี อย่างมากก็เป็นเพียงการขัดแย้งเล็กน้อยเท่านั้นเอง…”

“…แต่ว่า ที่ท่านพูดมาก็ถูก หากจะกล่าวถึงผู้ที่มีอิทธิพลต่อชิงโจวของพวกเรายังคงเป็นตระกูลขุนนางโบราณจ้านหวาง เล่าลือกันว่า ตระกูลขุนนางโบราณจ้านหวางยังคงมีจอมราชันห้าองค์ที่มีชีวิตอยู่ ทั่วทั้งเมืองชิงโจวจึงไม่มีสำนักใด หรือสิ่งจัดตั้งเพื่อการสืบทอดใดๆ สามารถสั่นคลอนต่อฐานะของตระกูลขุนนางโบราณจ้านหวางในชิงโจวได้”

เนื่องจากสำนักต้นไม้เหล็กเป็นเพียงสำนักขนาดเล็กและเป็นบุคคลตัวน้อยๆ เท่านั้นเอง จึงไม่สามารถให้การยืนยันถึงข้อเท็จจริงกับเรื่องราวต่างๆ ในหลายๆ เรื่อง ได้แต่ฟังเขาเล่าขานกันมาเท่านั้นเอง

“ตระกูลขุนนางโบราณจ้านหวางกล้ายกย่องตัวเองว่ามีห้าจอมราชันที่มีชีวิตอยู่ เรื่องนี้ทำได้แค่ให้บรรดาสำนักขนาดเล็กที่ไม่รู้เบื้องหลังเช่นพวกเจ้าให้เกรงกลัวเท่านั้นเอง” หลี่ชิเย่ถึงกับหัวเราะ ส่ายหน้า และกล่าวว่า “เจ้าราชันสวรรค์จ้านหวางที่รักศักดิ์ศรียิ่ง ผู้สืบทอดที่สืบทอดต่อๆ กันมาก็รักศักดิ์ศรียิ่งชีพเช่นกัน เฉกเช่นครั้งครานั้น เพราะเรื่องของน้องเมียแล้ว ทำเอาโกรธเป็นฟืนเป็นไฟทีเดียวเชียว…”

“โอ๊ย บรรพบุรุษน้อยของข้าหน่ะ” คำพูดของหลี่ชิเย่ทำเอาใบหน้าของเถี่ยซู่องถึงกับซีดเผือด รีบเอานิ้วแตะที่ริมฝีปากและส่งเสียงซวี่ออกมาว่า “บรรพบุรุษน้อย ท่านพูดให้น้อยกว่านี้จะได้ไหม เกิดคำพูดเช่นนี้แพร่งพรายออกไปล่ะก็ สำนักต้นไม้เหล็กพวกเราก็จบแห่กันแล้วหละ”

จะไปโทษเถี่ยซู่องที่ตกใจกับเรื่องนี้ก็ไม่ถูก จะอย่างไรเสียสำนักขนาดเล็กอย่างพวกเขาไม่มีสิทธิ์ที่จะไปวิพากวิจารณ์เรื่องของสายสำนักราชันเซียนอยู่แล้ว ยิ่งไม่มีสิทธิ์ไปวิพากวิจารณ์เรื่องของจอมราชันหรือเซียนหวาง ยิ่งไปกว่านั้น ลือกันว่าจอมราชันจ้านหวางในตำนานยังคงมีชีวิตอยู่ เรื่องเช่นนี้จึงยิ่งไม่มีใครกล้าไปวิพากวิจารณ์ ต่อให้วิพากวิจารณ์ก็เป็นการวิจารณ์กันอย่างลับมากที่สุด

หลี่ชิเย่เพียงยิ้มเฉยเมยกับท่าทีตื่นตระหนกของสำนักต้นไม้เหล็ก และส่ายหน้าเบาๆ เท่านั้นเอง

“เรื่องนี้” เถี่ยซู่องทำท่าลังเลนิดหนึ่ง เมื่อเห็นว่าปลอดคน มีเพียงพวกเขาเพียงสองคนเท่านั้น เขาถึงกับหัวเราะแห้งๆ และอดทนต่อเพลิงแห่งการสอดรู้สอดเห็นที่โหมลุกไหม้ไม่ได้ ถูมือไปมา และยิ้มแห้งๆ ว่า “แหะ แหะ แหะ ท่าน เรื่องระหว่างราชันสวรรค์จ้านหวางกับน้องเมียของเขา มัน มันเป็นเรื่องอย่างไรกันรึ?”

เรื่องนี้จะไปโทษเถี่ยซู่องที่ถูกเพลิงแห่งการสอดรู้สอดเห็นที่โหมลุกไหม้ก็ไม่ถูก จอมราชัน เซียนหวาง ตลอดจนราชันเซียนของเก้าแดนคือหัวข้อสนทนาของทุกคนโดยตลอดอยู่แล้ว และเป็นประเด็นที่ทุกคนให้ความสนใจ กระทั่งเรียกได้ว่าทุกๆ ความเคลื่อนไหวของจอมราชัน เซียนหวาง ตลอดจนราชันเซียนของเก้าแดนล้วนแล้วแต่ สัมพันธ์กับความรุ่งเรืองหรือตกต่ำของเผ่าเทพ เผ่ามาร เผ่าสวรรค์ และร้อยชาติพันธุ์ ดังนั้น ใครบ้างหละที่จะไม่สนใจ

สำหรับหัวข้อสนทนาเรื่องน้องเมียยิ่งไม่มีเสื่อมคลายตลอดกาลอยู่แล้ว เมื่อเอ่ยถึงหัวข้อสนทนาเรื่องน้องเมียแล้ว ไม่รู้ว่าได้ทำให้บุรุษจำนวนเท่าไรที่ต้องมีความคิดบางอย่างผุดขึ้นมาในสมองอย่างไม่ขาดสาย ดังนั้น หากจอมราชันจ้านหวางมีอะไรกับน้องเมียล่ะก็ ย่อมต้องทำให้เพลิงแห่งการสอดรู้สอดเห็นโหมลุกไหม้ขึ้นในหมู่ผู้บำเพ็ญตนนับล้านล้านของสิบสามทวีปได้อย่างแน่นอน

“ไม่ได้เป็นอย่างความคิดที่สอดรู้สอดเห็นของเจ้าขนาดนั้น” หลี่ชิเย่ส่ายหน้า ยิ้มและกล่าวว่า “เพียงแต่ครั้งนั้นราชันเซียนหวานซื่อได้ล่อลวงน้องเมียของราชันสวรรค์จ้านหวางเท่านั้นเอง ราชันสวรรค์จ้านหวางโกรธจนเป็นฟืนเป็นไฟ และลั่นวาจาว่าจะตามสังหารราชันเซียนหวานซื่อกระทั่งไม่มีที่ยืนในสิบสามทวีป”

“ราชันเซียนหวานซื่อล่อลวงน้องเมียของราชันสวรรค์จ้านหวาง” เถี่ยซู่องถึงกับร้องเสียงดังออกมาเมื่อได้ยินข่าวเช่นนี้ เมื่อรับรู้ได้ว่าตัวเองเสียมารยาท จึงรีบกดโทนเสียงให้ต่ำลง

กล่าวสำหรับเถี่ยซู่องแล้ว ข่าวลือที่ไม่เป็นทางการและน้อยคนที่รับรู้ ย่อมร้อนแรงและน่าตื่นเต้นยิ่งกว่าเรื่องที่ราชันสวรรค์จ้านหวางมีข่าวเรื่องชู้สาวกับน้องเมียเสียอีก

“ต้องทำตื่นเต้นขนาดนี้เลยรึ?” หลี่ชิเย่ยิ้มพลางส่ายหน้า และยิ้มกล่าวเฉยเมยว่า “เรื่องราวที่เป็นความจริงของราชันเซียนหวานซื่อมีการร่ำลือกันในสิบสามทวีปมานานแล้ว เพียงแต่เวลาผ่านมานานมากเกินไป ผู้คนจำนวนมากได้ลืมเลือนกันไปแล้ว และน้อยคนที่ไปเอ่ยถึงเท่านั้นเอง”

“เหอะ เหอะ เหอะ เป็นข้าที่หูตาแคบเสียแล้ว” เถี่ยซู่องยังคงมีเพลิงแห่งการสอดรู้สอดเห็นที่โหมลุกไหม้อยู่ พูดเสียงแผ่วเบาว่า “ราชันเซียนหวานซื่อทำเรื่องเช่นนี้ขึ้นมาจริงรึ?”

แม้ว่าเถี่ยซู่องจะมีความรู้ประสบการณ์แค่หางอึ่ง เรื่องราวจำนวนมากเพียงได้ยินเขาเล่าต่อๆ กันมา แม้ว่าจะเป็นดังนี้ก็ตาม เขาก็เคยได้ยินข่าวลือเกี่ยวกับราชันเซียนหวานซื่อมาบ้าง

ราชันเซียนหวานซื่อคือราชันเซียนองค์แรกของเผ่ามนุษย์ศิลา และนับเป็นราชันเซียนที่มาแดนสิบในลำดับต้นๆ เล่าลือกันว่า หลังจากที่ราชันเซียนหวานซื่อมาถึงแดนสิบแล้วได้ชอบเกาะแกะผู้หญิงไปทั่ว มีทายาทในแดนสิบจำนวนไม่น้อยทีเดียว

Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *