Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล 2509 ตกใจกลัว

Now you are reading Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล Chapter 2509 ตกใจกลัว at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 2509 ตกใจกลัว
ทุกคนล้วนแล้วแต่ถูกทำให้หวั่นไหวกับสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้า อดที่จะอ้าปากกว้างค้างอยู่อย่างนั้นไม่อาจเรียกสติกลับมาได้เป็นเวลานาน

“ศักยภาพเพียงเท่านี้ยังหาญกล้าพูดจาโอ้อวดไม่รู้จักละอาย” หลี่ชิเย่ยังคงยืนอยู่ที่ตรงนั้น กล่าวด้วยท่าทีเอ้อระเหยเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เขายืนเอามือไพล่หลังอยู่ตรงนั้น คล้ายดั่งไม่เคยขยับตัวอะไรเลยตั้งแต่ต้นจนจบ ทุกคนล้วนแล้วแต่เหมือนว่าบังเกิดมโนภาพขึ้นมา เหมือนว่าที่ลงมือเมื่อครู่นั้นไม่ใช่ตัวเขา

ไม่ง่ายนัก กว่าทุกคนจะได้สติคืนกลับมา และมองดูหลี่ชิเย่ที่ยืนอยู่ตรงนั้นด้วยท่าทีเอ้อระเหยเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น อดที่จะเสียวสันหลังวาบ และหวาดหวั่นพรั่นพรึงจนขนลุกซู่ ในเวลานี้ไม่รู้ว่ามีผู้คนจำนวนเท่าไร่ที่ต้องร่างสั่นเทิ้มขึ้นมา และขาทั้งสองข้างที่สั่นเทาอย่างช่วยไม่ได้

ทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์อดที่จะมองหน้าซึ่งกันและและกันในเวลานี้ ความแข็งแกร่งของฮ่องเต้องค์ใหม่ได้อยู่เหนือจินตนาการของพวกเขาไปมากแล้ว พวกเขาไม่สามารถคำนวณได้ว่าฮ่องเต้องค์ใหม่มีความแข็งแกร่งเพียงใดกันแน่

“ฮ่องเต้องค์ใหม่อยู่ในระดับใดแล้วกันแน่นะ? ระดับเทพแท้จริงขั้นอมตะที่ปราศจากผู้ต่อกรรึ?” มีผู้ที่คาดเดาและพูดเสียงแผ่วเบาขึ้นมา

ผู้คนจำนวนมากต่างมองหน้าซึ่งกันและกันเมื่อได้ยินคำพูดลักษณะเช่นนี้ ทุกคนก็ไม่สามารถรู้ได้ว่าฮ่องเต้องค์ใหม่อยู่ในระดับใดกันแน่ และไม่สามารถแอบส่องถึงรายละเอียดเกี่ยวกับกำลังความสามารถของฮ่องเต้องค์ใหม่ได้อีกแล้ว

“เกรงว่ากลุ่มคนรุ่นใหม่คงยากที่จะมีผู้ใดสามารถทัดเทียมกับฮ่องเต้องค์ใหม่แล้วกระมัง” ในเวลานี้ แม้แต่อัจฉริยะบุคคลกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่ปรกติแล้วมองว่าตนเองนั้นสูงเด่น ยังอดที่จะก้มศีรษะที่หยิ่งยโสลง ไม่กล้ามองดูฮ่องเต้องค์ใหม่ใกล้ๆ

“ดูไปแล้วฮ่องเต้องค์ก่อนมีความฉลาดเฉียบแหลมและมีสายตายาวไกล การที่เขายกบัลลังก์ให้กับฮ่องเต้องค์ใหม่นั้นเป็นการกระทำที่ชาญฉลาด เขาคาดการณ์แล้วว่าฮ่องเต้องค์ใหม่ต้องสามารถปฏิบัติหน้าที่ได้แน่นอน” ในเวลานี้เอง มีระดับบรรพบุรุษสำนักเจ้าลัทธิที่ได้สติกลับมา อดที่จะสั่นเทิ้ม และพึมพำขึ้นมาไม่ได้

ก่อนหน้านี้มีผู้คนจำนวนเท่าไรที่เข้าใจว่าฮ่องเต้ไท่ชิงนั้นแก่แล้วเลอะเลือน บางทีก็มีผู้คนจำนวนไม่น้อยที่คิดว่าฮ่องเต้ไท่ชิงนั้นหลงรักบุตรนอกสมรสอย่างฮ่องเต้องค์ใหม่มากเกินไป ถึงกับยกเอาแผ่นดินยิ่งใหญ่ให้กับคนที่มั่วโลกีย์และไร้คุณธรรมเช่นนี้ อย่างไรก็ตาม เมื่อย้อนกลับมาดู ฮ่องเต้ไท่ชิงนั่นแหละที่เป็นผู้ที่ตื่นรู้ตลอด เป็นเขาที่หาผู้ที่จะมาสืบทอดตำแหน่งให้กับระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่ได้ถูกตัวอย่างแท้จริง

ในเวลานี้เอง ทุกคนจึงได้ตระหนักว่า เป็นความจริงที่ตนเองดับฮ่องเต้ไท่ชิงนั้นมีความห่างชั้นที่มากทีเดียว การที่ฮ่องเต้ไท่ชิงสามารถเป็นฮ่องเต้ได้สามยุคสมัยได้ ไหนเลยจะเป็นเรื่องธรรมดาได้

“เทียบกับฮ่องเต้ไท่ชิงแล้วเป็นอย่างไร?” ในขณะนี้ภายในใจของผู้คนจำนวนไม่น้อยได้ผุดความคิดที่ประหลาดอย่างยิ่งขึ้นมา ด้วยการนำเอาฮ่องเต้องค์ใหม่ที่อยู่ตรงหน้าเปรียบกับฮ่องเต้องค์ก่อน ระหว่างพวกเขาทั้งสองคนใครแข็งแกร่งหรืออ่อนด้อยกว่ากันแน่?

ในเวลานี้ ผู้คนจำนวนไม่น้อยต่างมองหน้ากันและกันเมื่อได้ฟังคำพูดเช่นนี้ ขณะฮ่องเต้ไท่ชิงยังอยู่ บารมีฮ่องเต้ของเขาสร้างความหวาดกลัวไปทั่วทั้งระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่ ในระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่มีไม่กี่คนที่หาญกล้าไม่เคารพต่อฮ่องเต้ไท่ชิงแม้แต่น้อย ดังนั้น ผู้คนจำนวนมากต่างใช้ชีวิตอยู่ภายใต้บารมีของฮ่องเต้ไท่ชิง

เวลานี้ฮ่องเต้ไท่ชิงได้สวรรคตไปแล้ว ผู้คนจำนวนไม่น้อยเริ่มกล้าที่จะเผชิญหน้าเอ่ยถึงผลงานและกำลังความสามารถของฮ่องเต้ไท่ชิง ในเวลานี้ผู้คนจำนวนไม่น้อยหยิบยกเอาฮ่องเต้ไท่ชิงกับฮ่องเต้องค์ใหม่ที่อยู่ตรงหน้ามาเปรียบเทียบกัน

“บางที อาจจะกลายเป็นฮ่องเต้ไท่ชิงที่สอง” มีผู้ที่พึมพำเสียงแผ่วเบาขึ้นมา

ภายในใจผู้คนจำนวนไม่น้อยรู้สึกสะดุ้งเมื่อได้ยินคำพูดเช่นนี้ และแอบรู้สึกใจหายใจคว่ำ มีไม่กี่คนที่กล้าส่งเสียงขึ้นมา

ลองนึกภาพดู ขณะฮ่องเต้ไท่ชิงยังคงมีชีวิตอยู่ ได้เป็นฮ่องเต้มาสามยุคสมัย เป็นใหญ่แต่ผู้เดียวในหล้า แม้ว่าระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่ในช่วงนั้นจะกลายเป็นสำนักที่แข็งแกร่งมากที่สุดในแดนลัทธิราชัน มีเพียงบ้านตระกูลหลี่ กับตระกูลมู่เท่านั้นที่สามารถเทียบเคียงได้

แต่ทว่า กล่าวสำหรับสำนักต่างๆ ทั้งหมด และผู้บำเพ็ญตนของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่แล้ว มันไม่เห็นจะเป็นเรื่องดีตรงไหน

ฮ่องเต้ไท่ชิงเป็นใหญ่แต่ผู้เดียวใต้หล้า ใช้อำนาจบาตรใหญ่ตัดสินใจเพียงผู้เดียว ในเวลานั้น มีผู้คนจำนวนเท่าไร มีสำนักจำนวนเท่าไรที่มีชีวิตอยู่อย่างระมัดระวังตัวภายใต้อำนาจบารมีของฮ่องเต้ไท่ชิง มีชีวิตอยู่ภายใต้เงาทมิฬของฮ่องเต้ไท่ชิง ถ้าหากจะกล่าวว่าฮ่องเต้องค์ใหม่จะกลายเป็นฮ่องเต้ไท่ชิงคนที่สอง ย่อมเป็นความจริงที่ทำให้ผู้คนต้องหวาดหวั่นพรั่นพรึงจนขนลุกซู่

ช่าาา ช่าาา ช่าาา…จังหวะที่ทุกคนกำลังเหม่อลอยอยู่นั้น ปรากฏเสียงน้ำที่ดังขึ้นเป็นระลอก ในทะเลสาบได้บังเกิดคลื่นยักษ์ขึ้นมาอีกครั้ง

ในเวลานี้เอง ทังเฮ่อเสียงที่เดิมลอยล่องอยู่ท่ามกลางทะเลสาบได้ดิ้นรนจนลุกขึ้นมาได้ ร่างกายของทังเฮ่อเสียงที่ใหญ่โตมโหฬารยิ่งดั่งเป็นภูเขาขนาดยักษ์ลูกหนึ่ง ยามที่เขาดิ้นรนเพื่อลุกขึ้นยืนนั้น ฟองคลื่นที่สาดซัดก็คล้ายดั่งคลื่นยักษ์ที่สาดซัดอย่างนั้น

ช่าาา ช่าาา ช่าาา…เสียงน้ำดังขึ้นไม่ขาดสาย ทังเฮ่อเสียงได้ดิ้นรนจนลุกขึ้นมาได้แล้ว ก่อเกิดฟองคลื่นที่ดั่งคลื่นยักษ์สาดซัดขึ้นมา

ไม่ง่ายนัก ทังเฮ่อเสียงได้ลุกขึ้นมาแล้ว ได้ยินเสียงตึงเสียงหนึ่งดังขึ้น เขาได้อาศัยทวนมังกรในการชันตัวให้ลุกขึ้นยืน เมื่อทวนมังกรของเขาได้กระแทกใส่พื้นดินอย่างแรงนั้น ทำให้พื้นดินสะเทือนขึ้นทีหนึ่ง เสมือนหนึ่งสิ่งของที่หนักมากได้ชนเข้ากับพื้นดินอย่างแรง

ในที่สุดทังเฮ่อเสียงได้ลุกขึ้นยืนตัวตรงได้แล้ว แม้จะกล่าวว่าเวลานี้เขาได้ลุกขึ้นมายืนได้แล้วในที่สุด แต่ทว่า ร่างกายของเขาเต็มไปด้วยเลือด และชุดเกราะบนตัวก็แตกร้าวไปแล้ว สำหรับโล่ยักษ์ในมือยิ่งไม่ต้องพูดถึง แหลกละเอียดไม่มีชิ้นดี

ในขณะนี้ บริเวณมุมปากของเขายังมีเลือดที่ไหลไม่หยุด เวลานี้สภาพของเขาเรียกได้ว่าย่ำแย่สุดๆ ไม่หลงเหลือท่าทางที่หมางเมินทั่วหล้าเมื่อครู่นั้นอีกแล้ว

“ลุกขึ้นมาได้แล้ว…” มีผู้ที่ร้องเสียงดังขึ้นมา เมื่อมองเห็นทังเฮ่อเสียงที่ลุกขึ้นยืนได้ในที่สุด

ในเวลานี้ ทุกคนต่างจ้องมองดูร่างกายที่สูงใหญ่ของทังเฮ่อเสียง ทุกคนล้วนแล้วแต่รู้สึกว่าทังเฮ่อเสียงในเวลานี้พ่ายแพ้แน่นอนแล้ว คิดจะพลิกเกมได้อีกครั้งคงเป็นเรื่องที่ยากมากๆ เว้นแต่เขายังมีท่าไม้ตายที่ผู้คนจินตนาการไม่ได้

ฉินเจี้ยนเหยาที่มองดูทังเฮ่อเสียงที่ลุกขึ้นยืนได้แล้ว และส่ายหน้าเบาๆ แม้ว่าทังเฮ่อเสียงยังคงสามารถลุกขึ้นมาได้ก็ตาม แต่ว่าฉินเจี้ยนเหยารู้ว่าสถานการณ์ได้ถูกกำหนดไว้แล้ว ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้อีกแล้ว ใครก็ตามคิดจะดิ้นรนอยู่ท่ามกลางเกมนี้ และหรือต้องการทำเรื่องที่ทวนกระแส ล้วนแล้วแต่เป็นเพียงเสียแรงเปล่าเท่านั้นเอง

ฉินเจี้ยนเหยาเข้าใจ ในเวลานี้การดิ้นรนใดๆ ก็จะดูอ่อนแอปราศจากเรี่ยวแรงทั้งสิ้น ล้วนแล้วแต่เป็นการดิ้นรนเฮือกสุดท้ายเท่านั้นเอง ถ้าหากเวลานี้ทังเฮ่อเสียงรู้จักกาลเทศะยอมอ่อนข้อให้กับหลี่ชิเย่ สยบให้กับหลี่ชิเย่ ไม่แน่นักอาจสามารถมีชีวิตรอดอย่างเหนือความคาดคิด

ช่าาา ช่าาา ช่าาาน้ำทะเลสาบเทลงมาจากบนตัวที่สูงใหญ่ของทังเฮ่อเสียง เสมือนดั่งเป็นน้ำตกที่ลงมาจากสวรรค์อย่างนั้น

แม้ว่าทังเฮ่อเสียงในขณะนี้นับว่ามีสภาพที่ดูย่ำแย่อย่างยิ่ง แต่ว่า หลังจากที่เขาลุกขึ้น่ยืนได้แล้ว ยังคงยืนด้วยการยืดตัวตรงเพื่อให้ส่วนอกของตนยืดขึ้นสูง ไม่ว่าจะเป็นช่วงเวลาใดก็ตาม ทังเฮ่อเสียงก็จะไม่ยอมแพ้ เขามองตัวเองสูงส่งตลอดมา และคิดว่าตนเองนั้นเหนือกว่าผู้อื่นอยู่ขั้นหนึ่งเสมอ จะอย่างไรเสียเขามีชาติกำเนิดมาจากราชนิกูลของราชวงศ์โต่วเซิ่น เลือดที่ไหลรินอยู่ในตัวคือสายเลือดที่สูงส่ง ดังนั้น การที่เขามองตัวเองว่าสูงส่งก็เป็นที่เข้าใจได้

ทว่ามาวันนี้เขากลับถูกฮ่องเต้องค์ใหม่ที่เขาดูถูกตลอดมาทำให้ต้องลงไปกองกับพื้น ซึ่งสิ่งนี้ทำให้ทังเฮ่อเสียงรับไม่ได้อยู่บ้าง ในสายตาของเขามองว่า ฮ่องเต้องค์ใหม่คือทรราชที่มั่วโลกีย์ไร้คุณธรรมคนหนึ่ง แต่แล้วมาวันนี้เขากลับถูกซัดอย่างแรงจนต้องลงไปกองกับพื้น เกือบจะลุกขึ้นมาไม่ไหว สิ่งนี้กล่าวสำหรับ ตัวเขาแล้ว มันเป็นการทำลายความหยิ่งในศักดิ์ศรีของตนเองจนแตกละเอียดเกลื่อนพื้น แถมยังเหยียบย่ำศักดิ์ศรีของเขาอย่างหนัก

ดังนั้น หลังจากที่ทังเฮ่อเสียงลุกขึ้นมาได้แล้ว เขาจึงต้องยืดอกของตนให้สูงเข้าไว้ เพื่อไม่ให้ตนเองนั้นดูย่ำแย่มากเกินไป เพื่อปกป้องศักดิ์ศรีและหน้าตาของตน

“ยังสามารถลุกขึ้นมาได้ นับว่ามีจิตใจที่เด็ดเดี่ยวแน่วแน่อยู่บ้างจริงๆ นะเนี่ย” หลังจากที่หลี่ชิเย่มองเห็นทังเฮ่อเสียงลุกขึ้นมาแล้วทำยืดอกขึ้นเต็มที่จึงยิ้มกล่าวเรียบเฉยว่า “สามารถดิ้นรนจนลุกขึ้นมาได้ ความเด็ดเดี่ยวแน่วแน่ด้านจิตใจนับว่ายังใช้ได้อยู่ ข้ายังเข้าใจว่าเจ้าลุกไม่ไหวอีกแล้ว”

“ใครคือคนที่หัวเราะเป็นคนสุดท้ายยังไม่รู้เลย เวลานี้เจ้าดีใจเร็วเกินไปแล้ว” ทังเฮ่อเสียงร้องคำรามเสียงดัง เรียกได้ว่าเพลิงแห่งความโกรธที่ไร้ขีดจำกัดได้ทะลักออกมาจากใจ

“อย่างนั้นรึ? พูดแบบนี้ เจ้ายังมีธาตุแท้ภายในอยู่อีกที่ยังไม่ได้นำออกมาใช้” หลี่ชิเย่ยิ้มเฉยเมยและยังคงยืนอยู่ที่ตรงนั้นเอ่ยขึ้นมาช้าๆ “เอาเถอะ มีฝีมืออะไรก็สำแดงออกมาให้หมด ข้าอยากจะเห็นสักหน่อย”

เสียงตูม…ดังสนั่น ในพริบตาเดียวนี่เอง ร่างกายของทังเฮ่อเสียงได้พวยพุ่งพลังขึ้นมาอีกครั้ง ขณะที่พลังของเขาพวยพุ่งขึ้นมานั้นได้พุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้าโดยตรง เสมือนหนึ่งเกี่ยวเอาฟ้าดินเข้าอย่างนั้น

แว้งค์เสียงหนึ่งดังขึ้นมา มองเห็นค่ายกลปรากฏขึ้น เส้นแนวตั้งแนวนอนตัดสลับไขว้กันไปมาปรากฎขึ้นที่ช่องว่าง ไม่ว่าจะเป็นใต้เท้าหรือเหนือศีรษะของทังเฮ่อเสียง ล้วนแล้วแต่ ปรากฏลายเส้นของค่ายกลดึกดำบรรพ์ขึ้นมา โดยลายเส้นของค่ายกลโบราณได้วิวัฒนาการและหลอมรวมเข้าด้วยกัน

สุดท้ายแล้ว ได้ยินเสียงตูมดังสนั่นหวั่นไหว ค่ายกลได้เปล่งประกายที่เจิดจรัสยิ่งนัก และบนท้องฟ้าถึงกับปรากฎลำแสงเป็นสายๆ ที่ทิ้งตัวลงมา เสมือนดั่งแสงจากดวงดาวนับล้านล้านดวงที่สาดส่องลงมาเพราะถูกค่ายกลลากเกี่ยวลงมา แสงจากดวงดาวที่ไม่มีสิ้นสุดพลันแผ่ลงมาทั้งหมด และอาบพรมลงบนตัวของทังเฮ่อเสียงจนหมดสิ้น

ตูม ตูม ตูมเสียงตูมตามดังขึ้นไม่ขาดสาย นาทีนี้ประกายดาววูบวาบ มองเห็นดวงดาวขนาดใหญ่แต่ละดวงที่หมุนเวียนอยู่บนตัวของทังเฮ่อเสียง เสมือนหนึ่งตัวเขาได้กลายเป็นศูนย์กลางของจักรวาลไปแล้ว สุริยันจันทราและดวงดาวทั้งหมดล้วนแล้วแต่หมุนรอบตัวของเขาอย่างนั้น

สุดท้าย ได้ยินเสียงตูมดังสนั่นขึ้นมา สุริยันจันทราและดวงดาวทั้งหมดล้วนแล้วแต่ถูกร่างกายที่มีขนาดใหญ่โตมโหฬารของทังเฮ่อเสียงดูดเข้าไปภายในร่างกาย นาทีนี้ ทุกตารางนิ้วของกล้ามเนื้อทังเฮ่อเสียงล้วนแล้วแต่ปรากฎแสงที่แวบวับขึ้นมา เสมือนหนึ่งร่างกายของเขาอาศัยสุริยันจันทราและดวงดาวมาหลอมสร้างขึ้นอย่างนั้น

ท่ามกลางเสียงดังตูมขึ้นมา ทั่วทั้งร่างของทังเฮ่อเสียงได้พวยพุ่งเป็นพลังที่ต่อเนื่องออกมา เปลวดวงดาราเสมือนหนึ่งได้กลับกลายเป็นปีกคู่หนึ่งที่ใหญ่โตมโหฬารขึ้นมา

ตึง ตึง ตึงได้ยินเสียงโลหะดังขึ้นเป็นระลอกไม่ขาดสาย มองเห็นโล่ และชุดเกราะขนาดยักษ์ของทังเฮ่อเสียงที่แตกละเอียดไปได้ประกอบขึ้นมาใหม่อีกครั้ง เพียงชั่วพริบตาเดีย มองเห็นทังเฮ่อเสียงที่สวมใส่ชุดเกราะ ในมือถือโล่ยักษ์ ทั้งยังเปล่งประกายดวงดาวแวบวับ ดูแข็งแกร่ง และละลานตายิ่งกว่า

“แข็งแกร่งมากกว่าเดิมแล้ว” มองเห็นทังเฮ่อเสียงที่สมบูรณ์ไม่มีอะไรเสียหาย ทำให้ทุกคนต่างรู้สึกตื่นตระหนกลับๆ

“แม้ว่าโล่ขนาดยักษ์จะแตกเสียหายไป แต่ค่ายกลของเขายังไม่แตก” มีระดับบรรพบุรุษสำนักเจ้าลัทธิรู้ถึงความลึกซึ้งและยอดเยี่ยมเมื่อมองเห็นภาพนี้แล้ว อดที่จะพึมพำขึ้นว่า “ดูท่าทังเฮ่อเสียงกับกองทัพส่วนกลางได้รวมตัวกันจนถึงที่สุดแล้ว การฝึกฝนเพื่อให้เข้ากันขนาดนี้ เกรงว่าคงต้องอาศัยระยะเวลาฝึกปรือกันนานจึงสามารถทำได้ถึงเพียงนี้”

ตึง…เวลานี้ทวนยาวที่อยู่ในมือของทังเฮ่อเสียงได้ชี้ไปด้วยความโกรธ ประกายทวนวูบวับ ส่งเสียงดังขึ้นว่า “มาสู้กันอีกสักครั้ง!”

ในขณะนี้ เขามีความมั่นใจเต็มเปี่ยม ปณิธานการต่อสู้ที่สูงและไม่สะทกสะท้าน และมีท่าทีที่ยกตนข่มท่าน

ในมุมมองของทังเฮ่อเสียงมองว่า เมื่อครู่เขาประมาทมากเกินไป ไม่ได้เตรียมการพร้อมสรรพ แต่ว่า มาคราวนี้เขาจะไม่มีวันพ่ายแพ้ง่ายดายอย่างเด็ดขาด

“โง่ไม่มีที่ติ เจ้าคิดว่าระเบิดพลังสูงสุดของค่ายกลนี้ขึ้นมาแล้ว ก็จะเป็นคู่ต่อสู้ของข้าได้จริงรึ?” หลี่ชิเย่มองดูทังเฮ่อเสียงที่เปี่ยมด้วยปณิธานการฆ่าที่ไม่สะทกสะท้านของทังเฮ่อเสียง อดที่จะหัวเราะขึ้นมา และเอ่ยขึ้นมาช้าๆ ว่า “แค่ไม่เจียมตัวเท่านั้น”

…..

Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *