Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล 2471 ฉินเจี้ยนเหยา

Now you are reading Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล Chapter 2471 ฉินเจี้ยนเหยา at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

จากการที่วันที่ทะเลสาบทั้งเก้าเปลี่ยนสีใกล้เข้ามาทุกทีๆ และมีศิษย์ของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่เข้าพักในเขาจิ่วเหลียนซานมากขึ้นเรื่อยๆ แม้ว่ามีศิษย์จำนวนไม่น้อยมาเพื่อบรรลุสัจธรรมที่เขาจิ่วเหลียนซาน แต่ศิษย์ส่วนใหญ่แล้วมุ่งมาที่การเปลี่ยนสีของทะเลสาบทั้งเก้ามากกว่า

ศิษย์ที่มาพักอาศัยและบรรลุสัจธรรมที่เขาจิ่วเหลียนซานนั้นมาจากสถานที่ต่างๆ ในระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่ มีทั้งศิษย์จากสำนักเจ้าลัทธิ และศิษย์จากสำนักขนาดเล็ก ยิ่งไปกว่านั้นยังมีผู้บำเพ็ญตนไร้สังกัด

นี่แหละคือข้อแตกต่างของเขาจิ่วเหลียนซาน ขอเพียงบุคคลผู้นั้นเป็นศิษย์ของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่ ไม่ว่าจะมีชาติกำเนิดจากสำนักเจ้าลัทธิ ตระกูลขุนนางโบราณ หรือว่าสำนักขนาดเล็ก กระทั่งผู้บำเพ็ญตนไร้สังกัด ก็จะได้รับการต้อนรับที่ไม่แตกต่างกันเลยแม้แต่น้อย

แม้ว่าเจ้าเป็นผู้บำเพ็ญตนตัวน้อยๆ ที่มาจากการฝึกบำเพ็ญตนด้วยตัวเองและไร้สังกัด มีทักษะอ่อนจนสามารถมองข้ามไปได้ แต่ว่าขอเพียงเคล็ดพลังภายในที่ฝึกมีกำเนิดมาจากระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่ ก็สามารถมาบรรลุสัจธรรมที่เขาจิ่วเหลียนซานได้

เขาจิ่วเหลียนซานจะไม่ปฏิเสธในการเข้าสำนักเพียงเพราะเป็นผู้บำเพ็ญตนไร้สังกัด และจะไม่เป็นเพราะมีชาติกำเนิดมาจากสำนักเจ้าลัทธิแล้วได้รับการปฏิบัติดูแลที่ดีกว่า

ไม่ว่าจะเป็นผู้ใดก็ตาม เขาจิ่วเหลียนซานจะให้การปฏิบัติที่เหมือนๆ กันหมด ต่อให้ฮ่องแต้ไท่ชิงในวันนั้นเสด็จมาด้วยตนเอง ทางเขาจิ่วเหลียนซานก็ไม่ได้มีการจัดและให้การต้อนรับอะไรเป็นพิเศษ

ด้วยเหตุที่เขาจิ่วเหลียนซานได้ให้การปฏิบัติที่เท่าเทียมกันตลอดมา จึงเป็นการวางรากฐานฐานะความเป็นกลางของเขาจิ่วเหลียนซานในทัศนะคติของทุกๆ คนเอาไว้ได้อย่างมั่นคง และเป็นการวางรากฐานฐานะความเป็นเอกเทศที่ตัดขาดจากโลกภายนอกของเขาจิ่วเหลียนซานได้อย่างมั่นคง

ดังนั้น ไม่ว่าจะเป็นศิษย์ระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่ที่มีชาติกำเนิดเช่นใดก็ตาม เขาจิ่วเหลียนซานก็จะจัดสถานที่ที่เข้าพักให้ และจะไม่ส่งศิษย์คนใด หรือใครอื่นใดไปรับใช้

เวลาที่ทะเลสาบทั้งเก้าเปลี่ยนสีใกล้เข้ามาทุกทีๆ ผู้บำเพ็ญตนกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่มาถึงเขาจิ่วเหลียนซานก็จะมีฐานะที่สูงส่งมากขึ้นเรื่อยๆ แรกทีเดียว ศิษย์กลุ่มคนรุ่นใหม่ของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่ที่มายังเขาจิ่วเหลียนซานยังมีอยู่เป็นจำนวนมากที่มาจากสำนักขนาดเล็ก มาระยะหลัง โดยพื้นฐานแล้วส่วนใหญ่ล้วนแล้วแต่เป็นศิษย์ที่มาจากสำนักเจ้าลัทธิหรือตระกูลขุนนางโบราณ ต่อจากนั้นแม้แต่ศิษย์จากห้าแกร่งเช่นหอหลินไห่เก๋อก็ได้ปรากฎตัวขึ้นที่เขาจิ่วเหลียนซานแล้ว

มองดูยอดฝีมือที่เป็นอัจฉริยะบุคคลปรากฏตัวเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ที่เขาจิ่วเหลียนซาน ทำให้ศิษย์กลุ่มคนรุ่นใหม่จำนวนไม่น้อยที่คาดหวังจะได้พบกับปาฏิหาริย์ที่เขาจิ่วเหลียนซานรับรู้ถึงความกดดันที่ไม่น้อยเลยทีเดียว จะอย่างไรเสียยอดฝีมืออัจฉริยะบุคคลยิ่งมีจำนวนมากเท่าไร เมื่อถึงเวลานั้นการแข็งขันก็จะยิ่งมาก เมื่อไรที่ศิษย์ของหอหลินไห่เก๋อที่เป็นพวกเหล่าห้าแกร่งลงมือล่ะก็ อย่าว่าแต่สำนักขนาดเล็กเลย แม้แต่สำนักเจ้าลัทธิหรือตระกูลขุนนางโบราณอื่นๆ ก็ไม่สามารถต่อกรได้

ตูม ตูม ตูม…มาวันนี้ ปรากฏเสียงตูมตามดังขึ้นเป็นระลอก แผ่นดินและหุบเขาล้วนแล้วแต่สั่นไหวโคลงแคลงขึ้นทีหนึ่ง

ผู้คนจำนวนไม่น้อยแอบตระหนกอยู่ในใจเมื่อได้ยินเสียงดังตูมตามที่ดังขึ้นมากะทันหัน เป็นใครกันนะที่อวดดีถึงเพียงนี้ มาถึงเขาจิ่วเหลียนซานแล้วยังคงทำตัวสูงเด่นเช่นนี้

ในเวลานี้ผู้คนจำนวนไม่น้อยทยอยกันหันหัวกลับไป และมองไปทางทิศทางที่เป็นต้นเสียง

เวลานี้ มองเห็นกองทัพๆ หนึ่งที่เหินฟ้าเข้ามา โดยกองทัพดังกล่าวมีไพร่พลจำนวนไม่มาก มีเพียงสิบกว่าคนเท่านั้นเอง พวกเขาขี่ม้าศึกเหินฟ้าวิ่งฮ้อเข้ามา ให้ความรู้สึกเหมือนเป็นกองทัพน้ำหลากที่เป็นเหมือนเหล็กกล้า เหมือนว่าพวกเขาก็คือกองทัพน้ำหลากที่เป็นเหมือนเหล็กกล้าที่ส่งเสียงคำรามพุ่งเข้ามาโจมตี ปราศจากสิ่งใดสามารถต้านทานเอาไว้ได้ เพียงชั่วพริบตาเดียวก็สามารถทำลายสิ่งที่ขวางกั้นอยู่ข้างหน้าจนพินาศย่อยยับลงได้

แม้ว่ากองทัพอาชานี้จะมีเพียงสิบกว่าคนเท่านั้น แต่จากการที่พวกเขาบุกเข้ายังเขาจิ่วเหลียนซานดั่งกองทัพน้ำหลากที่เป็นเหมือนเหล็กกล้านั้น พลันทำให้บังเกิดความรู้สึกว่ามีกองทัพหมื่นพันที่ยกเข้ามาประชิดอย่างนั้น แม้แต่อากาศธาตุยังคงสั่นสะเทือนทีหนึ่ง

นักรบของกองทัพๆ นี้ล้วนแล้วแต่มาบนหลังม้าศึกทั้งสิ้น นักรบทุกคนกับม้าศึกที่พวกเขาขี่มาล้วนแล้วแต่เสมือนเป็นร่างเดียวกัน นักรบทั้งหมดมาในชุดเกราะเต็มตัว ขณะที่ม้าศึกก็สวมชุดเกราะเช่นกัน เนื่องเพราะนักรบทุกคนและม้าศึกทุกตัวต่างถูกห่อหุ้มด้วยชุดเกราะอย่างแน่นหนา ยิ่งทำให้ผู้คนรู้สึกว่าพวกเขาก็คือน้ำหลากที่เป็นเหมือนเหล็กกล้านั่นเอง สามารถพุ่งชนทำบายภูเขาแต่ละลูกจนแหลกละเอียดเมื่อมีการพุ่งโจมตีเข้ามา

ผู้ที่เป็นผู้นำของทัพอาชาทัพนี้เป็นชายหนุ่มคนหนึ่ง ชายหนุ่มผู้นี้มีคิ้วดั่งกระบี่นัยน์ตาดั่งดวงดารา รูปร่างสูงตระหง่าน แววตาคมกริบยิ่งนัก ปรากฏกลิ่นอายการฆ่าที่รุนแรงแผ่ออกมาจากร่างของเขา พลันที่มองเห็นก็รู้ว่าเขาคือแม่ทัพที่ผ่านสมรภูมิรบมายาวนาน

‘ทัพตระกูลหม่า’ มีผู้ที่จดจำประวัติความเป็นมาของกองทัพอาชานี้ได้ทันที ถึงกับร้องเสียงดังขึ้นมาด้วยความตระหนกเมื่อมองเห็นทัพอาชานี้วิ่งฮ้อเข้ามา

“เขาคือหม่าจินหมิง นายน้อยตระกูลหม่ามาแล้ว” มีผู้แอบตระหนกอยู่ในใจ เมื่อได้เห็นชายหนุ่มที่เป็นผู้นำของกองทัพอาชาทัพนี้

“แม่ทัพน้อยของกองทัพส่วนกลางนะเนี่ย” ผู้คนจำนวนไม่น้อยรู้สึกสะท้านในใจขณะมองดูชายหนุ่มผู้นี้ ในเวลานี้ผู้คนจำนวนไม่น้อยทยอยกันหลีกทางให้กองทัพอาชานี้วิ่งฮ้อผ่านไป

“หม่าจินหมิงจะมาแก้แค้นให้กับลูกพี่ลูกน้องอย่างนั้นรึ? ” ผู้คนจำนวนไม่น้อยรู้สึกสะท้านภายในใจ และคาดเดากันลับๆ เมื่อมองเห็นกองทัพที่คล้ายดั่งน้ำหลากเหล็กกล้าที่ส่งเสียงคำรามขึ้นมา

หม่าจินหมิง นายน้อยตระกูลหม่า แม่ทัพน้อยแห่งกองทัพส่วนกลาง เขาก็คือบุตรชายของแม่ทัพส่วนกลางหม่าหมิงชุน และเป็นลูกพี่ลูกน้องผู้พี่ของเจิงยี่ปิง

หม่าจินหมิงไม่รู้ว่าแข็งแกร่งกว่ากันเท่าไรเมื่อเทียบกับเจิงยี่ปิงที่เอาแต่เป็นสุนัขจิ้งจอกที่แอบอ้างบารมีเสือ หม่าจินหมิงติดตามออกศึกกับหม่าหมิงชุนผู้เป็นบิดามาตั้งแต่อายุน้อย เสี่ยงเป็นเสี่ยงตามบนสมรภูมิรบ อีกทั้งเขาได้สำแดงถึงพรสวรรค์การฝึกปรือที่แข็งแกร่งมาตั้งแต่เด็ก

เมื่อเปรียบเทียบกับเจิงยี่ปิงแล้ว หม่าจินหมิงคืออัจฉริยะบุคคลที่จริงแท้แน่นอน และเป็นยอดฝีมือที่จริงแท้แน่นอนคนหนึ่งเช่นกัน ซึ่งหาใช่เจิงยี่ปิงสามารถเทียบเคียงได้อยู่แล้ว

ทุกคนล้วนแล้วแต่เข้าใจว่าหม่าจินหมิงมาเพื่อชำระแค้นให้กับเจิงยี่ปิงที่ตายไป เมื่อเห็นหม่าจินหมิงนำพากองทัพตระกูลหม่าที่บุกเข้าไปในเขาจิ่วเหลียนซานด้วยพลังที่แข็งแกร่ง

แต่ทว่า หม่าจินหมิงไม่ได้นำพาทหารบุกขึ้นเขาหงฮวงซานโดยตรง และไม่ได้แสดงออกถึงปณิธานที่ต้องการหาหลี่ชิเย่เพื่อแก้แค้น หลังจากที่เขาได้นำพานักรบสิบกว่าคนบุกเข้าไปในเขาจิ่วเหลียนซานแล้วก็ได้เข้าพักในยอดเขาแห่งหนึ่ง

เพียงแต่ขณะที่หม่าจินหมิงก้าวลงจากหลังม้าได้มองไปยังทิศทางที่ตั้งของเขาหงฮวงซานทีหนึ่ง สุดท้ายได้ส่งเสียงฮึน่าเกรงขามขึ้นมา

การที่หม่าจินหมิงไม่ได้บุกขึ้นเขาหงฮวงซานไปหาฮ่องแต้องค์ใหม่เพื่อล้างแค้น ทำให้ผู้คนรู้สึกเหนือความคาดคิดไม่มากก็น้อย

“นายน้อยตระกูลหม่าจะอย่างไรเสียก็คือผู้ที่ผ่านสมรภูมิรบมา ยังสามารถอดกลั้นเอาไว้ได้” ผู้บำเพ็ญตนที่อาวุโสกว่าถึงกับพยักหน้าและกล่าวชื่นชม เมื่อเห็นหม่าจินหมิงไม่ได้บุกขึ้นเขาหงฮวงซานไปแก้แค้นให้กับเจิงยี่ปิงทันที

“พี่หม่า ไม่ได้พบกันเสียนาน ไม่นึกไม่ฝันเลยว่าจากกันที่นอกด่านในครั้งนั้นก็ผ่านมาสามปีแล้ว” ขณะที่หม่าจินหมิงเพิ่งจะเข้าที่พักก็มียอดฝีมือผู้บำเพ็ญตนกลุ่มคนรุ่นใหม่จำนวนไม่น้อยเดินทางไปเยี่ยมเยียนเขา

ในจำนวนยอดฝีมือผู้บำเพ็ญตนกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่ไปเยี่ยมเยียนเขานั้น มีที่เป็นสหายเก่า และมีประเภทที่ไม่เคยพบหน้ากันมาก่อน ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม หลังจากที่หม่าจินหมิงมาถึงแล้ว ที่พักของเขาเรียกได้ว่ามีผู้เดินทางมากันขวักไขว่ดั่งตลาดนัด

ที่ตรงกันข้ามพอดีก็คือ แม้ว่าทุกคนจะรู้ว่าฮ่องแต้องค์ใหม่อย่างหลี่ชิเย่พักอาศัยอยู่ที่เขาหงฮวงซาน แต่ว่ากลับไม่มีคนหนึ่งคนใดที่ไปเยี่ยมเยียนเขา

แน่นอนที่สุด ยอดฝีมือผู้บำเพ็ญตนกลุ่มคนรุ่นใหม่จำนวนไม่น้อยที่ไปเยี่ยมเยียนหม่าจินหมิงนั้น ย่อมจะต้องมีเหตุผลในตัวของมันอยู่แล้ว

บิดาของหม่าจินหมิงก็คือแม่ทัพส่วนกลางคนปัจจุบันหม่าหมิงชุน ปัจจุบันนี้เรียกได้ว่ามีอำนาจใหญ่อยู่ในมือ โดยเฉพาะหลังจากที่ฮ่องแต้องค์ใหม่สูญเสียแผ่นดินไปแล้ว เวลานี้ราชวงศ์โต่วเซิ่นเรียกได้ว่าเป็นมังกรไร้หัว

ขณะที่ในฐานะที่เป็นแม่ทัพของกองทัพส่วนกลาง อีกทั้งเป็นผู้ดำรงอยู่ในสถานะเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในบรรดาแม่ทัพหลายคน ทั้งยังเป็นแม่ทัพที่มีอาวุโสมากที่สุด ไม่ว่าจะเป็นกำลังหรือฐานะ หม่าหมิงชุนก็นับว่ามีตำแหน่งที่สูงส่งและมากด้วยอำนาจ

เรียกได้ว่า การคงอยู่ของราชวงศ์โต่วเซิ่นในขณะนี้ อีกทั้งเป็นการอาศัยพวกของหม่าหมิงชุนเป็นแกนหลัก ภาพรวมทั้งหมดของหกกองทัพแห่งราชวงศ์โต่วเซิ่น มีทีท่าที่จะเดินตามหม่าหมิงชุน

เมื่อหกกองทัพใหญ่ของราชวงศ์โต่วเซิ่นรวมเป็นพลังสายหนึ่ง กำลังของพวกเขาจะไม่ด้อยไปกว่าสำนักใดสำนักหนึ่งของห้าแกร่ง

ด้วยเหตุนี้เอง ยิ่งเป็นการแสดงให้เห็นว่าหม่าหมิงชุนนั้นมีฐานะสูงส่งและมากด้วยอำนาจอย่างไรให้โดดเด่นยิ่งขึ้น กระทั่งมีผู้เคยกล่าวเอาไว้ว่า ในอนาคตหากระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่จะให้กำเนิดฮ่องแต้องค์ใหม่ จะสามารถได้รับการสนับสนุนจากหม่าหมิงชุนหรือไม่นั้นก็จะเป็นข้อต่อที่สำคัญมากข้อหนึ่ง

ลองนึกภาพดู การที่หม่าหมิงชุนมีกำลังที่สามารถบงการสถานการณ์ของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่ได้ สำนักเจ้าลัทธิหรือตระกูลขุนนางโบราณจำนวนเท่าไรไหนเลยจะไม่ต้องการประจบหม่าหมิงชุนกันเล่า

ดังนั้น ศิษย์ของสำนักเจ้าลัทธิหรือตระกูลขุนนางโบราณจำนวนมากจึงเริ่มต้นจากการลงทุนลงแรงบนตัวของหม่าจินหมิง สร้างความสัมพันธ์อันดีกับหม่าจินหมิงเป็นอันดับแรก เป็นการปีนขึ้นไปบนต้นไม้ใหญ่อย่างกองทัพส่วนกลางต้นนี้

การมาถึงของหม่าจินหมิงเป็นที่สนใจของผู้คนจำนวนไม่น้อย แต่ไม่ได้สร้างความฮือฮาสักเท่าไร เมื่อการมาถึงของบุคคลอีกผู้หนึ่ง นั่นแหละเรียกว่าสร้างความฮือฮาขึ้นไม่น้อยได้อย่างแท้จริง

ขณะการมาถึงของคนผู้นี้ ไม่ได้เด่นดังเฉกเช่นหม่าจินหมิง ไม่ได้นำพากองทัพอาชาที่บุกเขาเขาจิ่วเหลียนซานโดยตรงเฉกเช่นหม่าจินหมิง ที่ทำให้เกิดเสียงดังตูมตามไม่หยุด

ขณะที่คนผู้นี้มาถึงนั้นเงียบสงบมาก กระทั่งเรียกได้ว่าไร้ซุ่มไร้เสียง นางเดินกอดกระบี่เข้ามาอย่างช้าๆ ท่ามกลางเขาจิ่วเหลียนซาน ดูว่าเหมือนเดินช้า แต่หนึ่งก้าวเท่ากับร้อยลี้

แต่ทว่า แม้ผู้หญิงคนนี้จะเดินกอดกระบี่มาอย่างเงียบๆ แต่ก็เป็นที่สนใจได้เช่นกัน และสร้างความฮือฮาได้เช่นกัน

ผู้หญิงผู้นี้สวมชุดสีดำทั้งชุด เสมือนดั่งบัวที่อยู่ท่ามกลางหุบเขาที่ลึกและเงียบ ผมยาวประบ่า จากการที่นางเดินกอดกระบี่ ผมยาวประบ่าปลิวสยายไปตามลมที่พัดโชยมาอ่อนๆ ขณะที่ลมพัดโชยมานั้นเสมือนดั่งเป็นม่านหมอกอย่างนั้น เปี่ยมด้วยความคล่องตัวและปรับไปตามสถานการณ์ได้ ให้ความรู้สึกผู้คนที่ล่องลอยอยู่เหนือมนุษย์ปุถุชนธรรมดา ท่วงท่าเช่นนี้แยกแยะกันไม่ออก

ผู้หญิงผู้นี้มีหน้าตาที่งดงามยิ่ง ดวงตาคู่นั้นของนางแลดูเป็นประกายมีชีวิตชีวา ปรากฏประกายศักดิ์สิทธิ์ที่แวบวับ ด้วยดวงตาลักษณะเช่นนี้ เสมือนดั่งดวงตาเทพ ยิ่งทำให้นางดูงดงามเจิดจ้าจนตาลาย ผู้คนจำนวนไม่น้อยถูกนางดึงดูดเอาไว้จนจิตใจหวั่นไหวตั้งแต่ครั้งแรกที่มองเห็นนาง

‘แม่นางฉิน’ ขณะที่บางคนพบเห็นผู้หญิงคนนี้กอดกระบี่เดินมาระหว่างทาง ไม่ว่าจะเป็นศิษย์ที่มีชาติกำเนิดมาจากสำนักเจ้าลัทธิหรือตระกูลขุนนางโบราณ หรือว่าเป็นนายน้อยเป็นซื่อจื่อ ต่างทยอยกันโค้งแสดงความเคารพที่พบกับนาง

มีอัจฉริยะบุคคลกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่มองเห็นผู้หญิงคนนี้แล้ว ยากจะปิดบังซ่อนเร้นแววตาที่บังเกิดรักใคร่ชอบพอ

ผู้หญิงผู้นี้ได้พยักหน้าเบาๆ เป็นการทักทายตอบสำหรับการแสดงความเคารพของผู้ที่เดินทางผ่านไปมา ไม่ว่าจะเป็นด้านบุคลิกลักษณะ หรือการวางตัวล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่เทียบกันไม่ได้ เปี่ยมด้วยแรงดึงดูด

“แม่นางฉินแห่งวัดจิ้งเหลียนกวาน! ” มีผู้ชมเปาะด้วยความตื่นตะลึงเมื่อมองเห็นผู้หญิงคนนี้จากระยะห่างไกล

“เทพธิดาฉินก็มาด้วยแล้ว” ไม่รู้ว่ามีผู้บำเพ็ญตนกลุ่มคนรุ่นใหม่จำนวนเท่าไรที่ทยอยกันตั้งตาคอย เมื่อได้ข่าวเช่นนี้ ขณะมองเห็นผู้หญิงคนนี้นั้น ไม่รู้ว่ามีผู้ชายจำนวนเท่าไรที่ถูกดึงดูดเอาไว้ในเวลานี้ ถูกทำให้หลงไหลในขณะนี้

“ฉินเจี้ยนเหยาแห่งวัดจิ้งเหลียนกวาน” แม้แต่ผู้บำเพ็ญตนรุ่นอาวุโสเมื่อพบเห็นนางก็ต้องชมเปาะด้วยความตื่นตะลึง เอ่ยขึ้นช้าๆ ว่า “ผู้สืบทอดทุกยุคสมัยของวัดจิ้งเหลียนกวานล้วนแล้วแต่ปราดเปรื่องน่าทึ่งทั้งสิ้น ไม่เสียทีที่เป็นวัดจิ้งเหลียนกวาน ในฐานะที่เป็นผู้สืบทอดของวัดจิ้งเหลียนกวาน ยิ่งเรียกว่าเป็นหงส์ในหมู่คน ยากที่จะมีใครเทียบเคียงได้นะเนี่ย”

ผู้หญิงที่เดินกอดกระบี่มานั้นก็คือผู้สืบทอดของวัดจิ้งเหลียนกวานฉินเจี้ยนเหยา แม้ว่านางไม่ได้มีฉายาที่สะเทือนเลื่อนลั่นอะไร แต่ว่าผู้คนจำนวนมากต่างยินดีที่จะยกย่องนางว่า ‘เทพธิดาฉิน’ และก็มีคนยินดียกย่องนางว่า ‘เทพธิดาเจี้ยน’

แม้ว่าฉินเจี้ยนเหยาน้อยครั้งนักที่ปรากฎอยู่ในยุทธภพ และน้อยครั้งที่ลงมือ แต่ชื่อเสียงของนางขจรไกลไปทั่วระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่มานานแล้ว

………………………………

Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *