Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล 2494 การมาถึง

Now you are reading Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล Chapter 2494 การมาถึง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 2494 การมาถึง
แม้จะกล่าวว่าราชันแท้จริงปาเจิ้นบรรลุค่ายกลจูเซียนสร้างความหวั่นไหวต่อระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่ แต่กล่าวสำหรับผู้บำเพ็ญตนจำนวนมากของเขาจิ่วเหลียนซานแล้ว สิ่งที่สำคัญที่สุด ณ ตอนนี้ยังคงเป็นการคว้าโอกาสที่ทะเลสาบทั้งเก้าเปลี่ยนสีให้แน่น

“เริ่มแล้ว พวกเราเข้าทะเลสาบกัน” ในเวลานี้เอง ผู้คนจำนวนมากได้ไปจากสถานที่ที่พักอาศัยของตนเอง ทยอยกันเข้าไปยังทะเลสาบ

เนื่องจากทะเลสาบทั้งเก้ามีขนาดใหญ่มากเป็นพิเศษ การเลือกก็มีมาก ดังนั้น ในขณะที่ทะเลสาบเปลี่ยนสีจึงไม่เกิดเหตุการณ์ขัดแย้งกันขึ้นอันเนื่องมาจากการแย่งหรือยึดครองสถานที่ และทุกคนก็ไม่มีเวลาไปสร้างความขัดแย้ง ต่างจับเวลาให้มั่น คาดหวังสามารถได้รับผลประโยชน์ในเวลานี้เลย

“พวกเราเข้าไปยังทะเลสาบสีทองเป็นอย่างไร?” มีผู้ที่ถูกทะเลสาบที่อยู่ตรงกลางมากที่สุดของเขาจิ่วเหลียนซานดึงดูดเอาไว้ อดที่จะบอกกล่าวต่อบรรพบุรุษของตนที่อยู่ข้างกาย

ทะเลสาบแห่งนั้นคือทะเลสาบที่มีขนาดใหญ่ที่สุดตั้งอยู่บริเวณกึ่งกลางของเขาจิ่วเหลียนซาน กล่าวได้ว่ามันคือทะเลสาบเพียงหนึ่งเดียวที่ตั้งอยู่บริเวณกึ่งกลาง ส่วนทะเลสาบอีกแปดแห่งล้วนแล้วแต่ถูกจัดวางให้อยู่ในลักษณะล้อมรอบมัน

ทะเลสาบแห่งนี้ส่งประกายสีทองแวบวับ ปรกติแล้ว ทะเลสาบแห่งนี้เสมือนดั่งสามารถปลดปล่อยประกายสีทองอย่างนั้น ยิ่งเมื่ออยู่ภายใต้การสาดส่องของแสงตะวันแล้วดุจดั่งมีผงทองที่ถูกโปรยปรายลงไปในทะเลสาบอย่างนั้น

ครั้นทะเลสาบทั้งเก้าที่อยู่ตรงหน้ามีการเปลี่ยนสี น้ำที่อยู่ภายในทะเลสาบแห่งนี้ได้กลายเป็นสีทองอย่างสิ้นเชิง น้ำที่อยู่ในทะเลสาบเสมือนดั่งเป็นทองคำเหลวอย่างนั้น มองไปก็ประดุจเป็นทะเลสาบที่มีน้ำทองคำเต็มเปี่ยม เปี่ยมด้วยความเย้ายวนใจยิ่งนัก ทำให้ผู้คนอยากได้ไว้ในครอบครอง

“อย่าไปคิดเลย” ขณะที่ผู้บำเพ็ญตนกลุ่มคนรุ่นใหม่ผู้นี้คิดจะเข้าไปยังทะเลสาบทองคำนั้น ผู้อาวุโสของเขาจึงรีบตัดบทและกล่าวว่า “ทะเลสาบที่ตั้งอยู่กึ่งกลางคือทะเลสาบที่มีทัศนวิสัยต่ำที่สุดในบรรดาทะเลสาบทั้งเก้า และเป็นทะเลสาบที่ยากจะรับรู้ได้ยากที่สุด เว้นแต่เป็นอัจฉริยะบุคคลที่มีความมั่นใจในตนเองที่เด็ดขาดแล้ว คนอื่นๆ ที่เข้าไปก็เปล่าประโยชน์ ทะเลสาบแห่งนี้ไม่สามารถรับรู้อะไรได้อยู่แล้ว”

ผู้บำเพ็ญตนกลุ่มคนรุ่นใหม่คนนี้ได้แต่ล้มเลิกความตั้งใจเมื่อได้ฟังคำจากบรรพบุรุษแล้ว ไม่ง่ายนักกว่าจะได้พบเจอการเปลี่ยนสีของทะเลสาบทั้งเก้า เขาไม่ต้องการสิ้นเปลืองโอกาสเช่นนี้โดยเปล่าประโยชน์

แม้จะกล่าวว่า ในบรรดาทะเลสาบทั้งเก้านั้น ทะเลสาบทองคำที่อยู่กึ่งกลางนี้จะมีทัศนวิสัยต่ำที่สุด ยากแก่การรับรู้ แต่ยังคงมีคนที่เข้าไปยังทะเลสาบแห่งนี้

ผู้ที่เข้าไปในทะเลสาบแห่งนี้กลับเป็นทังเฮ่อเสียง ทังเฮ่อเสียงมาแต่วัน เห็นเขาขี่ม้าศึกเข้ามา โดยด้านหลังของเขาติดตามมาด้วยทหายหลายร้อยนาย อีกทั้งมีความแตกต่างกับครั้งก่อนก็คือ ทหารที่ทังเฮ่อเสียงนำติดตัวมาด้วยครั้งนี้ล้วนแล้วแต่อยู่ในชุดเกราะสีเงินทั้งหมด อีกทั้งทหารทุกนายล้วนแล้วแต่มาด้วยการเดินเท้า ท่าทางเยือกเย็นเย็นชา มองผ่านเสื้อเกราะสามารถมองออกว่าทหารหลายร้อยนายล้วนแล้วแต่มีอายุมากทั้งสิ้น ทั้งยังมีกำลังความสามารถที่แข็งแกร่งดุดัน

ขณะที่การมาของทังเฮ่อเสียงเองในคราวนี้ถึงกับสะพายทวนยาวที่หลังมาเล่มหนึ่ง ทวนยาวเล่มนี้คล่ายเป็นทวนยาวที่หลอมสร้างด้วยทองคำอย่างนั้น โดยทวนทั้งเล่มเปล่งประกายสีทองที่เจิดจรัส และมีประกายสีทองวูบวาบออกมา บนตัวทวนยาวถึงกับสลักลวดลายมังกรเอาไว้

ขณะที่ทังเฮ่อเสียงนำพากองกำลังทหารขบวนนี้เข้าไปยังทะเลสาบสีทองนั้น ไม่ได้มีพลังที่ดุจคลื่นยักษ์ และไม่มีกลิ่นอายที่ดุเดือดรุนแรง แตกต่างจากขบวนเมื่อครั้งที่เขาเพิ่งมาถึงเขาจิ่วเหลียนซานในเวลานั้นอย่างสิ้นเชิง

อย่างไรก็ตาม ขณะที่ทังเฮ่อเสียงพากองทัพขบวนเล็กจำนวนหลายร้อยนายเข้าไปยังทะเลสาบสีทองอย่างเงียบๆ นั้น กลับจะทำให้ผู้คนต้องใจหายใจคว่ำ ทำให้ผู้คนหวาดหวั่นพรั่นพรึงจนขนลุกซู่

“นี่คือกองกำลังกระดูกเหล็กที่แข็งแกร่งที่สุดของกองทัพส่วนกลางนะเนี่ย” มีระดับบรรพบุรุษอดที่จะพึมพำขึ้นมาเมื่อมองเห็นกองกำลังขบวนขนาดเล็กจำนวนหลายร้อยนายที่ทังเฮ่อเสียงนำมา และกล่าวว่า “นี่คือกองกำลังที่แกร่งที่สุดของกองทัพส่วนกลางทั้งหมดแล้ว เกรงว่าสามารถเทียบเท่ากำลังครึ่งหนึ่งของกองทัพส่วนกลางทั้งหมด และเป็นกองทำลังที่เป็นแกนหลักที่สุดของกองทัพตระกูลหม่า ผลงานการสู้รบที่โด่งดังที่สุดของกองทัพส่วนกลาง โดยพื้นฐานแล้วล้วนแล้วแต่มาจากฝีมือของกองกำลังดังกล่าวนี้”

ทังเฮ่อเสียงถึงกับนำเอากองกำลังที่แข็งแกร่งที่สุดของกองทัพส่วนกลางเข้าไปยังทะเลสาบสีทอง ซึ่งทำให้ผู้คนต้องใจหายใจคว่ำ

ขณะเดียวกันก็ทำให้ทุกคนเข้าใจได้ว่า ความสัมพันธ์ระหว่างทังเฮ่อเสียงกับหม่าหมิงชุนนั้นไม่ธรรมดา การที่ขบวนทัพที่เป็นแกนหลักเช่นนี้หม่าหมิงชุนยังวางใจมอบให้กับทังเฮ่อเสียง ย่อมสามารถจินตนาการได้ว่าความสัมพันธ์ของพวกเขามีความแน่นเฟ้นเพียงใด

“ใช่เพียงนำเอากองกำลังกระดูกเหล็กมาด้วย” มีผู้ที่กวาดสายตามองไปที่ทวนยาวเล่มนั้นที่อยู่บนหลังของทังเฮ่อเสียง และกล่าวขึ้นช้าๆ ว่า “ทังเฮ่อเสียงได้นำเอาทวนมังกรทองที่สืบทอดต่อกันมาของตระกูลมาด้วย ดูท่าทังเฮ่อเสียงมาคราวนี้เป็นการเอาจริงแล้วล่ะ”

ก่อนหน้านั้น ขณะที่ทังเฮ่อเสียงนำเอากองทัพขบวนเล็กมาที่เขาจิ่วเหลียนซานนั้น ด้วยชื่อเสียงและอิทธิพลที่คุกคามผู้คน ส่งผลให้บังเกิดความเคลื่อนไหวขึ้นมาไม่น้อย แต่มาวันนี้ทังเฮ่อเสียงพากองทัพขบวนเล็กเข้าไปยังทะเลสาบสีทองอย่างเงียบๆ กลับยิ่งทำให้ผู้คนรู้สึกหวาดหวั่นพรั่นพรึงมากยิ่งขึ้น ทำให้ผู้คนถึงกับร่างสั่นเทิ้มทีหนึ่ง

ทุกคนต่างอยู่ในอาการสงบ ขณะมองดูทังเฮ่อเสียงนำพากองกำลังเล็กๆ นี้เข้าไปยังทะเลสาบสีทองนี้เงียบๆ มองตามทังเฮ่อเสียงที่ก้าวเดินไปข้างหน้า

“เอาเถอะ ข้าก็มาทดสอบโชคชะตาสักหน่อย” จังหวะที่ทังเฮ่อเสียงเพิ่งจะเดินเข้าไปในทะเลสาบสีทองนั้น ปรากฏเสียงหัวเราะที่ดังขึ้นเสียงหนึ่ง มองเห็นชายหนุ่มผู้หนึ่งก้าวเท้าก้าวเดียวก็เข้าไปในทะเลสาบสีทอง

‘ดาบอริยะกวานไห่’ มีผู้ร้องเสียงหลงออกมาคำหนึ่ง เมื่อมองเห็นชายหนุ่มที่ก้าวเท้าเพียงก้าวเดียวก็เข้าไปอยู่ในทะเลสาบสีทอง

ขณะที่ดาบอริยะกวานไห่ก้าวเท้าก้าวเดียวเข้าไปในทะเลสาบสีทองนั้น เสมือนหนึ่งได้ยินเสียงตึงที่เป็นเสียงคำรามของดาบ ท่ามกลางเสียงคำรามของดาบที่ดังตึงนั้นปรากฎดาบยาวเล่มหนึ่งลอยอยู่ท่ามกลางทะเลสาบ ดาบอริยะกวานไห่ก้าวเท้าเหยียบลงบนดาบยาวเล่มนั้น โดยดาบยาวสีทองเล่มดังกล่าวได้บรรทุกดาบอริยะกวานไห่มุ่งหน้าไปในทะเลสาบ

หลังจากที่ดาบอริยะกวานไห่เพิ่งเข้าไปในทะเลสาบสีทองได้ไม่นาน ได้ยินเสียงแว้งค์ แว้งค์ แว้งค์ดังขึ้น ท่ามกลางทะเลสาบสีทองถึงกับมีดอกบัวสีม่วงอ่อนแต่ละต้นที่ผุดขึ้นมา โดยดอกบัวสีม่วงอ่อนแต่ละต้นที่ผุดขึ้นจากริมทะเลสาบทอดยาวตลอดไปยังกึ่งกลางของทะเลสาบ

ทุกคนยังไม่ทันได้สติกลับมา มองเห็นผู้หญิงคนหนึ่งลอยล่องมาถึง เสมือนหนึ่งเซียนที่ห่างไกลจากกิเลสก้าวเหยียบลงบนดอกบัวสีม่วงอ่อนนั่น ยามที่เท้าของนางเหยียบลงบนดอกบัวสีม่วงอ่อนได้ยินเสียงดัง0ดังขึ้นแผ่วเบา มองเห็นดอกบัวที่ค่อยๆ บานเบ่งขึ้นมาช้าๆ บริสุทธิ์เงียบสงบและงดงามสูงส่ง

ผู้หญิงคนนี้ก้าวไปบนดอกบัวสีม่วงอ่อนทีละก้าวๆ ขณะที่ดอกบัวสีม่วงอ่อนส่งเสียงบานเบ่งดังปุ ปุ ปุขึ้นมาแผ่วเบา ยามที่นางก้าวย่างไปแต่ละก้าว ดอกบัวสีม่วงอ่อนที่อยู่ใต้เท้าของนางก็จะเบ่งบานขึ้นมา ช่างงดงาม ช่างอยู่มนุษย์ปุถุชนธรรมดาอะไรอย่างนั้น เสมือนดั่งเทพธิดาที่ลงมายังโลกมนุษย์อย่างนั้น ในเวลานี้ทำให้ผู้คนจำนวนมากที่มองดูแล้วประหนึ่งมัวเมาและปัญญาวอ่อน

“ไม่ว่าจะเป็นเวลาใดก็ตาม เทพธิดาฉินก็จะล่องลอยดั่งเซียนเอยู่เหนือมนุษย์ปุถุชนธรรมดา หลุดพ้นจากกิเลสทั้งปวง งดงามจนไม่สามารถนำสิ่งใดมาเปรียบเทียบกันได้” ผู้คนจำนวนไม่น้อยมองดูฉินเจี้ยนเหยาที่ก้าวไปบนดอกบัวสีม่วงอ่อนทีละก้าวๆ ตรงเข้าไปยังทะเลสาบจนดั่งเป็นคนมัวเมาและปัญญาอ่อน ทำไห้ต้องชมเปาะด้วยความตื่นตะลึงไม่ขาดปาก

ขณะที่ฉินเจี้ยนเหยาไปถึงบริเวณกลางทะเลสาบนั้น ทังเฮ่อเสียง ดาบอริยะกวานไห่ได้อยู่ที่นั่นอยู่แล้ว พวกเขาต่างกล่าวคำทักทายซึ่งกันและกัน

ในเวลานี้เอง ปรากฏกลิ่นหอมโชยเข้ามาสายหนึ่ง มองเห็นผู้หญิงคนหนึ่งปรากฏอยู่ที่ริมทะเลสาบ นางก็คือปิงฉือหานยวี่นั่นเอง ข้างกายซ้ายขวาของนางมีผู้เฒ่าสองคนติดตามมาด้วย แม้ผู้เฒ่าทั้งสองจะสวมใส่ชุดสีเทาทั้งชุด และยืนเอามือทั้งสองทิ้งข้างลำตัว แต่ว่า ขณะที่พวกเขาลืมตาทั้งสองข้างขึ้นมานั้น ประกายตาดั่งวิ่งพรวดออกมาเหนือความคาดคิด ทำให้ผู้คนต้องตัวสั่นดั่งลูกนก ย่อมไม่ต้องสงสัยว่า ผู้เฒ่าสองคนนี้ก็คือระดับเทพแท้จริงที่แข็งแกร่งยิ่งนัก

ปิงฉือหานยวี่ที่ยืนอยู่ข้างทะเลสาบโยนของวิเศษสิ่งหนึ่งลงไปในทะเลสาบตามอารมณ์ ได้ยินเสียงดังช่าาาดังขึ้นมาเสียงหนึ่ง ของวิเศษปรากฏขึ้นมา มันคือเรือหยกลำใหญ่โตมากลำหนึ่ง โดยที่เรือหยกดังกล่าวมีความหรูหราและเปี่ยมด้วยกำลังอำนาจยิ่งนัก มีการแกะสลักภาพมังกรแลหงส์ เสมือนดั่งเป็นพาหนะสำหรับฮองเฮาอย่างนั้น ด้วยชื่อเสียงบารมีที่คุกคามผู้คน

ช่าาา ช่าาา ช่าาาท่ามกลางเสียงน้ำที่ดังขึ้นมาเป็รระลอก เรือหยกลำนี้ได้ทุกพวกของปิงฉือหานยวี่มุ่งหน้าไปยังกึ่งกลางของทะเลสาบ โดยมีปิงฉือหานยวี่ที่ยืนโต้ลมอยู่บนหัวเรือ สุภาพเยือกเย็นงดงามสูงส่ง เสมือนดั่งฮองเฮาออกตรวจราชการอย่างนั้น

“เป็นความจริงที่องค์หญิงหานยวี่มีท่าทีของความเป็นฮองเฮา” ผู้คนจำนวนไม่น้อยต้องชมเปาะด้วยความตื่นตะลึง เมื่อมองเห็นท่าทางปิงฉือหานยวี่ที่สุภาพเยือกเย็นงดงามสูงส่งอันเป็นคุณสมบัติเฉพาะตัวของนาง ขณะเดียวกันความมีเสน่ห์ที่สวยหยาดเยิ้ม และอวบอัดก็ทำให้ผู้ชายกลุ่มคนรุ่นใหม่จำนวนไม่จ้องต้องเคลิบเคลิ้มหลงใหล ด้วยความงดงามที่มีมาแต่กำเนิดเช่นนี้ ทำให้ผู้คนจำนวนเท่าไรที่ต้องการครอบครองนาง

เมื่อปิงฉือหานยวี่ไปถึงกลางทะเลสาบนั้น ทังเฮ่อเสียง ดาบอริยะกวานไห่ และฉินเจี้ยนเหยาต่างก็กล่าวทักทายกับนาง

“ขอแสดงความยินดีที่ราชันแท้จริงปาเจิ้นได้บรรลุค่ายกลโบราณ” ฉินเจี้ยนเหยาที่มีท่วงท่าดั่งเซียนกล่าวว่า “เมื่อค่ายกลโบราณของราชันแท้จริงสำแดงขึ้นมา รับรองว่าจะต้องเพิ่มท่วงทีที่มีความสง่างามให้กับระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่ได้ไม่น้อยเลยทีเดียว”

“คำกล่าวของเทพธิดาฉินเกรงใจเกินไปแล้ว” ปิงฉือหานยวี่ที่สวยหยาดเยิ้มสุดๆ กล่าวว่า “สถานการณ์ในอนาคตยังต้องอาศัยเทพธิดาฉินให้การสนับสนุนอยู่บ้าง”

ฉินเจี้ยนเหยาพยักหน้าเบาๆ และไม่ได้กล่าวมากความอีก

“พลันที่ค่ายกลโบราณของราชันแท้จริงปาเจิ้นสำแดงออกมา เกรงว่าข้าก็คงมีแต่ต้องหนีไปสถานเดียวแล้ว” หลังจากที่ดาบอริยะกวานไห่กล่าวทักทายแล้ว หัวเราะพลางและเอ่ยขึ้นมา

“ดาบอริยะพูดล้อเล่นแล้วล่ะ วิถีดาบของดสบอริยะปราศจากผู้ต่อกรในหล้า เทียนจือเคยพูดกับข้าว่า เขาเทิดทูนในวิถีดาบที่เป็นหนึ่งไม่มีสองของดาบอริยะเป็นอันมาก” แม้ปิงฉือหานยวี่จะเป็นองค์หญิงของตระกูลขุนนางโบราณ มีนิสัยที่ดื้อรั้นของความเป็นองค์หญิง แต่ในขณะนี้กลับแสดงออกถึงความสง่างามเปิดเผยและตรงไปตรงมา รู้จักกาลเทศะได้อย่างพอเหมาะพอเจาะ

ดาบอริยะกวานไห่หัวเราะเสียงดัง โดยไม่ได้ถือเป็นเรื่องจริงจัง

“ขอแสดงความยินดีที่พี่เทียนจือบรรลุค่ายกลโบราณได้” แม้แต่ทังเฮ่อเสียงที่เป็นคู่แข่งของราชันแท้จริงปาเจิ้นก็แสดงออกถึงความใจกว้าง กล่าวแสดงความยินดีต่อปิงฉือหานยวี่

ปิงฉือหานยวี่ก็แสดงออกได้ดีเยี่ยม ด้วยท่าทีที่งดงามที่สุดในหล้า ทำให้ผู้คนต้องเลื่อมใสอย่างหมดใจ

“เป็นความจริงที่องค์หญิงหานยวี่มีความงดงามสูงส่งที่เป็นหนึ่งไม่มีสอง คงมีเพียงราชันแท้จริงปาเจิ้นที่เป็นอัจฉริยะบุคคลเท่านั้นที่คู่ควรกับสุดยอดสตรีเช่นนางได้” มีผู้ที่ชมเปาะด้วยความตื่นตะลึง และกล่าวด้วยความอิจฉา

จังหวะที่พวกของฉินเจี้ยนเหยา ปิงฉือหานยวี่กำลังทักทาบปราศรัยกันและกันอยู่นั้น หลี่ชิเย่ก็ได้พาหลิ่วชูฉิงมาถึงริมทะเลสาบสีทองแล้ว

“ฮ่องเต้องค์ใหม่มาแล้ว ฮ่องเต้องค์ใหม่มาแล้ว” ไม่รู้ว่าใครที่ร้องกล่าวด้วยความตื่นตระหนกเมื่อมองเห็นหลี่ชิเย่ ในเวลานี้คู่ดวงตาไม่รู้จำนวนเท่าไรต่างตกไปอยู่ที่ตัวของหลี่ชิเย่

หากเป็นอดีตเมื่อพบเห็นหลี่ชิเย่ ไม่ว่าใครก็สามารถแสดงออกถึงความเหยียดหยามอยู่สามส่วน กระทั่งจะพูดคำพูดที่เหยียดหยามหลายๆ คำด้วยเสียงแผ่วเบาขึ้นมา เป็นต้นว่าฮ่องเต้ทรราชอะไรนั่น ประเภทไม่สามารถเยียวยาได้ พวกสวะ…เป็นต้น

แต่ทว่า หลังจากการศึกล้างด้วยเลือดที่ป่าหินแล้ว ทำให้ผู้คนตระหนักได้ว่าฮ่องเต้องค์ใหม่หาใช่เป็นเพียงฮ่องเต้ทรราชคนหนึ่งเท่านั้น ยังเป็นฮ่องเต้โหดอีกด้วย ภายใต้วิธีการที่โหดร้ายทารุณและปณิธานที่แข็งกร้าว ทำให้ผู้คนจำนวนมากต้องเงียบกริบ ไม่มีสักกี่คนที่หาญกล้าวิพากวิจารณ์ฮ่องเต้องค์ใหม่โดยง่ายดาย

ในเวลานี้ ผู้คนจำนวนไม่น้อยต่างกลั้นลมหายใจและจ้องเขม็งไปที่ฮ่องเต้องค์ใหม่ ทุกคนต่างต้องการรู้ว่าน้ำในทะเลสาบเปลี่ยนสีในครั้งนี้ ฮ่องเต้องค์ใหม่จะมีวิธีการเช่นใด

หลี่ชิเย่ที่ยืนอยู่ริมทะเลสาบเพียงหัวเราะทีหนึ่งและกล่าวว่า “น้ำในทะเลสาบลึกถึงขนาดนี้ คงไม่ปล่อยให้ข้าต้องข้ามไปแบบนี้กระมัง เกิดพลาดพลั้งข้าจมน้ำตายอยู่ในทะเลสาบจะทำอย่างไร?”

เมื่อฮ่องเต้องค์ใหม่ได้กล่าวคำๆ นี้ขึ้นมา ทำเอาทุกคนต่างมองหน้ากันและกัน

ช่าาา ช่าาา ช่าาา ช่าาาจังหวะที่หลี่ชิเย่พูดขาดคำ ในทะเลสาบพลันปรากฏร่างเงาแต่ละองค์ขึ้นมา ร่างเงาแต่ละองค์ล้วนแล้วแต่ดูสูงใหญ่ยิ่งนัก เท้าเหยียบพสุธา หัวดันท้องห้า แม้แต่ทะเลสาบแห่งนี้ก็สามารถท่วมไปถึงบริเวณน่องของร่างเงาแต่ละองค์เท่านั้น

เวลาที่ร่างเงาที่สูงใหญ่ยิ่งเหล่านี้ลุกขึ้นยืน เปี่ยมด้วยอำนาจบารมีสยบผู้คน เสมือนหนึ่งเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์แต่ละองค์ที่ปราศจากผู้ต่อกรในหล้ายืนอยู่ตรงนั้นอย่างนั้น

“นี่มันคืออะไร…” ผู้คนจำนวนไม่น้อยมองเห็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ลักษณะเช่นนี้แต่ละองค์ที่ยืนอยู่ท่ามกลางทะเลสาบ ด้วยอำนาจบารมีสยบผู้คน อยู่เหนืออาณาจักรทั้งปวงจนขาทั้งสองข้างสั่นเทา

ช่าาาเสียงน้ำดังขึ้น ภายในทะเลสาบปรากฏเป็นสะพานหยกขึ้นมาสะพานหนึ่ง โดยสะพานหยกสะพานนี้แกะสลักขึ้นมาอาศัยหยกศักดิ์สิทธิ์ที่โบราณและล้ำค่ายิ่ง สะพานทั้งสะพานตลบอบอวลไปด้วยกลิ่นอายที่ขมุกขมัว เมื่อสะพานหยกลักษณะเช่นนี้ทอดยาวอยู่บนทะเลสาบ เสมือนดั่งสามารถเชื่อมต่อไปยังแดนเซียนได้อย่างนั้น ให้ความรู้สึกที่ดูศักดิ์สิทธิ์ไม่อาจล่วงละเมิดได้

ช่าาา…นาทีนี้เอง ปรากฏเสียงน้ำที่ดังขึ้น ฟองคลื่นแตกกระจาย สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่สูงใหญ่แต่ละองค์พลันคุกเข่าลงกับทะเลสาบโดยตรง ใช้เมือทั้งสองยกเอาสะพานหยกขึ้นมา

“ฝ่าบาทเสด็จ…” เสียงทุ้มต่ำเสียงหนึ่งดังขึ้น เสมือนดั่งมีกองทพหารเป็นหมื่นเป็นพันคอยอารักขาอย่างนั้น ในพริบตาเดียวนั่นเอง ทุกคนต่างเกิดเป็นมโนภาพขึ้นมา เสมือนดั่งเป็นฮ่องเต้ที่มีอำนาจสูงสุดออกตรวจราชการ ไปยังเก้าชั้นฟ้าสิบแดนดิน สิ่งศักดิ์สิทธิ์เหล่าชั้นฟ้าล้วนแล้วแต่ต้องคุกเข่าอยู่กับพื้นให้การต้อนรับ สร้างความหวั่นไหวต่อจิตใจผู้คนมากเหลือเกิน

…….

Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *