Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล 1756 เมืองฉีหลิน

Now you are reading Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล Chapter 1756 เมืองฉีหลิน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 1756 เมืองฉีหลิน
สือโส่วพาเสิ่นเสี่ยวซัน และเฮ่อเฉินติดตามหลี่ชิเย่มาถึงเมืองฉีหลิน ขณะมองดูเมืองฉีหลินจากระยะห่างไกลนอกเมืองฉีหลิน ถึงกับทำให้ผู้คนต้องหวั่นไหวกับความยิ่งใหญ่ของมัน

เมืองฉีหลินถูกสร้างขึ้น ณ บริเวณป่าที่เปลี่ยวและกว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตาแห่งหนึ่ง อาณาบริเวณของเมืองฉีหลินครอบคลุมพื้นที่ราวหนึ่งหมื่นลี้ มองเห็นกำแพงเมืองฉีหลินที่สูงเทียมฟ้า ก่อสร้างขึ้นมาด้วยโลหะวิเศษส่งประกายเยือกเย็นระยิบระยับ ด้วยกำแพงเมืองที่มีความแข็งแรงเช่นนี้ สามารถต้านการรุกล้ำเข้ามาของสัตว์บกและสัตว์ปีกดุร้ายที่อยู่นอกเมือง

เมื่อเปรียบเทียบระหว่างป่าเปลี่ยวนอกเมืองกับภายในเมืองแล้ว จะเห็นได้ว่าภายในเมืองมีความคึกครื้นที่ไม่ธรรมดา เป็นโลกที่กว้างใหญ่มาก ภายในเมืองไม่เพียงมีภูเขาที่ทอดยาวขึ้นลงขณะเดียวกันภายในเมืองยังปรากฎตึกรามบ้านช่องที่เรียงกันเป็นตับอย่างหนาแน่น ขณะเดียวกัน ถนนหนทางแต่ละสายที่สร้างขึ้นโดยปูด้วยหินเชื่อมต่อไปยังภูเขาและหุบเขา ยังมีสะพานยาวที่ทอดข้ามระหว่างภูเขาลูกหนึ่งกับหุบเขาไปยังภูเขาอีกลูกหนึ่ง

ภายในเมืองฉีหลินสามารถมองเห็นตึกปลูกสร้างขึ้นโดยอิงกับภูเขา และยังมีวิหารขนาดใหญ่ที่สร้างอยู่บนยอดเขา ยิ่งกว่านั้น ยังมีหอโบราณที่แขวนอยู่บนท้องฟ้า…ซึ่งนับเป็นสิ่งประดับให้กับเมืองฉีหลิน ทำให้ภาพรวมของเมืองฉีหลินแลดูมีความเจริญรุ่งเรืองยิ่งและใหญ่โตอลังการ

บนถนนหนทาง บนสะพานที่ทอดยาวเนืองแน่นไปด้วยผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมา แลดูคึกคักยิ่งนัก หลายคนที่เพิ่งได้เคยมาที่เมืองฉีหลินเป็นครั้งแรก ก็จะตะลึงหวั่นไหวกับความเจริญรุ่งเรืองอลังการ และเป็นสิ่งหนึ่งที่ทำให้ติดตรึงใจยิ่งนัก

“เมืองฉีหลิน” หลี่ชิเย่มองดูเมืองฉีหลินแล้วถึงกับปลงอนิจจัง เรื่องบางเรื่อง บุคคลบางคน เวลานี้ล้วนแล้วแต่ผุดขึ้นมากลางใจ

ชิงโจวมีสถานะเป็นแหล่งพักอาศัยที่ใหญ่เป็นอันดับสองของร้อยชาติพันธุ์ ผืนแผ่นดินผืนนี้เคยทิ้งร่องรอยที่เป็นรอยเท้าของอีกาทมิฬเอาไว้ ขณะเดียวกัน เมืองฉีหลินก็มีรอยเท้าของเขาทิ้งเอาไว้เช่นกัน

เมื่อเสิ่นเสี่ยวซันมองเห็นท่าทางของหลี่ชิเย่แล้วถึงกับเอ่ยถามขึ้นมาว่า “คุณชายเคยมาที่เมืองฉีหลินรึ?”

เวลานี้เสิ่นเสี่ยวซันเคยชินการการเรียกเช่นนี้กับหลี่ชิเย่แล้ว หากเป็นอดีตให้นางเรียกคนที่เป็นเพียงมนุษย์ปุถุชนธรรมดาคนหนึ่งคงเป็นเรื่องที่เหลือเชื่อ แต่ว่า เวลานี้นางรู้สึกว่าไม่เห็นจะไม่เหมาะสมตรงไหน

แน่นอน เฮ่อเฉินย่อมมีความเห็นต่างกับการที่ศิษย์พี่สาวเรียกขานเช่นนี้ แต่เมื่อศิษย์พี่ยืนยันจะทำเช่นนี้ เฮ่อเฉินเองก็จนด้วยเกล้า ทำได้แค่รู้สึกไม่สบอารมณ์ยิ่งต่อหลี่ชิเย่เท่านั้น

“เคยมาหลายครั้ง” หลี่ชิเย่กล่าวเอ้อระเหยเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น พวกของเสิ่นเสี่ยวซันย่อมไม่รู้ว่าเขาเคยสร้างวีรกรรมที่ลือลั่นสะเทือนฟ้าดินบนผืนแผ่นดินผืนนี้มา

“เช่อะ จะคุยโตโอ้อวดก็ไม่คิดให้รอบคอบเสียก่อน” เฮ่อเฉินส่งเสียงแสดงความรู้สึกดูแคลนออกมา และกล่าวว่า “ระยะทางจากแคว้นซีถัวมายังเมืองฉีหลินห่างไกลยิ่งนัก อย่าว่าแต่เจ้าที่เป็นเพียงมนุษย์ปุถุชนธรรมดาคนหนึ่งเลย ต่อให้เป็นผู้บำเพ็ญตนธรรมดาคนหนึ่งทั้งชาติก็เป็นไปไม่ได้ที่จะเดินทางจากแคว้นซีถัวไปถึงเมืองฉีหลินได้! ขอร้อง คราวหน้าหากคิดจะโอ้อวดล่ะก็ ทางที่ดีควรให้มันรอบคอบสักหน่อย อย่าให้เขาจับได้ง่ายๆ”

คำพูดของเฮ่อเฉินใช่จะไม่มีเหตุผล การเดินทางจากสำนักต้นไม้เหล็กมาที่เมืองฉีหลิน ถ้าหากลำพังอาศัยสือโส่วที่เป็นอาจารย์อาของพวกเขาพาเหาะเหินไปก็ต้องใช้เวลาที่ยาวนานมาก ดังนั้น พวกเขาจึงต้องอาศัยทางผ่านจากสำนักเจ้าลัทธิ โดยใช้เงินแลกกับการอาศัยประตูมิติส่งพวกเขาไปยังบริเวณใกล้เคียงของเมืองฉีหลิน มิฉะนั้นล่ะก็ พวกเขาต้องใช้เวลานานมากๆ จึงจะไปถึงเมืองฉีหลินได้

“ศิษย์น้อง พูดแบบนี้ก็ไม่ถูก” เสิ่นเสี่ยวซันกลับเชื่อในคำพูดของหลี่ชิเย่โดยไม่สงสัย นางกล่าวปกป้องหลี่ชิเย่ว่า “ท่านมีความรู้ไร้ผู้เทียบเทียม สามารถได้รับการยอมรับให้ความสำคัญทุกที่ ด้วยความสามารถของท่าน การจะขอประตูมิติเพื่อไปยังเมืองฉีหลิน เกรงว่าคงมีสำนักเจ้าลัทธิที่ยินยอม”

“ฮึ คำพูดแบบนี้ใครจะเชื่อ แค่มนุษย์ปุถุชนธรรมดาคนหนึ่งคิดจะได้รับการยอมรับให้ความสำคัญจากสำนักเจ้าลัทธิ ไหนเลยจะง่ายดายปานนั้น” เฮ่อเฉินถึงกับส่งเสียงแสดงความไม่พอใจออกมา และรู้สึกไม่สบอารมณ์ยิ่งนัก กับการที่ศิษย์พี่เหมือนต้องมนต์สะกดให้ความเคารพและคล้อยตามหลี่ชิเย่ถึงเพียงนี้ และเขาก็รู้สึกว่ามันไม่น่าเป็นไปได้

เนื่องจากเฮ่อเฉินไม่ได้อยู่ข้างกายหลี่ชิเย่ และสัมผัสกับหลี่ชิเย่น้อยมากเขาจึงไม่สามารถเข้าใจในตัวของหลี่ชิเย่ได้ ดังนั้น เขาจึงมองว่าทั้งอาจารย์และศิษย์พี่ต่างให้เความเคารพต่อหลี่ชิเย่ถึงเพียงนี้คล้ายดั่งต้องมนค์สะกดอย่างนั้น นับเป็นเรื่องที่เหลือเชื่อจริงๆ

เพียงแต่อาจารย์มีคำสั่งเอาไว้ก่อนหน้า ต่อให้เฮ่อเฉินไม่สบอารมณ์อย่างไรก็ไม่กล้าทำอะไรกับหลี่ชิเย่ อย่างมากแค่อาศัยคำพูดที่เชือดเฉือนเท่านั้น

แน่นอนที่สุด หลี่ชิเย่เพียงยิ้มเฉยเมยกับคำพูดของเฮ่อเฉิน ขี้คร้านจะไปสนใจ

“พวกเราเข้าไปในเมืองหาที่พักเอาไว้ก่อน รอให้ศิษย์พี่มาสมทบกับพวกเรา” สือโส่วในฐานะอาจารย์อา แม้ว่าจะพูดน้อยแต่ผู้เยาว์ยังคงเคารพเขามาก ดังนั้น หลังจากที่เขาพูดคำๆ นี้ออกมาแล้ว เฮ่อเฉินก็ไม่อยากทะเลาะกับศิษย์พี่อีกต่อไป ติดตามสือโส่วเข้าไปในเมือง

สือโส่วพาพวกของหลี่ชิเย่เข้าไปในเมืองฉีหลิน พลันที่ก้าวเท้าเข้าไปยังเมืองฉีหลินก็สามารถรับรู้ถึงความคึกคักของเมืองฉีหลินได้ทันที โลกของมนุษย์ปุถุชนที่กว้างใหญ่มากโชยเข้ามาปะทะใบหน้า ภาพความเจริญรุ่งเรืองของเมืองฉีหลินสามารถดึงดูดยอดฝีมือผู้บำเพ็ญตนจำนวนมากได้ลึกซึ้งอย่างแท้จริง โดยเฉพาะบรรดาผู้บำเพ็ญตนที่มาจากสำนักขนาดเล็กคงเที่ยวเพลินจนลืมกลับบ้านเลยทีเดียว

ความจริงแล้วนับแต่อดีตเป็นต้นมา มีผู้คนจำนวนเท่าไรที่จิตบำเพ็ญเพียรต้องสั่นคลอนอัน เนื่องจากเมืองมนุษย์ปุถุชนขนาดใหญ่เช่นนี้ จนลืมและละเลยการบำเพ็ญเพียร ดิ้นทุรนทุรายอยู่ท่ามกลางโลกีย์มนุษย์โดยที่ทักษะด้านบำเพ็ญเพียรไม่ขยับแม้แต่น้อย

ถึงแม้เสิ่นเสี่ยวซัน และเฮ่อเฉินสองศิษย์พี่ศิษย์น้องจะไม่ได้มาที่เมืองฉีหลินเป็นครั้งแรก แต่ว่าความเจริญรุ่งเรืองและความน่าเกรงขามของเมืองฉีหลินยังคงเต็มไปด้วยความน่าสนใจ พวกเขาถึงกับต้องมองดูมากเป็นพิเศษ เสิ่นเสี่ยวซันที่เป็นผู้หญิงยังมีความสำรวมอยู่บ้าง ขณะที่เฮ่อเฉินไม่มีความสำรวมเลย ต่อให้ตัวเขาที่มีความหยิ่งยโสในตัวอยู่บ้าง เวลานี้ก็เสมือนดั่งเป็นบ้านนอกเข้ากรุงเป็นครั้งแรกอย่างนั้น ถึงกับมองซ้ายแลขวา ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนแล้วแต่เต็มไปด้วยความน่าสนใจ

สือโส่วที่อยู่ในฐานะผู้อาวุโสดีกว่าเสิ่นเสี่ยวซันและเฮ่อเฉินมากทีเดียว อย่างไรเสียเขาเคยมาที่เมืองฉีหลินมากครั้งกว่าผู้เยาว์ทั้งสองมาก ยิ่งไปกว่านั้น ด้วยอายุของเขาจึงทำอะไรดูมีความเป็นผู้ใหญ่และหนักแน่นกว่า แม้จะเป็นเช่นนี้ก็ตาม เมื่อพบเจอเรื่องของของวิเศษประหลาดเขาก็อดที่จะเข้าไปมองดูบ้างไม่ได้

ขณะที่หลี่ชิเย่ที่พวกเขามองว่าเป็นเพียงมนุษย์ปุถุชนธรรมดาเมื่อเปรียบกับพวกของสือโส่วสามคนแล้ว กลับดูสงบนิ่งกว่ากันมาก การก้าวเดินบนถนนหนทางของเมืองฉีหลินของหลี่ชิเย่นั้น ดุจดั่งเดินเล่นในสวนหลังบ้านของตน มีความเป็นอิสระและตามอารมณ์ กล่าวสำหรับเขาแล้ว เมืองฉีหลินไม่มีอะไรแปลกใหม่ เมืองโบราณที่ใหญ่กว่าเมืองฉีหลินมากกว่าและสะเทือนหวั่นไหวมากกว่าเขาก็เห็นมามากแล้ว

สุดท้าย สือโส่วได้พาพวกของหลี่ชิเย่เช่าเหมาห้องที่มีลานบ้านเล็กๆ ในโรงเตี้ยมที่ไม่เล็กและไม่ใหญ่แห่งหนึ่งเป็นที่พัก

แน่นอน ในเมืองฉีหลินยังมีโรงเตี้ยมที่ใหญ่และหรูหรากว่านี้ เพียงแต่สำนักต้นไม้เหล็กเป็นเพียงสำนักขนาดเล็กเท่านั้นเอง ไม่สามารถเข้าพักโรงเตี้ยมแบบนั้นได้อยู่แล้ว ต่อให้สามารถเข้าพักในโรงเตี้ยมที่มีระดับสูงเช่นนั้นได้จริงก็ดูเป็นการเอิกเกริกมากเกินไป ไม่เหมาะกับสำนักขนาดเล็กเช่นสำนักต้นไม้เหล็ก ดังนั้น โรงเตี้ยมที่ไม่เล็กไม่ใหญ่เกินไปจึงมีความเหมาะสมยิ่งนัก

“ไปเถอะ ออกไปเดินเล่นกัน” หลังจากชำระล้างกายาเรียบร้อยแล้ว หลี่ชิเย่ได้สั่งการกับเสิ่นเสี่ยวซันที่ปรนนิบัติตนออกไปตามอารมณ์

“คุณชายจะไปไหน?”

“เดินเรื่อยเปื่อยไปอย่างนั้น” หลี่ชิเย่ยิ้มกล่าวว่า “ไหนๆ ก็มาถึงเมืองฉีหลินที่เจริญรุ่งเรืองแล้ว ย่อมต้องซื้อหาจำพวกอาวุธอะไรทำนองนั้นแหละ”

เมื่อเสิ่นเสี่ยวซันได้ยินคำพูดเช่นนี้ ถึงกับตะลึงนิดหนึ่ง จากนั้นพูดขึ้นมาเบาๆ ว่า “การซื้อขายในเมืองฉีหลิน ส่วนใหญ่แล้วอาศัยศิลาขมุกขมัว ไม่ใช่ประเภทเงินทอง”

คำพูดของเสิ่นเสี่ยวซันพูดได้ดีมาก นางเกรงว่าหลี่ชิเย่จะไม่มีเงินอยู่ในกระเป๋า จึงอาศัยวิธีการที่ล้ำเลิศกล่าวเตือนหลี่ชิเย่ และนางไม่ต้องการเห็นหลี่ชิเย่ต้องลำบากใจ

สิ่งนี้นับว่ายากจะจินตนาการได้ว่า ผู้อยู่ตรงหน้าที่มีจิตระเอียดอ่อน เอาใจใส่กลับเป็นเสิ่นเสี่ยวซันคนที่หยิ่งยโสคนนั้น

“ข้ารู้ และในกระเป๋าข้าก็ไม่มีศิลาขมุกขมัวด้วย วางใจเถอะ หากข้าคิดจะกินฟรีในเมืองฉีหลินล่ะก็ไม่มีคำว่าทำไม่ได้” หลี่ชิเย่ย่อมเข้าใจในความหมายของเสิ่นเสี่ยวซัน และพูดหัวเราะขึ้นมา

เสิ่นเสี่ยวซันงงงันนิดหนึ่ง กินฟรี นี่มันเมืองฉีหลินเลยนะ แต่ว่า เมื่อนางได้สติกลับมาหลี่ชิเย่ได้ออกเดินไปแล้ว นางจึงรีบตามไปให้ทัน และเดินอยู่ข้างกายหลี่ชิเย่

เฮ่อเฉินแทบจะอดทนไม่ไหวและอยากจะออกไปเดินเที่ยวนานแล้ว เพียงแต่มาคราวนี้พวกเขาติดตามหลี่ชิเย่มารับการทดสอบ ดังนั้น หากไม่มีคำสั่งของผู้อาวุโสเขาก็ไม่กล้าออกไปเที่ยวโดยลำพังคนเดียว

เวลานี้หลี่ชิเย่ต้องการออกไป ย่อมเป็นความปรารถนาของเขาอยู่แล้ว ไม่สนใจว่าหลี่ชิเย่จะมีปัญหาหรือไม่ รีบเร่งวิ่งตามไป

สือโส่วได้แต่ติดตามพวกของหลี่ชิเย่ออกไปด้วยกัน หน้าที่ของเขาก็คือคอยคุ้มครองความปลอดภัยให้กับหลี่ชิเย่ ดังนั้น เขาจึงไม่กล้าปล่อยให้หลี่ชิเย่ออกไปโดยลำพัง หากเกิดเรื่องอะไรขึ้นเขาก็จะอธิบายต่อศิษย์พี่ของเขาไม่ได้

หลี่ชิเย่พาพวกของสือโส่วเดินอยู่ท่ามกลางถนนของเมืองฉีหลิน เดินไปพลาง ดูไปพลางเหมือนไม่มีจุดหมายที่แน่นอน แค่เดินสุ่มๆ ไปอย่างนั้น

แน่นอน การที่หลี่ชิเย่ออกมาย่อมไม่ได้ต้องการเดินสุ่มๆ ไปอย่างนั้น เขาต้องการไปยังสถานที่แห่งหนึ่ง เพียงแต่ว่าไหนๆ ก็ออกมาแล้วเลยถือโอกาสว่าจะได้ของวิเศษอะไรบ้างหรือไม่ แต่ว่า ในเวลานี้สิ่งที่สามารถเข้าตาหลี่ชิเย่ได้คงมีอยู่ไม่มาก

ดังนั้น จากการที่เดินเรื่อยมาแม้ว่าจะพบเห็นของดีอยู่ไม่น้อย แต่ว่า หลี่ชิเย่ไม่ได้ให้ความสนใจ ไม่สามารถทำให้หลี่ชิเย่มีอารมณ์อยากจะลงมือ

กลับเป็นเฮ่อเฉินเสียอีกที่เดินดูอย่างออกรสออกชาติ กระทั่งในบางครั้งเสิ่นเสี่ยวซันที่มีความสำรวมอยู่ในทีก็เกิดหวั่นไหวขึ้นมา เมื่อเห็นแผงค้าเล็กๆ ที่ขายของจำพวกของวิเศษ

เพียงแต่สำนักต้นไม้เหล็กเป็นสำนักขนาดเล็ก ต่อให้เป็นศิษย์พี่อย่างเสิ่นเสี่ยวซันก็มีเงินสำหรับใช้จ่ายในมือไม่มากนัก เมื่อเทียบกับศิษย์ของสำนักเจ้าลัทธิแล้วเรียกว่าช่างน่าอายเหลือเกิน

“เร่เข้ามาๆ ทุกคนดูนี่ นี่เป็นตัวอ่อนที่ได้มาจากซากของกระเรียนเทพตัวหนึ่ง มันคือสิ่งที่มีชื่อว่าตัวอ่อนเทียนฟง สามารถนำมาสร้างเป็นดาบโค้งได้ เวลานี้ฐานะทางบ้านย่ำแย่ ขอขายเพียงศิลาขมุกขมัวระดับครุสัจธรรมห้าร้อยเม็ด ใครที่เดินผ่านไปผ่านมา อย่าพลาดโอกาสเด็็็ดขาด” ขณะที่เดินผ่านแผงขนาดเล็กแผงหนึ่ง พ่อค้ากำลังโฆษณาขายตัวอ่อนในครรภ์ที่ส่งประกายแวววับละลานตา และมีลักษณะโค้งเหมือนรูปจันทร์เสี้ยว

แม้แต่เสิ่นเสี่ยวซันก็รู้สึกหวั่นไหวขึ้นมาเมื่อเห็นตัวอ่อนนี้เข้า เวลานี้นางถึงกับถูกดึงดูดใจจนไม่อาจละสายตาไปจากของชิ้นนั้น อีกทั้งราคาศิลาขมุกขมัวระดับครุสัจธรรมห้าร้อยเม็ดยังเป็นราคาที่นางสามารถรับได้

“เทพธิดา ซื้อเอาไว้ดีไหม? นี่เป็นวาสนาที่พบเห็นได้ยากในรอบห้าหมื่นปีเลยนะ” สายตาของพ่อค้าผู้นี้แหลมคมมาก เขารู้ทันทีว่าเสิ่นเสี่ยวซันถูกของสิ่งนี้ดึงดูดใจเข้าให้แล้ว จึงรีบเร่งเสนอขายต่อเสิ่นเสี่ยวซันทันที

หลี่ชิเย่ดึงตัวเสิ่นเสี่ยวซันให้มาอยู่ข้างกายในทันที มองดูพ่อค้าด้วยท่าทีเรียบเฉย และกล่าวว่า “เป็นฝีมือการทำปลอมที่หยาบมาก ครั้งหน้าหากจะโรยผงผลึกลงบนหินฟลูออไรด์อย่าให้มันมากเกินไปนัก แค่หนึ่งในสามก็พอ ประกายผลึกแสบตาและหยาบขนาดนี้ ผู้ที่เคยเห็นตัวอ่อนเทียนฟงมาก่อนต่างก็รู้ว่ามันเป็นของปลอม”

พ่อค้าผู้นี้พลันมีสีหน้าที่เปลี่ยนไป เมื่อได้ยินคำพูดเช่นนี้ของหลี่ชิเย่ ถึงกับก้าวถอยหลังไปหนึ่งก้าว

พวกของเสิ่นเสี่ยวซันถึงกับตกใจเป็นยิ่งนัก แม้แต่สือโส่วก็รู้สึกตระหนก เนื่องจากเขาเองก็ดูไม่ออกว่าตัวอ่อนนี้เป็นของปลอม

Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *