Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล 1761 เซิ่นเหล่าลิ่ว

Now you are reading Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล Chapter 1761 เซิ่นเหล่าลิ่ว at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 1761 เซิ่นเหล่าลิ่ว
หลังจากที่ชายหนุ่มท่าทางเหมือนพ่อค้าผู้นี้เดินเข้ามาแล้ว เขายิ้มตาหยีมองซ้ายมองขวา มองดูหลี่ชิเย่ แล้วก็มองดูพวกของสือโส่ว เป็นท่าทีของปรองดองก่อเกิดทรัพย์โดยแท้ ไม่ได้มีทีท่าต้องการหาเรื่องอย่างสิ้นเชิง

“พี่น้องของข้าบอกว่าได้พบผู้มีฝีมือสูงส่งเสียแล้ว ข้าเหล่าลิ่วไร้ความสามารถจึงมาขอพบเจอผู้มีฝีมือสูงส่งว่ามีหน้าตาเช่นใด” ชายหนุ่มพุงป่องผู้นี้กล่าวยิ้มตาหยีขึ้นมา

“เจ้าคิดจะทำอะไร!” เวลานี้ พวกของสือโส่วรู้สึกเย็นวาบในใจ รู้ว่าเรื่องนี้ยากจะจบลงด้วยดี แต่สือโส่วก็ไม่ต้องการแสดงท่าทีที่อ่อนแอกล่าวเสียงทุ้มต่ำออกมา

“ไม่ทำอะไร ไม่ทำอะไร” ชายหนุ่มทำยิ้มตาหยีและกล่าวว่า “พรรคอันธพาลพวกเราอาศัยที่ดินน้อยนิดในเมืองฉีหลินทำมาหากินเล็กๆ น้อยๆ พี่น้องทั้งหลายล้วนแล้วแต่เป็นชนชั้นล่างที่มีความเป็นอยู่อย่างยากลำบาก การจะหากินไม่ง่าย ไม่ง่ายนัก ช่วงเวลาที่ลำบากยังต้องแย่งกระดูกกับสุนัขที่หิวโหย”

คำพูดของชายหนุ่มทำให้พวกของสือโส่วถึงกับมองหน้ากันและกัน มีใครกันนะที่ตั้งชื่อพรรคของตนว่าพรรคอันธพาล? ฟังดูแล้วไม่สามารถนำมาอวดอ้างแม้แต่น้อย หัวมังกุท้ายมังกรชัดๆ

แต่ทว่า พวกของสือโส่วสามคนในเวลานี้ก็ไม่กล้าประมาท แม้ว่าหลายสิบคนที่ล้อมพวกเขาเอาไว้จะแต่งกายด้วยชุดของพ่อค้าและสมุนรับใช้ แต่รับรองว่าต้องเป็นผู้บำเพ็ญตนของแท้แน่นอน

“จากนั้นหละ” เฮ่อเฉินระงับอารมณ์เอาไว้ไม่ได้ จึงเอ่ยขึ้นขณะที่ชายหนุ่มไม่พูดต่อ

“พรรคอันธพาลของพวกเราได้สร้างชื่อเสียงเอาไว้ในเมืองฉีหลินอย่างยากเย็น ในเมืองฉีหลินขื่อเสียงพรรคอันธพาลพวกเรานับว่ายอดเยี่ยมมาก ความน่าเชื่อถือที่ยาวนานมาห้าหมื่นปีทุกคนต่างให้ความเชื่อถือ เรียกได้ว่าไม่มีการหลอกลวงใดๆ ทั้งสิ้น” ชายหนุ่มผู้นี้ยิ้มตาหยี และกล่าวว่า “แต่ว่า พวกเจ้ากลับใส่ร้ายพี่น้องของข้าว่าขายของปลอม ทำให้ชือเสียงของพรรคอันธพาลเสียหาย และทำให้พี่น้องข้าต้องเสียความรู้สึก ดังนั้น เรื่องนี้ข้าเซิ่นเหล่าลิ่วอยู่เฉยไม่ได้”

“เจ้าคิดจะทำอะไร?” สือโส่วกล่าวเสียงทุ้มต่ำออกมา

“ไม่ทำอะไร ไม่ทำอะไร” เซิ่นเหล่าลิ่วยิ้มตาหยีและกล่าวว่า “พรรคอันธพาลพวกเราเปิดประตูก็เพื่อทำการค้า คนทำการค้าหน่ะปรองดองบังเกิดทรัพย์ การตีรันฟันแทงไม่ใช่ลักษณะของพวกเรา พวกเราว่างั้นมั้ย ข้า เซิ่นเหล่าลิ่วเป็นคนที่มีความเป็นธรรม พวกเจ้าทำให้ชื่อเสียงของพรรคอันธพาลข้าเสียหาย ทำให้พี่น้องข้าเสียความรู้สึก พวกเจ้าก็ควรต้องชดใช้…”

“เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน” เมื่อเอ่ยถึงตรงนี้ เซิ่นเหล่าลิ่วไอออกมาคำหนึ่ง และกล่าวว่า “พวกเจ้าก็ซื้อสินค้าชิ้นนั้นของพี่น้องข้าเอาไว้ก็แล้วกัน ราคาศิลาขมุกขมัวระดับพระยาสัจธรรมแปดพันเม็ด ส่วนต่างที่เกินนั้นถือเสียว่าให้พี่น้องข้าดื่มน้ำชา เพื่อชดเชยจิตใจที่ได้รับความกระทบกระเทือนนั่น”

เฮ่อเฉินและเสิ่นเสี่ยวซันถึงกับโกรธขึ้นมาทันทีเมื่อได้ยินคำพูดของเซิ่นเหล่าลิ่ว พวกเขาต่างจ้องมองตาเฒ่าเซิ่นด้วยความโกรธแค้น

“พวกเจ้ากำลังขู่กรรโชกนี่!” เฮ่อเฉินร้องเสียงแหลมดังออกมา

ก่อนหน้านั้น ราคาสินค้าชิ้นนี้ยังอยู่ที่ศิลาขมุกขมัวระดับครุสัจธรรมห้าร้อยเม็ดเท่านั้นเอง เวลานี้ ตาเฒ่าเซิ่นเปิดราคาที่ศิลาขมุกขมัวระดับพระยาสัจธรรมแปดพันเม็ด ภายในเวลาสั่นๆ เพียงครึ่งวัน ราคาถึงกับพุ่งขึ้นจนนับไม่ถ้วนว่ากี่เท่าตัว

“เรื่องนี้จะบอกว่าขู่กรรโชกได้อย่างไรกันเล่า” เซิ่นเหล่าลิ่วยิ้มตาหยีกล่าวว่า “ชื่อเสียงของพ่อค้าประเมินค่าไม่ได้ พวกเราคนทำการค้าถือว่าปรองดองบังเกิดทรัพย์ นี่นับว่าเป็นราคาที่ถูกมากๆ แล้ว”

“ถ้าหากพวกเราไม่ให้หละ?” เฮ่อเฉินที่เป็นคนหนุ่มเลือดร้อน ถึงกับกล่าวน่าเกรงขามด้วยความไม่พอใจออกมา

“จริงอยู่ ทำการค้าต้องปรองดองจึงจะบังเกิดทรัพย์ แต่ว่า หากมีใครคิดอยากจะทำลายชื่อเสียงของพวกเรามันก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งแล้ว” เวลานี้ เซิ่นเหล่าลิ่วหัวเราะแหะแหะ แม้ว่าเขายังคงมีท่าทียิ้มตาหยี แต่เขากำลังทำท่าลูบหมัดถูมือแล้ว

ในขณะนี้ คนที่ทำท่าลูบหมัดถูมือไม่ได้มีเพียงตาเฒ่าเซิ่นเท่านั้น หลายสิบคนที่ล้อมรอบพวกเขาอยู่ก็ทำท่าเช่นเดียวกัน ท่าทีของพวกเขาชัดเจนเสียยิ่งกว่าสิ่งใด

ในเวลานี้ พวกของเฮ่อเฉินต่างอยู่ในอาการตึงเครียด ทยอยกันหยิบเอาอาวุธของตนออกมา เพื่อเตรียมรับศึก

“ท่านคิดเห็นประการใด?”ในเวลานี้ สือโส่วมองไปที่หลี่ชิเย่ มีท่าทีต้องการให้หลี่ชิเย่เป็นผู้นำ แม้ว่าสือโส่วเองไม่ต้องการให้เกิดปัญหาแทรกซ้อนขึ้นมา ยิ่งไม่ต้องการก่อเรื่องขึ้นที่เมืองฉีหลิน แต่ว่าศิลาขมุกขมัวระดับพระยาสัจธรรมแปดพันเม็ด กล่าวสำหรับพวกเขาแล้วถือเป็นจำนวนที่ไม่น้อยเลยทีเดียว

หลี่ชิเย่เพียงยิ้มเฉยเมย มองดูตาเฒ่าเซิ่นทีหนึ่งแล้วกล่าวว่า “เจ้าเชื่อหรือไม่ว่า ข้าจะถลกหนังของเจ้ามาเช็ดเท้าของข้า แม้ว่าหนังของเจ้าจะอ่อนสักหน่อย ลอกออกมาทำเป็นรองเท้าบู๊ธจะดูฝืนๆ ไปนิด แต่ท่าเอามาเช็ดเท้านับว่าพอทน”

“หึ หึ ท่านผู้นี้พูดจาพาลดีนี่” เซิ่นเหล่าลิ่วยังคงยิ้มตาหยีมีเลศนัย แม้ว่าก่อนหน้าเขาจะพูดคุยอยู่กับพวกสือโส่วตลอด แต่ว่าเขาได้พิจารณาตัวของหลี่ชิเย่มากกว่า โดยการจับจ้องบนตัวของหลี่ชิเย่ตลอดเวลา

เวลานี้ เซิ่นเหล่าลิ่วยิ้มตาหยีและกล่าวว่า “ไม่ขอปิดบังท่านผู้นี้ หนังของข้าหยาบกร้านยิ่งนัก มีแต่คนที่ต้องการถลกหนังของข้ามาโดยตลอด แต่ก็ลอกออกไม่ได้ หากท่านผู้นี้ต้องการลอกหนังแก่ๆ บนตัวของข้าล่ะก็ เกรงว่าจะทิ่มแทงมือเข้าได้ หากทำให้มือที่อ่อนนุ่มของท่านต้องบาดเจ็บล่ะก็จะไม่เป็นการดี”

“นี่นับว่าเป็นหนังแก่อะไรกัน” หลี่ชิเย่ยิ้มเฉยเมยและกล่าวว่า “หนังแบบนี้สองสามทีก็ลอกออกมาได้แล้ว หนังแก่ที่อยู่ในถ้ำศิลาเฒ่าอาจจะบาดมือนิดหน่อย จะอย่างไรเสียหนังแก่ผืนนั้นนับว่ามีอายุไม่น้อยจริงๆ”

เมื่อหลี่ชิเย่พูดคำๆ นี้ออกมา พลันทำให้สีหน้าของเซิ่นเหล่าลิ่วเปลี่ยนไปมากทีเดียว ถึงกับก้าวถอยหลังไปหนึ่งก้าว ทันใดนั้น ดวงตาคู่นั้นของเขาจับจ้องจริงจังไปที่หลี่ชิเย่ เหมือนว่าประกายตาของเขาสามารถตรึงหลี่ชิเย่ให้ตายได้อย่างนั้น

หลี่ชิเย่เพียงยิ้มเฉยเมย สำหรับแววตาของเซิ่นเหล่าลิ่วที่จ้องเขม็งเข้ามา

“ข้าไม่เข้าใจความหมายที่ท่านพูด” ไม่ง่ายนักกว่าที่เซิ่นเหล่าลิ่วจะรักษาท่าทีที่ยิ้มตาหยีได้อีกครั้ง และกล่าวว่า “ท่านผู้นี้นับว่ามีที่มาไม่ธรรมดาแล้ว ข้าตาเฒ่าเซิ่นยังไม่ทันได้ถามชื่อแซ่ของท่าน”

“หลี่ชิเย่” หลี่ชิเย่เวลานี้ก็จ้องมองดูตาเฒ่าเซิ่นและเผยรอยยิ้มออกมาให้เห็น

หลังจากที่เซิ่นเหล่าลิ่วได้ยินหลี่ชิเย่แจ้งชื่อของตนเองแล้ว เขาได้พยายามนึกชื่อทุกคนที่อยู่ในความทรงจำของเขา แต่เขาไม่สามารถค้นหาชื่อนี้ได้ นั่นเท่ากับบ่งบอกว่าเขาไม่เคยได้ยินชื่อคนผู้นี้มาก่อน แต่เซิ่นเหล่าลิ่วยังไม่ยอมแพ้ เนื่องจากเขาเป็นผู้ที่ไวต่อการข่าวเสมอ

“ต้องโทษข้าเซิ่นเหล่าลิ่วที่หูตาแคบ ไม่เคยได้ยินชื่อของท่านมาก่อน” เซิ่นเหล่าลิ่วยิ้มตาหยีเอ่ยขึ้น

“เรื่องนี้ไม่โทษเจ้า อาศัยเจ้ายังไม่มีสิทธิ์รู้” หลี่ชิเย่ยิ้มกล่าวเฉยเมยว่า “เจ้าไปถามฉวี่กง เขาจะบอกกับเจ้าได้”

“ตึง ตึง ตึง…” ทันใดนั้น เซิ่นเหล่าลิ่วก้าวถอยหลังติดต่อกันหลายก้าวในทันที สีหน้าพลันขาวซีดจ้องมองหลี่ชิเย่เหมือนเห็นผีอย่างนั้น กระทั่งยิ่งกว่าเห็นผีเสียอีก

เซิ่นเหล่าลิ่วก่อตั้งพรรคอันธพาลขึ้นมา ซึ่งพรรคอันธพาลพวกเขาเรียกได้ว่าชื่นชอบในการหลอกลวงผู้บำเพ็ญตนมากที่สุด กระทั่งยอดฝีมือบางคนก็หลงกลพวกเขาได้ เรื่องบางเรื่องศิษย์ในพรรคไม่สามารถจัดการได้เองก็จะให้เซิ่นเหล่าลิ่วออกหน้าด้วยตนเอง

เพียงแต่ประวัติของเซิ่นเหล่าลิ่วเป็นความลับมาโดยตลอด แม้แต่ศิษย์ภายในพรรคอันธพาลก็ไม่รู้ชาติกำเนิดของเขา แม้ว่าเขามาที่เมืองฉีหลินได้ไม่นาน แต่ความสามารถของเขาเพียงพอที่จะสยบทุกคนได้

ความจริงแล้ว ตั้งแต่เซิ่นเหล่าลิ่วออกจากบ้านแล้ว ไม่เคยบอกประวัติชาติกำเนิดของเขาเองกับผู้ใดมาก่อน บุคคลภายนอกไม่รู้ถึงประวัติความเป็นมาของเขาอยู่แล้ว

เวลานี้ หลี่ชิเย่ไม่เพียงบอกถึงประวัติความเป็นมาของเขาได้ทันที ที่น่ากลัวยิ่งไปกว่านั้นยังเอ่ยถึงชื่อที่แม้แต่ตัวเขายังไม่กล้าเอ่ยถึง โดยที่ผู้ที่รู้จักชื่อนี้มีอยู่ไม่มาก เมื่อหลี่ชิเย่เอ่ยขึ้นในเวลานี้ มันเสมือนหนึ่งฟ้าผ่าลงมาอย่างนั้น

“เป็นข้าน้อยที่มีตาแต่ไร้แวว ล่วงเกินแล้ว ล่วงเกินแล้ว” เซิ่นเหล่าลิ่วเมื่อได้สติกลับมา ยังคงมีสีหน้าที่ขาวซีด เวลานี้เขายิ้มไม่ออกอีกต่อไป รีบแสดงคารวะแบบจีนต่อหลี่ชิเย่ จากนั้นกล่าวว่า “พี่น้องทั้งหลาย ถอย” จากนั้นหันหลังจากไปทันที ไม่กล้ารั้งอยู่ต่อไปแม้แต่วินาทีเดียว

การที่เซิ่นเหล่าลิ่วหนีไปอย่างรีบเร่งคล้ายดั่งมองเห็นผีอย่างนั้น สร้างความมึนงงให้กับศิษย์ที่ติดตามเข้ามา แต่พวกเขาไม่กล้าถาม และรีบเร่งหนีตามกันไปอย่างรวดเร็ว

การหนีไปอย่างรีบเร่งของเซิ่นเหล่าลิ่วสร้างความงงงันให้กับพวกสือโส่วสามคน เป็นการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วเกินไป พวกเขาไม่รู้เลยว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น

“ฮึ คนใจเสาะ แค่คำพูดคำสองคำก็ตกใจจนวิ่งหนีไปแล้ว” เฮ่อเฉินส่งเสียงดูแคลนออกมาเมื่อเห็นเซิ่นเหล่าลิ่วหลบหนีไปอย่างรวดเร็ว

สือโส่วไม่พูดสักคำ เพียงมองดูหลี่ชิเย่ เขาย่อมรู้ดีว่าตาเฒ่าเซิ่นไม่ได้เป็นคนใจเสาะ ผู้ที่หาญกล้าทำเรื่องเช่นนี้ในเมืองฉีหลินย่อมไม่ใช่แค่คนที่คอยส่งเสริมให้ผู้อื่นทำชั่วเท่านั้น เป็นพวกเลวชาติ

เพียงแต่เซิ่นเหล่าลิ่วต้องตกใจอย่างยิ่งกับบางสิ่งบางอย่าง แม้ว่าสือโส่วเองก็ฟังไม่เข้าใจถึงความหมายที่หลี่ชิเย่พูด แต่สามารถทำให้เซิ่นเหล่าลิ่วตกใจหนีไปทันที ย่อมบ่งบอกว่าข้างในนั้นจะต้องเกี่ยวพันถึงสิ่งที่น่ากลัวยิ่งสักอย่าง

ลองคิดดู มีสิ่งใดสามารถทำให้คนๆ หนึ่งต้องผลุนผลันหนีไปเมื่อเอ่ยถึง แม้ว่าสือโส่วจะนึกไม่ออก แต่ภายในใจของเขารู้สึกหวาดกลัวจนขนลุกซู่

หลี่ชิเย่ที่อยู่ตรงหน้าในฐานะมนุษย์ปุถุชนธรรมดาคนหนึ่ง กลับให้ความรู้สึกหวาดกลัวจนต้องตัวสั่นดั่งลูกนก

“ตาเฒ่าสือ พวกเจ้าจะหนีไปไหน!” ขณะที่พวกของสือโส่วเพิ่งจะได้สติกลับมาและเตรียมที่จะไปจากที่ตรงนี้ ปรากฏคนกลุ่มหนึ่งเหินฟ้าลงมาและขวางทางพวกของหลี่ชิเย่เอาไว้

เพียงชั่วพริบตาเดียว คนกลุ่มนี้ก็จัดการล้อมพวกของหลี่ชิเย่สี่คนเอาไว้ คนกลุ่มนี้สวมชุดที่เหมือนกันทั้งหมด ลมปราณคึกคักมีชีวิตชีวา ท่าทางน่าเกรงขาม หัวหน้าของคนกลุ่มนี้เป็นชายหนุ่ม เขาสวมชุดที่มีลายมังกรสี่เล็บ ร่างกายของเขาตลบอบอวลด้วยกลิ่นอายขมุกขมัว กลิ่นอายความเป็นกษัตริย์ที่อยู่เหนือผู้คน พลันที่เห็นก็รู้ได้ว่าเป็นผู้ที่มีตำแหน่งสูง

“หวังเสี้ยวเทียน” สือโส่วตระหนกจนหน้าถอดสี ร้องเสียงหลงออกมาเมื่อได้เห็นชายหนุ่มผู้นี้

“ตาเฒ่าสือ ดูท่าสำนักต้นไม้เหล็กพวกเจ้ากล้าขึ้นมาไม่น้อยเลยนะ ไม่เพียงทำร้ายจวิ้นหวังจนบาดเจ็บ ยังหาญกล้าเรียกชื่อของข้าตรงๆ!” แววตาชายหนุ่มเยือกเย็นราวน้ำแข็ง ใบหน้าเย็นชาดั่งหิมะ

ภายในใจของสือโส่วถึงกับสั่นเทาเมื่อมองเห็นแววตาที่เยือกเย็นของชายหนุ่ม เสิ่นเสี่ยวซันและเฮ่อเฉินเปลี่ยนไป เนื่องจากคนที่มีชื่อว่าหวังเสี้ยวเทียนตรงหน้าก็คือองค์รัชทายาทของเมืองซีถัว!

องค์รัชทายาทของเมืองซีถัวไม่ใช่พวกไม่เป็นโล้เป็นพาย เขาคือคนโหดคนหนึ่ง ตำแหน่งองค์รัชทายาทของเขาแลกมาด้วยผลงานและเลือดสดๆ ความสามารถของเขาไล่ตามติดๆ ปฐมบรรพบุรุษของแคว้นซีถัว เรียกได้ว่าลำพังกำลังความสามารถตัวเขาเพียงคนเดียวก็สามารถทำลายล้างสำนักต้นไม้เหล็กได้

การที่หวังเสี้ยวเทียนติดตามไล่ฆ่ามาถึงอย่างกะทันหัน จะไม่ให้สือโส่วต้องตกใจจนสั่นเทาได้อย่างไร

ครั้งนี้ เหลียงยี่หานมาเมืองฉีหลินด้วยกันกับหวังเสี้ยวเทียนองค์รัชทายาทของแคว้นซีถัว หลังจากที่เหลียงยี่หานถูกอัดจนใบหน้ายับเยินแล้ว ได้ถูกศิษย์ในสำนักหามไปอยู่ตรงหน้าของหวังเสี้ยวเทียน

Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *