Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล 1930 วานรกระดูกขาวยักษ์

Now you are reading Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล Chapter 1930 วานรกระดูกขาวยักษ์ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

วานรกระดูกขาวยักษ์กลืนกินตะวันจันทรา ควบคุมดวงดาวแลจักรวาล ยามที่วานรกระดูกขาวยักษ์นี้ปรากฎออกมา พื้นปฐพีแตกร้าว ปรากฏรอยแยกรอยร้าวที่น่ากลัวยิ่ง แค่มันก้าวเท้าก็เหยียบภูเขาจนแหลกละเอียดเป็นลูกๆ ขณะที่ก้าวเดินบนผืนแผ่นดิน ส่วนหัวค้ำยันไปถึงดวงดาว ได้ยินเสียงดัง “ปัง ปัง ปัง” หัวของมันชนเข้าก็บดวงดาวแต่ละดวง

ทุกคนต่างรู้สึกใจหายใจคว่ำเมื่อได้เห็นวานรกระดูกขาวยักษ์นี้ถึงกับขนลุกขนพอง ด้วยวานรเทพที่ใหญ่โตและอยู่ในฐานะสิ่งมีชีวิตที่ยืนอยู่ระดับสูงสุดเช่นนี้ เกรงว่าไม่ว่าจะมีชีวิตอยู่ในยุคสมัยใดก็ดำรงอยู่ในสถานะเป็นที่น่าสยดสยองยิ่งนัก

“ปัง” สะเก็ดไฟแตกกระจาย สะเก็ดไฟทุกๆ เม็ดล้วนแล้วแต่ทำให้พื้นดินทะลุได้ เมื่อสะเก็ดไฟจำนวนนับไม่ถ้วนที่ยิงแตกกระจายออกมา เสมือนหนึ่งวันสิ้นโลกอย่างนั้น มันกระเด็นลงบนพื้นดิน ทำให้เกิดการพวยพุ่งของลาวาจำนวนนับไม่ถ้วน

ภาพที่น่าหวาดผวาเช่นนี้ ยิ่งทำให้ผู้คนไม่กล้าเข้าใกล้ ต่อให้ระดับจอมราชันยังต้องห่างไกลจากสมรภูมิสู้รบแห่งนี้

เวลานี้ วานรกระดูกขาวยักษ์กางมือออกมา กระดูกนิ้วทั้งห้าปิดกั้นฟ้าดินเบ็ดเสร็จเด็ดขาด พลันกั้นขวางกระบี่ของราชันสวรรค์ขวางเส้าเอาไว้ และยืนหยัดอยู่เช่นนั้นโดยไม่เคลื่อนไหว แม้แต่กระบี่จอมราชันก็ไม่สามารถฟันนิ้วมือของมันให้ขาดได้

“แว้งค์” ตราประทับมรณะของหลี่ชิเย่ลอยขึ้นมา กลิ่นอายมรณะพลุ่งพล่านไม่หยุด ได้ยินเสียงหลักกฎเกณฑ์ดัง “ตึง ตึง ตึง” ทันใดนั้นบทคัมภีร์มรณะได้ประทับสลักลงบนตัวของวานรกระดูกขาวยักษ์

“ฮืออ…” จากการที่วานรกระดูกขาวยักษ์ส่งเสียงคำรามออกมา ทันใดนั้น ได้ยินเสียง “จี๊ด จี๊ด จี๊ด” ดังขึ้น โครงกระดูกสีขาวที่น่าครั่นคร้ามของวานรกระดูกขาวยักษ์พลันปรากฎขนและเนื้อหนังขึ้นมา เพียงชั่วระยะเวลาอันสั้นเท่านั้น วานรยักษ์ตัวเป็นๆ ได้ปรากฎออกมาโลดเต้นแก่สายตาอยู่ตรงหน้าคนทุกคน

มองเห็นวานรยักษ์ตัวนี้ที่ไม่เพียงสูงใหญ่ยากจะหาใดเทียบเทียม ทั้งยังมีขนสีเหลืองทองทั้งตัว มองจากระยะห่างไกลคล้ายดั่งเป็นภูเขาทองที่ใหญ่โตมโหฬาร ประกายสีทองที่เปล่งออกมาเป็นที่เย้ายวนใจยิ่งนัก

ตัวของมันที่มีขนาดสูงใหญ่ปราศจากผู้เทียบเทียม แลดูยิ่งใหญ่ยากจะหาผู้ใดเทียม ดวงตาคู่นั้นของมันดุจดั่งเป็นดวงตะวันสองดวง กรอกกลิ้งและแผ่ประกายที่ร้อนแรงยิ่งออกมา วานรยักษ์ลักษณะเช่นนี้ไม่จำเป็นต้องมีท่าทางการเคลื่อนไหวมากมาย ก็สามารถทำลายพื้นพสุธาจนแหลกละเอียดไป

ทุกคนต่างรู้สึกงงงันมองดูวานรกระดูกขาวยักษ์ฟื้นคืนชีพขึ้นมาในลักษณะเช่นนี้ หรือบนโลกนี้มีการกลับชาติฟื้นคืนชีพได้ใหม่ และโครงกระดูกสามารถบังเกิดเป็นเนื้อหนังได้จริงๆ รึ?

แน่นอนที่สุด โครงกระดูกวานรยักษ์โครงนี้ไม่ได้ฟื้นคืนชีพขึ้นมาจริงๆ เพียงแต่ถูกทำให้มันกลับคืนสู่สภาพในครั้งครานั้นภายใต้บทคัมภีร์มรณะเท่านั้นเอง ความจริงแล้ว มันยังคงเป็นโครงกระดูกโครงหนึ่งเหมือนเดิม

“ภาพลวงตาเท่านั้นเอง ไหนเลยคู่ควรจะกล่าวถึง!” จุดนี้ยังไม่สามารถหลอกสายตาของราชันสวรรค์ขวางเส้า เขายังคงมองออกว่าวานรยักษ์ที่อยู่ตรงหน้ายังคงเป็นเพียงโครงกระดูกโครงหนึ่งเท่านั้น ดังนั้น เสียง “ตูม” ดังขึ้น อานุภาพชะตาฟ้าของเขาสยบเหนือแปดทิศ พลังที่ไม่มีสิ้นสุดได้ถูกเทราดลงมา

“ตึง” เสียงกระบี่คำรามไม่หยุด กระบี่ทั้งสามผสานเป็นหนึ่งได้ฟาดฟันลงมา สะบั้นหมื่นสัจธรรม ดับวัฏสงสาร ทำลายโลกทั้งโลก ภายใต้หนึ่งกระบี่ปราศจากแดนสุขาวดี ไร้ซึ่งการเวียนว่ายตายเกิด ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนแล้วแต่มลายเป็นเถ้าธุลี

“โฮกก…” วานรยักษ์คำรามเสียงดังออกมา อ้าปากพ่นออกมาเป็นลำแสงของสุริยันจันทรา โดยที่ลำแสงดังกล่าวได้พุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า ภายใต้ลำแสงที่เจิดจรัสยิ่งทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกล้วนแล้วแต่กลับกลายเป็นเงียบกริบและสลด ทุกสิ่งล้วนกลับกลายเป็นสลดและอับแสง!

ลำแสงลำนี้กลั่นมาจากพลังแก่นสุริยันจันทรา ควรจะทราบว่า มันหาใช่เป็นพลังแก่นของสุริยันจันทราเพียงแค่ดวงเดียว แต่มันได้กลืนกินสุริยันจันทราไปเป็นจำนวนนับไม่ถ้วนแล้วกลั่นออกมาเป็นแก่น ด้วยลำแสงลักษณะเช่นนี้สามารถทะลุผ่านสายน้ำแห่งกาลเวลา ยากจะมีอานุภาพใดๆ มาเทียบเทียมได้

“ตึง” ลำแสงสุริยันจันทราลำนี้ได้ต้านกระบี่ทั้งสามเล่มของราชันสวรรค์ขวางเส้าเอาไว้

หลี่ชิเย่ขี้คร้านจะไปให้ความสนใจกับตัวละครเช่นราชันสวรรค์ขวางเส้า ไม่คู่ควรให้เขาไปเสียเวลากับมันมากมาย เขาเพียงกล่าวออกมาด้วยท่าทีเฉยเมยว่า “ค่อยๆ เล่นสนุกกันไปก็แล้วกัน” ขาดคำกวักมือให้กับพวกของซึหุนหลิน หันหลังออกเดินจากไปทันที

“จะหนีไปไหน!” ราชันสวรรค์ขวางเส้าร้องคำรามเสียงดังออกมา เมื่อเห็นหลี่ชิเย่กำลังจะเดินหนี “ตึง” กระบี่ยาวแหวกอากาศ ด้วยท่วงท่ายิ่งใหญ่สูงสุด หวังสกัดขวางทางหลี่ชิเย่เอาไว้

แต่ทว่า ตั้งแต่ต้นจนจบ หลี่ชิเย่ไม่ได้ให้ความสนใจที่จะมองราชันสวรรค์ขวางเส้ามากมาย

“จี๊ด…” เสียงแหวกอากาศ กระบี่ยาวของราชันสวรรค์ขวางเส้ายังไม่ทันได้เข้าขวางหลี่ชิเย่เอาไว้ แต่ลำแสงสุริยันจันทราของวานรยักษ์ได้ยิงแหวกอากาศมาถึง ก้าวข้ามมิติกาลเวลา ยิงตรงไปยังชะตาฟ้าของราชันสวรรค์ขวางเส้า

สีหน้าของราชันสวรรค์ขวางเส้าแปรเปลี่ยนไป “ตึง” กระบี่ในมือเปลี่ยนกลับมาฟันใส่ลำแสงดังกล่าว เวลานี้เขาไม่อาจห่วงเรื่องสกัดการเดินหนีของหลี่ชิเย่ได้อีก เพราะว่าหากเขาไม่กลับมาป้องกันตนเองเสียก่อน ชะตาฟ้าของเขาจะต้องได้รับความเสียหายอย่างหนักแน่นอน

กล่าวสำหรับจอมราชันเซียนหวังแล้ว ชะตาฟ้าหมายถึงทุกสิ่งทุกอย่าง ถ้าหากกระทั่งชะตาฟ้ายังต้องเสียหายอย่างหนักล่ะก็ ผลที่ตามมาย่อมไม่อาจประเมินได้

ในเวลานี้ ราชันสวรรค์ขวางเส้าสู้รับพันตูอยู่กับวานรยักษ์ตัวนั้น ได้แต่มองตาปริบๆ ปล่อยให้หลี่ชิเย่ล่องลอยจากไป

ผู้คนจำนวนมากต่างรู้สึกสะเทือนหวั่นไหวจนพูดอะไรไม่ออกกับภาพที่เห็น ยกเว้นตัวของจอมราชันเซียนหวังเองแล้ว จะมีสักกี่คนที่กล้าดูแคลนต่อจอมราชันเซียนหวังได้เล่า

ยิ่งไปกว่านั้น หลี่ชิเย่ไม่ได้เป็นระดับจอมเทพหรือราชัน เขาไม่เพียงดูแคลนต่อราชันสวรรค์ขวางเส้าเท่านั้น กระทั่งเรียกได้ว่าไม่เคยมองราชันสวรรค์ขวางเส้าอยู่ในสายตาเลย เหมือนดั่งที่เขาได้พูดเอาไว้อย่างนั้น ในสายตาของเขาราชันสวรรค์ขวางเส้าเป็นได้เพียงแค่หมาแมวตัวหนึ่งเท่านั้นเอง

หลี่ชิเย่ไม่เพียงอาศัยคำพูดเท่านั้น อีกทั้งยังทำเช่นนั้นได้จริงๆ สิ่งนี้หาใช่ปราศจากผู้ต่อกรแบบอวดดี แต่เป็นการปราศจากผู้ต่อกรโดยแท้จริง

ดังนั้น ในเวลานี้ภายในใจของผู้คนจำนวนมากถึงกับรู้สึกหวาดกลัวจนขนลุกขนพอง ตัวหลี่ชิเย่ออกจะโหดเกินไปแล้วกระมัง

“คนผู้นี้มีประวัติความเป็นมาอย่างไรกันแน่!” เวลานี้แม้แต่ระดับจอมเทพยังรู้สึกสงสัยยิ่งนัก ขณะมองดูเงาหลังที่จากไปของหลี่ชิเย่ ผู้เยาว์ที่ไร้ชื่อเสียงคนหนึ่งถึงกับหาญกล้าดูแคลนต่อจอมราชันเซียนหวังถึงเพียงนี้ แม้ว่าจะเป็นจอมราชันเซียนหวังที่มีชะตาฟ้าเพียงสายเดียว แต่ก็คือระดับจอมราชันเซียนหวังนะเนี่ย

เมื่อหลี่ชิเย่ไปจาก ซึหุนหลินก็ต้องรีบเร่งนำพาพวกของธิดาราชันฉีหลินไล่ติดตามไปให้ทัน

“อิ อิ อิ พี่ใหญ่ปราศจากผู้ต่อกรอยู่แล้ว แค่ขยับตัวก็สามารถสยบจอมราชันเซียนหวังเอาไว้ได้” หลังจากตามทันแล้ว อู่ชีรีบประจบสอพลอหลี่ชิเย่ทันที ยิ้มแต้กล่าวว่า “ทำไมพี่ใหญ่ไม่ลงมือสังหารราชันสวรรค์ขวางเส้าเสียหละ เพื่อสร้างชื่อเสียงบารมีสูงสุดให้กับพี่ใหญ่”

“ใครใช้ให้เจ้าออกไปจากที่นั่น?” หลี่ชิเย่ไม่ได้มีปฏิกิริยาใดๆ เพียงจ้องมองเขาด้วยท่าทีเฉยเมย

“เอิกก…” เมื่ออู่ชีถูกหลี่ชิเย่จ้องมองทีหนึ่งถึงกับพูดไปต่อไม่เป็น

“คุณชาย ทั้งหมดต้องโทษตาเฒ่าน้อยอย่างข้าดูแลไม่ดี จึงทำให้เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นมา…” เมื่อซึหุนหลินเห็นท่าเช่นนี้จึงรีบเสนอตัวยอมรับโทษเพื่อแก้ต่างให้กับอู่ชี

หลี่ชิเย่ไม่ได้พูดอะไรออกมา เพียงจ้องมองซึหุนหลินด้วยสายตาน่าเกรงขาม ทำให้ซึหุนหลินถึงกับขนลุกซู่ในใจทันที ไม่สามารถพูดอะไรได้อีกต่อไป

ซึหุนหลินคือจอมเทพที่มีดวงตราสัญลักษณ์สามดวงคนหนึ่ง ชั่วชีวิตของเขาผ่านอุปสรรคมาแล้วนับไม่ถ้วน ผ่านความเป็นความตายมานับครั้งไม่ถ้วน คนประเภทไหนที่เขาไม่เคยพบเจอมาก่อน? แต่ว่า เมื่อเห็นแววตาของหลี่ชิเย่ แล้ว พลันทำให้ซึหุนหลิน รู้สึกขนลุกซู่ภายในใจทันที

ต่อให้ซึหุนหลินมีฐานะเป็นถึงระดับจอมเทพคนหนึ่ง ถือเป็นบุคคลระดับอาวุโสแล้ว เวลานี้ได้แต่หุบปากนิ่งเงียบไม่กล้าส่งเสียงออกมาสักแอะ เหมือนผู้เยาว์คนหนึ่งที่ทิ้งแขนเอาไว้ข้างลำตัว ยืนอยู่ด้านข้างไม่กล้าพูดแก่ต่างให้กับอู่ชีอีกต่อไป

“เป็น เป็น เป็นเพราะข้าเองที่ทำไม่ถูก” เวลานี้ อู่ชีเองก็รู้สึกหวาดกลัวด้วยความระแวง ได้แต่กัดฟันพูดออกไปว่า “เป็นข้าเองที่รบเร้าให้ผู้อาวุโสซึพาไปดูราชันสวรรค์ขวางเส้าเอง ทั้งหมดเป็นความผิดของข้า…” เป็นที่ทราบกันว่า ตัวอู่ชีเองถือเป็นเด็กที่ดื้อซุกซนมากคนหนึ่งของบ้าน แม้แต่ผู้อาวุโสภายในบ้านก็ต้องปวดหัวไปกับความดื้อรั้นและหนังหนาของเขา ไม่กลัวการลงโทษ ดังนั้น บางครั้งแม้แต่ผู้อาวุโสของเมืองหลงเฉินก็จนด้วยเกล้าเหมือนกัน

แต่ว่า ในขณะนี้ ภายใต้แววตาที่เอ้อระเหยเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นของหลี่ชิเย่กลับทำให้อู่ชีที่ซุกซนยังต้องรู้สึกสะท้านภายในใจ เหมือนเด็กน้อยที่ทำความผิดและต้องยอมรับความผิดต่อหลี่ชิเย่แต่โดยดี

“ในไกลกันดารแห่งนี้มีสัตว์ประหลาดที่ดูดเลือดอยู่ไม่น้อย คราวหน้าข้าจะจับเจ้าโยนเข้าไปในรังให้ไปเป็นอาหารของมารร้าย!”

คำพูดนี้ทำเอาอู่ชีไม่กล้าพูดอะไรออกมาสักคำด้วยความอกสั่นขวัญแขวน ได้แต่ก้มหน้าลงต่ำ

หลี่ชิเย่ขี้คร้านจะไปกล่าวตำหนิพวกเขาอีก เดินทางต่อไปข้างหน้า พวกของซึหุนหลินรีบเร่งติดตามไปติดๆ ในขณะนี้พวกเขาแทบไม่กล้าหายใจแรงเสียด้วยซ้ำ อันที่จริงดูไปแล้วหลี่ชิเย่มีอายุอ่อนเยาว์กว่าพวกเขาโดยแท้ แต่ทว่า เวลานี้พวกเขาคล้ายเป็นผู้เยาว์คนหนึ่งที่ติดตามอยู่ด้านหลังของหลี่ชิเย่อย่างนั้น

“เจ้านี้ได้แต่ก่อเรื่อง!” ระหว่างที่ติดตามอยู่ด้านหลังของหลี่ชิเย่ อู่ฟ่งหยิ่งส่งเสียงแสดงความไม่พอใจออกมาเบาๆ และหนึ่งฝ่ามือตบเข้าให้ที่ท้ายทอยของอู่ชี จ้องตาเขม็งทีหนึ่ง

มาคราวนี้นับว่าหาดูได้ยากที่อู่ชีไม่กล้าพูดอะไรออกมาสักคำ หากเป็นเมื่อก่อนเขาคงพูดจายั่วเย้าพี่สาวของเขาให้แล้ว

หลี่ชิเย่ไม่ได้พาพวกของซึหุนหลินลึกเข้าไปภายในไกลกันดารต่อไป แต่วกกลับไปยังเรือนิรันดร

เมื่อหลี่ชิเย่กลับไปถึง กัปตันเรือนิรันดรได้มาให้การต้อนรับด้วยตนเอง แต่ก็ได้สร้างความประหลาดใจให้กับกัปตันเรือนิรันดรเป็นอันมากกับการกลับเข้ามาอย่างกะทันหันของหลี่ชิเย่

หลี่ชิเย่ให้พวกของซึหุนหลินออกไปก่อน จากนั้นได้กล่าวกับกัปตันเรือนิรันดรว่า “จอมราชันเซียนหวังของพวกเจ้าอยู่ไหน?”

“เรียนท่านเซียน ฝ่าบาทพวกเขาอยู่ในจวน พวกเขาต่างทำตามบัญชาของท่านเซียน ไม่กล้าแอบส่องแต่อย่างใด” กัปตันเรือนิรันดรรีบกล่าวตอบ

หลี่ชิเย่พยักหน้า เขียนจดหมายฉบับหนึ่งมอบให้กับกัปตันเรือนิรันดร กล่าวเรียบๆ ว่า “นำไปมอบให้กับจอมราชันเซียนหวังของพวกเจ้า ด่วนที่สุด!”

คำพูดของหลี่ชิเย่ทำเอากัปตันเรือนิรันดรถึงกับสะท้านในใจ รีบรับเอาไว้ด้วยความเคารพ และระมัดระวังรอบคอบยิ่ง กล่าวว่า “ท่านเซียนโปรดวางใจ ข้าน้อยจะส่งไปถึงอย่างเร็วที่สุด”

“ไปเถอะ” หลี่ชิเย่โบกมือ แต่ว่า ก่อนที่กัปตันเรือจะจากไปเขาได้เรียกตัวเขาเอาไว้อีกครั้ง กล่าวเรียบๆ ขึ้นมาว่า “จริงสิ ถ้าหากเจ้ายังมีศิษย์ที่อยู่ในไกลกันดารล่ะก็ ให้พวกเขาถอนตัวออกไป หากจะต้องเสียชีวิตในนั้นล่ะก็ อย่าหาว่าข้าไม่ได้เตือนหละ”

“ข้าน้อยเข้าใจ” ภายในใจของกัปตันเรือนิรันดรกัปตันเรือนิรันดรรู้สึกหวั่นไหว รู้ว่าต้องเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นมาแน่ เขาได้แสดงคารวะต่อหลี่ชิเย่ด้วยความเคารพยิ่ง แล้วจากไปทันที

หลังจากที่กัปตันเรือนิรันดรจากไปแล้ว หลี่ชิเย่ออกเดินทางอีกครั้ง

“พวกเราจะไปไหนกัน?” ขณะที่พวกเขาไปจากเรือนิรันดรอีกครั้ง ธิดาราชันฉีหลินถึงกับเอ่ยถามขึ้นมา

“ไปดูจินเก๋อสำเร็จเป็นจอมราชัน” หลี่ชิเย่กล่าวด้วยท่าทีเอ้อระเหยเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

คำพูดของหลี่ชิเย่ทำให้พวกของซึหุนหลินหวั่นไหวในใจ จินเก๋อกำลังจะได้เป็นจอมราชัน ขณะที่หลี่ชิเย่กลับจะไปในเวลานี้

“แหะ พี่ใหญ่จะไปอัดจินเก๋อให้น่วมรึ?” เมื่ออู่ชีได้ยินคำพูดเช่นนี้แล้วถึงกับตื่นเต้นดีใจ รู้สึกคันไม้คันมือ และกล่าวว่า “รอให้จินเก๋อได้เป็นจอมราชันเสียก่อน แล้วพี่ใหญ่ค่อยลงมืออัดเขาให้น่วม นับจากนี้ไป ในโลกนี้ยังจะมีใครกล้าหาเรื่องพี่ใหญ่อีก แหะ จินเก๋อก็จะได้กลายเป็นจอมราชันเซียนหวังคนแรกนับแต่อดีตถึงปัจจุบันที่ถูกอัดจนน่วมตั้งแต่วันแรกที่เพิ่งได้เป็นจอมราชัน”

อู่ชีถึงกับรู้สึกตื่นเต้นดีใจเมื่อนึกถึงภาพนี้ มองดูจอมราชันคนหนึ่งที่ถูกอัดจนคลาน ช่างเป็นเรื่องที่น่าสะเทือนหวั่นไหวเพียงใด

Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *