Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล 2132 จูซือจิ้ง

Now you are reading Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล Chapter 2132 จูซือจิ้ง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไรแล้ว หลี่ชิเย่ได้ลืมสองตาขึ้นมาช้าๆ ในเวลานี้เอง ใบหน้าของคนผู้หนึ่งได้เข้าไปอยู่ในสายตา เป็นผู้หญิงคนหนึ่ง ผู้หญิงวัยรุ่นคนหนึ่ง

หญิงวัยรุ่นผู้นี้เป็นศิษย์สาวของสำนักกระบี่ยักษ์นั่นเอง นางรั้งอยู่ที่นี่เพื่อคอยปรนนิบัติหลี่ชิเย่ กล่าวสำหรับศิษย์สาวผู้นี้แล้ว หลายเดือนที่ผ่านมานางต้องอู่อย่างอกสั่นขวัญแขวนตลอดมา แรกทีเดียวนางยังเข้าใจว่าหลี่ชิเย่เป็นคนตาย ช่างเป็นเรื่องที่น่ากลัวยิ่งนักกับการที่จะต้องเฝ้าคนตายที่ผนึกร่างอยู่ในน้ำแข็งคนหนึ่ง

ยิ่งไปกว่านั้น สิ่งที่ทำให้ศิษย์สาวผู้นี้กังวลก็คือ เกิดคนตายที่ผนึกในน้ำแข็งโผล่กระโดดออกมากะทันหัน แล้วดูดเลือดของนางจนหมดจะทำอย่างไร?

โชคดีที่ไม่ใช่คนตาย แต่เป็นคนเป็นๆ เป็นบรรพบุรุษของลานกำแหงพวกเขาฟื้นคืนชีพกลับมา จึงทำให้ศิษย์สาวผู้นี้หายใจโล่งอกไปเปราะหนึ่ง

แต่ว่าศิษย์สาวผู้นี้ยังไม่ได้ผ่อนคลาย ขณะที่ภาระการดูแลความเป็นอยู่ของบรรพบุรุษที่หนักอึ้งก็ตกลงบนบ่าของนางอีกครั้ง กล่าวสำหรับศิษย์ที่ไร้ชื่อเสียงอย่างนางแล้ว การรับผิดชอบดูแลความเป็นอยู่อาหารการกินของบรรพบุรุษเป็นเรื่องที่ใหญ่เท่าฟ้า เกิดผิดพลาดอะไรขึ้นมาล่ะก็ เกรงว่านางคงแบกรับไม่ไหว

ดังนั้น หลายวันที่ผ่านมา ศิษย์สาวผู้นี้อยู่อย่างตัวสั่นงันงก ไม่กล้าชักช้าแม้แต่น้อย โชคดีตรงที่หลายวันมานี้หลี่ชิเย่เอาแต่นั่งขัดสมาธิไม่ไหวติง ไม่ดื่มกิน เสมือนดั่งกลายเป็นหินไปแล้วอย่างนั้น

ศิษย์สาวคอยปรนนิบัติอยู่ข้างๆ รู้สึกเหนื่อยและเพลีย จึงนั่งลงและพิงผนังห้องงีบหลับอยู่ตรงนั้น

เมื่อหลี่ชิเย่ตื่นขึ้นมาแล้ว ศิษย์สาวรู้สึกร่างสั่นเทิ้มทีหนึ่งและลุกขึ้นยืนทันที และไปยืนอยู่ด้านข้างเพื่อคอยปรนนิบัติรับใช้ด้วยท่าทีให้ความเคารพยิ่งนัก

“ท่าน ท่านบรรพบุรุษ มี มีอะไรจะสั่งการ?” ศิษย์สาวผู้นี้กระทั่งพูดจาไม่ลื่นไหล ซึ่งใช่เป็นเพราะนางในเสาะ แต่ว่านางเองก็ไม่เคยได้พานพบอุปสรรคใดๆ มาก่อน นางเป็นเพียงบุคคลตัวน้อยๆ เท่านั้นเอง ระดับผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดเท่าที่นางเคยพบเห็นมาก็คือจูฉี เจ้าสำนักกระบี่ยักษ์นั่น ส่วนผู้ยิ่งใหญ่อื่นๆ นางไม่เคยพบเห็นมาก่อน

เวลานี้ให้นางคอยดูแลปรนนิบัติบรรพบุรุษของลานกำแหง สิ่งนี้เป็นหน้าที่ความรับผิดชอบยิ่งใหญ่เพียงใด เสมือนดั่งเป็นสัมภาระหนักหนึ่งแสนห้าหมื่นตันที่กองบนบ่าของนางอย่างนั้น สมควรทราบว่า กล่าวสำหรับนางแล้วลานกำแหงนั้นอยู่ในฐานะที่สูงส่งยิ่งนักสุดจะเอื้อมถึง แม้แต่ศิษย์ธรรมดาคนหนึ่งของลานกำแหงก็ทำให้จูฉีในฐานะเจ้าสำนักกระบี่ยักษ์ของพวกเขาต้องก้มโค้งแสดงความเคารพอย่างนอบน้อม ยิ่งไม่ต้องพูดถึงบรรพบุรุษของลานกำแหงแล้ว มันถึงขั้นที่พวกเขาต้องคุกเข่าก้มกราบกับพื้นเลยทีเดียว

สำหรับท่าทางที่ตัวสั่นงันงกของศิษย์สาวนั้น หลี่ชิเย่สงบนิ่งไม่หวั่นไหวแค่บิดขี้เกียจไปทีหนึ่ง และเริ่มพิจารณามองดูศิษย์สาวที่อยู่ตรงหน้าในเวลานี้

ศิษย์สาวที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้นับว่ามีรูปโฉมที่งดงาม ใบหน้ารูปไข่เกลี้ยงเกลาละเอียดนุ่มนวล นัยน์ตาคู่นั้นดูสดใสดั่งกระจกเงา ลูกตาที่สุกใสแวววาว มีช่วงขาที่เรียวยาว รูปร่างที่สูงโปร่ง เรียกได้ว่างดงามน่าสนใจ รูปโฉมงดงามน่าประทับใจ

แน่นอน รูปโฉมลักษณะเช่นนี้ย่อมไม่สามารถเทียบเคียงกับระดับหญิงงามอย่างเหมยซู่เหยาได้ แต่ทว่ารูปโฉมเช่นนี้เมื่อมาอยู่ท่ามกลางพื้นที่ที่ห่างไกลความเจริญแล้ว นับว่าเป็นหญิงงามคนหนึ่งได้

เป็นความจริงที่ผู้หญิงตรงหน้าไม่สามารถเทียบได้กับบรรดาผู้หญิงทั้งหลาย เฉกเช่นระดับหลี่ซวงเหยียนก็ไม่สามารถเทียบกันได้แล้ว แต่ว่าสีหน้าท่าทางที่งดงามของผู้หญิงคนนี้เสมือนดั่งหยกที่ยังไม่ได้ผ่านการเจียระไนชิ้นหนึ่ง คู่ควรที่จะนำไปเจียระไน

หลี่ชิเย่ไม่ได้ให้ความสนใจในรูปโฉมของนาง สายตาของเขาตกอยู่บริเวณลำคอของนาง ลำคอของนางแลดูขาวและอ่อนนุ่มชวนพิศอย่างยิ่ง แต่ หลี่ชิเย่ยังคงไม่ได้ให้ความสนใจความงามเช่นนี้ แต่สายตาตกไปอยู่ที่ร่องรอยสีทองจางๆ สายหนึ่งที่อยู่บนลำคอของนาง

ร่องรอยสีทองสายนี้มีเส้นทางที่ถักทอกันเป็นลวดลายยาวไปถึงหน้าอก เพียงแต่บริเวณหน้าอกถูกปิดบังด้วยเสื้อผ้าที่นางสวมใส่ ไม่รู้ว่ามีรูปลักษณ์เช่นใด

ด้วยร่องรอยที่เป็นสีทองสายนี้ซึ่งเกิดขึ้นบริเวณลำคอของนางนั้น ดูไปแล้วเหมือนสวมใส่สร้อยคอเส้นหนึ่งเอาไว้อย่างนั้น

ศิษย์สาวผู้นี้ก็รู้สึกตัวได้ว่าถูกหลี่ชิเย่จับจ้องบริเวณลำคอของตน นางจึงแอบดึงปกเสื้อนิดหนึ่ง ตั้งใจให้ปิดบังร่องรอยสีทองสายนั้นที่อยู่บริเวณลำคอของตน ไม่ต้องการให้ผู้อื่นได้เห็นมากนัก

“เจ้ามีชื่อว่าอะไร?” ในเวลานี้เอง หลี่ชิเย่จึงได้เอ่ยถามขึ้นมาช้าๆ ท่าทีเอ้อระเหยเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

“เรียนท่านบรรพบุรุษ ศิษย์มีชื่อว่าจูซือจิ้ง” ศิษย์สาวก้มหน้าลงต่ำ เอ่ยขึ้นช้าๆ แม้ว่าขณะนี้นางได้สะกดจิตใจให้สงบลงได้แล้ว การพูดจาก็ดูลื่นไหล แต่ว่าภายในใจยังคงมีความระมัดระวังอยู่มากทีเดียว

“เผ่าสาปแช่ง” หลี่ชิเย่จ้องมองดูศิษย์สาวผู้นี้ กล่าวท่าทีเฉยเมยว่า “ชนเผ่าที่พบเห็นได้ยากเผ่าหนึ่ง”

เวลานี้ หลี่ชิเย่ได้ความทรงจำกลับคืนมามากมาย ดังนั้นเขาจึงมีความรู้มหาศาล ยิ่งไปกว่านั้น ความทรงจำที่เขามีอยู่ใช่เพียงมาจากผู้เฒ่ากำแหงเท่านั้น

เมื่อหลี่ชิเย่พูดออกมาเช่นนี้ จูซือจิ้งได้แต่ก้มหน้าลงต่ำมากกว่าเดิม กระทั่งไม่กล้ามองหน้าของหลี่ชิเย่ รู้สึกกังวลอย่างยิ่ง นางไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรออกมาดี

สำหรับเผ่าสาปแช่งนั้น อย่าว่าแต่ในลานกำแหงหรือแดนลัทธิพรรษ แม้แต่ทั่วทั้งแดนสามเซียน ชนเผ่าสาปแช่งก็เป็นเผ่าที่พบเห็นได้ยากมาก อีกทั้ง ชนเผ่าสาปแช่งถูกผู้คนมองว่าอัปมงคล ผู้คนจำนวนมากต่างปฏิเสธต่อชนเผ่านี้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการรับเอาคนของเผ่าสาปแช่งมาเป็นศิษย์

“ไม่นึกไม่ฝันเลยว่า สามารถพบเห็นเผ่าสาปแช่งได้ที่นี่” หลี่ชิเย่หัวเราะ จากความทรงจำมหาศาลนั้น เขาล่วงรู้ประวัติเกี่ยวกับเผ่าสาปแช่งเป็นจำนวนมาก

ภายในใจของจูซือจิ้งถึงกับเต้นกระตุกทีหนึ่ง เมื่อได้ยินคำพูดเช่นนี้จากหลี่ชิเย่ ไม่รู้ว่าจะเป็นโชคดีหรือโชคร้าย นางได้แต่พูดเสียงแผ่วเบาว่า “การที่สำนักกระบี่ยักษ์ยอมรับข้าเป็นศิษย์ นับว่าเป็นบุญคุณสำหรับข้า ข้าจะตอบแทนบุญคุณยิ่งใหญ่ของสำนักกระบี่ยักษ์ทุกชาติไป…”

หากจะกล่าวถึงในแดนลัทธิพรรษกระทั่งแดนสามเซียน เกรงว่าระบบถ่ายทอดความคิดทางลัทธิต่างๆ ล้วนแล้วแต่ไม่ต้องการรับชนเผ่าสาปแช่งไว้เป็นศิษย์ของตน แต่สำนักกระบี่ยักษ์กลับรับเอาจูซือจิ้งไว้เป็นศิษย์ ซึ่งเรื่องนี้ใช่ว่าสำนักกระบี่ยักษ์นั้นมีจิตเมตตาและน้ำใจโอบอ้อมอารี

เนื่องจากสำนักกระบี่ยักษ์หลังจากถูกเนรเทศแล้ว ท่ามกลางดินแดนที่เป็นระบบถ่ายทอดความคิดทางลัทธิของลานกำแหงแล้ว มีไม่กี่คนเท่านั้นที่ยินดีเข้าเป็นศิษย์ของสำนักกระบี่ยักษ์ แม้แต่มนุษย์ปุถุชนธรรมดายังรู้ว่า การเข้าเป็นศิษย์ของสำนักกระบี่ยักษ์ไม่มีอนาคตอย่างสิ้นเชิง เพราะเป็นสำนักที่เสื่อมและตกต่ำไปแล้ว

พรสวรรค์ของจูซือจิ้งนับว่าไม่เลวนัก เสียดายที่นางมีชาติกำเนิดมาจากเผ่าสาปแช่ง จึงไม่มีสำนักใดๆ ยินดีรับนางเข้าเป็นศิษย์ ขณะที่สำนักกระบี่ยักษ์ยอมรับนางเข้าเป็นศิษย์ ก็ถือเสียว่าเป็นการรักษาม้าตายประดุจดั่งม้าเป็นให้กับสำนักเท่านั้นเอง

“ข้าไม่มีเจตนาเหยียดหยามเผ่าสาปแช่งของพวกเจ้า” หลี่ชิเย่โบกมือเบาๆ และกล่าวท่าทีเฉยเมยว่า “ถามโลกหล้าเหล่าชาติพันธุ์มากมายหลายหลาก การที่ชาติพันธุ์ใดชาติพันธุ์หนึ่งสามารถสืบทอดต่อกันมาได้ ย่อมต้องมีความหมายในตัวของมันอยู่แล้ว และมักจะมีเหตุผลในตัวของมันเอง”

เมื่อจูซือจิ้งได้ยินคำพูดจากหลี่ชิเย่แล้วถึงกับหายใจด้วยความโล่งอก โชคดีที่หลี่ชิเย่ไม่รังเกียจความเป็นเผ่าสาปแช่งของนาง มิฉะนั้นล่ะก็ ลำพังอาศัยคำพูดคำเดียวของเขาก็เพียงพอให้นางต้องถูกขับออกจากสำนัก

“พลังของเจ้านับว่าบริสุทธิ์แต่อ่อนด้อยไปนิดหนึ่ง” หลี่ชิเย่มองดูจูซือจิ้งแล้วเอ่ยขึ้นมาช้าๆ “เคล็ดวิชาที่ฝึกอยู่นั้นเป็นเพียงส่วนปลายของ ‘คัมภีร์กำแหง’ เท่านั้นเอง” Aileen-novel

ในขณะนี้ ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกี่ยวกับแดนสามเซียนหลี่ชิเย่ล้วนแล้วแต่มีภาพอยู่ในใจเรียบร้อยแล้ว เฉกเช่นระบบถ่ายทอดความคิดทางลัทธิลานกำแหงนี้ กล่าวได้ว่า ‘คัมภีร์กำแหง’ ทั้งเล่มของลานกำแหงล้วนแล้วแต่ทะลุปรุโปร่งทั้งหมด จะอย่างไรเสีย เขาได้รับเอาความทรงจำทั้งหมดของผู้เฒ่ากำแหงเอาไว้ทั้งหมดแล้ว

“ศิษย์ไร้ความสามารถ” จูซือจิ้งรู้สึกอับอายจนต้องก้มหน้าลง และกล่าวขึ้นมาแผ่วเบาว่า “ศิษย์โง่เขลานัก สามารถเรียนรู้ได้เพียงน้อยนิดเท่านั้นเอง”

ความจริงแล้ว ทักษะยุทธของจูซือจิ้งในสำนักกระบี่ยักษ์นับว่าไม่เลวนักแล้ว สมควรทราบว่า เวลานี้จูซือจิ้งคือระดับสาวกแท้จริงขั้นที่หกแล้ว ขณะที่เจ้าสำนักกระบี่ยักษ์ก็แค่ระดับสาวกแท้จริงขั้นที่เก้าเท่านั้นเอง แต่สมควรทราบว่าจูซือจิ้งนั้นมีอายุอ่อนเยาว์กว่ามากทีเดียว

อาจกล่าวได้ว่า อาศัยพรสวรรค์ของจูซือจิ้งแล้วนับว่าเป็นอัจฉริยะบุคคลผู้หนึ่งของสำนักกระบี่ยักษ์ได้แล้ว ด้วยพรสวรรค์ที่ไม่เลวนักของนาง หากไม่เป็นเพราะนางมีชาติกำเนิดมาจากเผ่าสาปแช่งล่ะก็ เกรงว่านางคงไม่เข้าเป็นศิษย์ของสำนักกระบี่ยักษ์เด็ดขาด คงถูกสำนักอื่นๆ ที่แข็งแกร่งมากกว่านี้ในลานกำแหงรับเป็นศิษย์ไปแล้ว

“ลองแสดงให้ดูซิ” หลี่ชิเย่ก็ไม่ได้กล่าวตำหนิอะไร เพียงสั่งการออกไป

คำพูดของหลี่ชิเย่ทำเอาจูซือจิ้งตะลึงนิดหนึ่ง แต่ก็ไม่กล้ากล่าวมากความ นั่งลงรวบขาทั้งสองข้างในท่านั่งขัดสมาธิ มือทั้งสองข้างกอดอก รวบรวมสมาธิ เข้าถึงตัวตนที่แท้จริง ขับเคลื่อนพลังภายใน

เวลานี้ มองเห็นเพียงจูซือจิ้งได้แผ่แสงมันวาวจางๆ ออกมาทั่วร่าง ในขณะนี้ ปรากฏร่างเงาจางๆ ขึ้นที่เหนือศีรษะของจูซือจิ้ง นี่คือตัวตนที่แท้จริงของจูซือจิ้งนั่นเอง เพียงแต่จูซือจิ้งยังอ่อนมาก ตัวตนที่แท้จริงของนางจึงมองดูเลือนรางมาก แต่ว่าเวลานี้มีชะตาแท้เคียงข้างและเริ่มหลอมรวมเข้ากับตัวตนที่แท้จริง แม้ว่าขั้นตอนนี้จะค่อนข้างใช้เวลา แต่นับว่าเป็นไปโดยราบรื่น

ตัวตนแท้จริงของจูซือจิ้งในเวลานี้นั่งขัดสมาธิอยู่เหนือศีรษะสามฟุต ผ่อนกลิ่นอายดั้งเดิมเข้าออก ซึ่งเป็นกลิ่นอายของตัวตนแท้จริง ขณะที่ตัวตนแท้จริงผ่อนกลิ่นอายดั้งเดิมอยู่นั้น กลิ่นอายดั้งเดิมทั้งหมดได้เอิบอาบไปทั่วร่างของจูซือจิ้ง เวลานี้ บริเวณท้องน้อยใต้สะดือสามนิ้วได้ก่อตัวขึ้นเป็นวังวนขนาดเล็ก และได้ดูดซับเอากลิ่นอายดั้งเดิมของตัวตนแท้จริงเข้าไปในร่างกายทั้งหมด ค่อยๆ กลับกลายเป็นเหมือนน้ำที่ไหลริน รวมศูนย์อยู่จุดเดียว

ก่อเกิดตัวตนแท้จริง ผ่อนกลิ่นอายดั้งเดิม คือวิธีการฝึกวิชาของแดนสามเซียน รวบรวมเอากลิ่นอายดั้งเดิมตัวตนแท้จริงเอาไว้ภายในร่างกาย รวมตัวกลายเป็นพลัง ไม่ได้รับเอามาจากฟ้าดิน

สิ่งนี่แหละคือข้อแตกต่างที่เด่นชัดที่สุดของการฝึกระหว่างแดนสามเซียนกับเก้าแดนและสิบสามทวีป

ไม่ว่าจะเป็นการรับเอาพลังแก่นฟ้าดินของเก้าแดน หรือรับเอาพลังขมุกขมัวเข้ามาของสิบสามทวีป จุดเด่นที่สำคัญที่สุดของพวกเขาก็คือ พลังแก่นมีต้นกำเนิดมาจากฟ้าดิน ย่อมเป็นการบ่งบอกว่าผู้บำเพ็ญตน ของเก้าแดนและสิบสามทวีปจะต้องถูกควบคุมโดยฟ้าดิน ยากที่จะหลุดพ้นไปจากฟ้าดิน

ขณะที่แดนสามเซียนนั้นจะแตกต่าง แดนสามเซียนเริ่มต้นจากการฝึกพลังด้วยการฝึกตัวตนที่แท้จริง กลิ่นอายของพวกเขามีต้นกำเนิดมาจากกลิ่นอายของตัวตนแท้จริงไม่ได้รับเอามาจากฟ้าดิน ซึ่งเป็นจุดที่แตกต่างมากที่สุด

ในเก้าแดนและสิบสามทวีป เมื่อมีดวงตราสัญลักษณ์ประสานเข้าด้วยกันสามดวง หรือสืบทอดชะตาฟ้าสามสายแล้ว จึงเริ่มมีการฝึกตัวตนแท้จริงอย่างแท้จริง เรียกได้ว่า บนพื้นฐานการฝึกฝนนั้น เก้าแดนและสิบสามทวีปเริ่มต้นการก้าวเดินช้ากว่า

เมื่อเปรียบเทียบผู้บำเพ็ญตนของแดนสามเซียน เก้าแดน และสิบสามทวีป ในขั้นตอนอื่นๆ บางทีด้านระยะห่างของกำลังความสามารถไม่ได้แตกต่างกันมากนัก เป็นต้นว่า ทุกคนต่างอยู่ในระดับเดียวกันล่ะก็ จะดูไม่ออกว่ากำลังของสองฝ่ายใครแข็งแกร่งหรืออ่อนด้อยกว่ากัน

แต่ว่า เมื่อไรที่ก้าวไปถึงจุดสูงสุดกลายเป็นจอมราชันแล้ว เมื่อนั้น ย่อมไม่ต้องสงสัยว่าผู้บำเพ็ญตนของแดนสามเซียนจะก้าวหน้าได้รวดเร็วกว่า

ย่อมเป็นการบ่งบอกว่า เฉกเช่นจอมราชันเซียนหวังที่มีชะตาฟ้าสิบสองสาย การก้าวเดินบนเส้นทางกลับคืนสู่ดั้งเดิมนั้น เมื่อเทียบกับราชันแท้จริงของแดนสามเซียนที่อยู่ในระดับเดียวกันแล้ว จะก้าวหน้าได้ช้ากว่า ความเร็วในการฝึกนั้นไม่เท่าแดนสามเซียน

เมื่อเปรียบเทียบการฝึกของโลกทั้งสามแล้ว ในช่วงต้น ผู้บำเพ็ญตนของแดนสามเซียนไม่ได้มีข้อได้เปรียบแต่อย่างใด แต่ทว่า เมื่อไรที่ก้าวขึ้นไปจนถึงระดับจอมราชันแล้วก็จะแตกต่างกัน แลถความได้เปรียบของแดนสามเซียนก็จะเด่นชัดมาก เมื่อเป็นเช่นนี้ก็ง่ายต่อการที่จะทิ้งช่วงห่าง

หลี่ชิเย่จ้องมองดูจูซือจิ้งที่ผ่อนออกและรับเอากลิ่นอายดั้งเดิมนั่นเงียบๆ

ในเวลานี้ หลี่ชิเย่มีภาพของการฝึกวิชาของแดนสามเซียนอยู่ในใจแล้ว เรียกได้ว่าตัวเขาคือระดับปรมาจารย์แล้ว ที่เขาให้จูซือจิ้งฝึกวิชาก็เพื่อสังเกตและศึกษาซึ่งกันและกันเล็กน้อยเท่านั้นเอง

……………………

Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *