Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล 1753 บำเพ็ญสัจธรรม

Now you are reading Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล Chapter 1753 บำเพ็ญสัจธรรม at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 1753 บำเพ็ญสัจธรรม
ผู้บำเพ็ญตนบำเพ็ญเพียรเพื่อต้องการเข้าใจอย่างถ่องแท้ถึงความหมายที่ลึกซึ้งของสัจธรรม ยิ่งเข้าใจถึงความหมายที่ลึกซึ้งของสัจธรรมได้อย่างถ่องแท้เร็วมากเท่าไร ก็จะสามารถฝึกเคล็ดวิชาที่ทรงพลังได้เร็วมากเท่านั้น โดยเฉพาะสำนักที่มีเคล็ดราชันอยู่ในครอบครอง บรรดาศิษย์ในสำนักเหล่านี้ย่อมต้องการได้ฝึกเคล็ดราชันในเร็ววัน

ลองคิดดู การฝึกพลังภายในของจอมราชันตั้งแต่แรกเริ่มการฝึก เริ่มต้นด้วยการสัมผัสกับความหมายที่ลึกซึ้งของสัจธรรมในระดับสูงสุด เมื่อมีการปูพื้นฐานเรียบร้อยแล้ว การฝึกเคล็ดราชันที่ลึกซึ้งมากกว่าก็จะมีประสบการณ์และสามารถฝึกได้ง่ายขึ้น

ขณะที่เคล็ดวิชาทั้งสามหาเป็นเช่นนี้ไม่ หรือจะกล่าวให้ถูกต้องก็คือ สามเคล็ดวิชาจะเรียบง่ายมั่นคงไม่มีอะไรพิสดารโดยตลอด ด้วยการดูดกลืนพลังขมุกขมัวแล้ว รับเอาพลังของโลกยุคดึกดำบรรพ์ที่ฟ้าดินยังไม่ได้แยกออกเป็นสองส่วนเพียงอย่างเดียวเท่านั้น ดังนั้น การที่จะไปตระหนักรู้ถึงความหมายอันลึกซึ้งของสัจธรรมนั้นมีน้อยถึงน้อยมากที่สุด

นี่แหละคือข้อแตกต่างระหว่างเคล็ดวิชาทั้งสามกับเคล็ดวิชาอื่นๆ เคล็ดวิชาอื่นๆ จะเข้าใจถึงความหมายที่ลึกซึ้งของสัจธรรมอย่างถ่องแท้ก่อน จากนั้นค่อยเชื่อมฟ้าดิน ดูดกลืนพลังขมุกขมัวแล้วรับเอาพลังของโลกในยุคดึกดำบรรพ์ที่ฟ้าดินยังไม่ได้แยกออกเป็นสองส่วนเข้ามา

กล่าวสำหรับเคล็ดวิชาทั้งสามแล้ว พวกมันจะดูดกลืนพลังขมุกขมัวและรับเอาพลังของโลกในยุคดึกดำบรรพ์ที่ฟ้าดินยังไม่ได้แยกออกเป็นสองส่วนตลอดเวลา กระทั่งสุดท้ายก็ยังคงเป็นเช่นนี้ กล่าวสำหรับเคล็ดวิชาทั้งสามแล้ว การดูดกลืนพลังขมุกขมัวแล้ว รับเอาพลังของโลกในยุคดึกดำบรรพ์ที่ฟ้าดินยังไม่ได้แยกออกเป็นสองส่วนจึงเป็นแก่นแท้ ส่วนเรื่องความหมายที่ลึกซึ้งของสัจธรรมเป็นเพียงเรื่องรองเท่านั้นเอง

เหมือนดั่งการสำเร็จเป็นอรหันต์อย่างนั้น กล่าวสำหรับพระองค์หนึ่ง การสำเร็จเป็นพระอรหันต์เป็นขั้นตอนๆ หนึ่ง และเป็นคำตอบสุดท้าย ส่วนสิ่งที่ได้มาจากพุทธศาสนาช่วงระหว่างก้าวเดินไปจนกระทั่งสำเร็จเป็นพระอรหันต์ทั้งหมดเป็นเพียงสิ่งที่ได้มาโดยไม่คาดคิดเท่านั้น หรือก็คือเป็นเพียงเรื่องรองสำหรับขั้นตอนการก้าวสู่ความเป็นพระอรหันต์เท่านั้น

ขณะเดียวกันยังมีอีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้ผู้บำเพ็ญตนร้อยชาติพันธุ์ละทิ้งการฝึกเคล็ดวิชาทั้งสามก็คือ เนื่องจากการฝึกเคล็ดวิชาทั้งสามนั้นก้าวหน้าได้เชื่องช้ามากเหลือเกิน ตอนต้นของการฝึกนั้นถือว่าเป็นเรื่องที่ทรมานเหลือเกิน

ด้วยสติปัญญาที่เหมือนกัน ถ้าหากเปรียบเทียบการฝึกเคล็ดวิชาทั้งสามนั้นกับเคล็ดพลังภายในอื่นๆ ล่ะก็ แน่นอน การฝึกเคล็ดพลังภายในอื่นๆ จะก้าวหน้าได้เร็วกว่า ปรกติแล้วมักจะเร็วกว่าหนึ่งระดับ

อานุภาพของเคล็ดวิชาทั้งสามจะปรากฏออกมาให้เห็นเมื่อก้าวไปถึงระดับปราชญาสัจธรรม หรือสวรรค์สัจธรรมไปแล้ว ลองนึกดู จะมีผู้บำเพ็ญตนกี่คนทีสามารถก้าวไปถึงระดับนี้ได้กันเล่า กล่าวสำหรับบรรดาผู้คนต่างๆ ในสิบสามทวีปแล้ว หลายคนพยายามมาชั่วชีวิตก็ก้าวไม่ถึงระดับเช่นนี้ ดังนั้น กล่าวสำหรับพวกเขาแล้ว การฝึกเคล็ดวิชาทั้งสามนี้ไม่ได้มีความหมายสำหรับพวกเขาเลย

หลังจากที่หลี่ชิได้เย่บรรยายความหมายที่ลึกซึ้งทั้งหมดของ “เคล็ดหมื่นวิชา” ให้เสิ่นเสี่ยวซันฟังแล้ว ก็ได้ทำการบรรยายความหมายที่ลึกซึ้งของ “เคล็ดวิชาคืนสู่ปุถุชน” ให้นางได้ฟังอย่างละเอียด เขาอธิบายได้ชัดเจนและง่าย ฟังแล้วเข้าใจได้ทันที

ภายใต้สภาพจิตที่ว่างเปล่า เสิ่นเสี่ยวซันได้จมปลักอยู่ท่ามกลางสัจธรรม พริบตาเดียวนี้นางลืมสิ้นทุกสิ่งทุกอย่าง เวลานี้นางรู้สึกว่าตนเองนั้นอยู่ในที่ที่อันเป็นต้นกำเนิดของความขมุกขมัว นางรู้สึกว่าร่างทั้งร่างถูกความขมุกขมัวห่อหุ้มเอาไว้อย่างนั้น ในเวลานี้นางรู้สึกว่ามีกลิ่นอายของความขมุกขมัวที่ไร้ขีดจำกัดสำหรับให้นางได้ดูดกลืนเขาไปอย่างนั้น

การตกอยู่ท่ามกลางความลี้ลับมหัศจรรย์เช่นนี้ ทำให้เสิ่นเสี่ยวซันจมปลักอยู่ตรงนั้น ไม่สามารถได้สติกลับมาเป็นเวลานาน

ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไร เสิ่นเสี่ยวซันจึงได้สติคืนกลับมา หลังจากที่นางได้สติคืนกลับมาแล้ว รู้สึกถึงจิตใจสบายอย่างบอกไม่ถูก นางรู้สึกว่ารอบๆ ตัวล้วนแล้วแต่มีกลิ่นอายของความขมุกขมัวล้อมเอาไว้

ก่อนหน้านั้น แม้ว่ายามที่นางฝึกฝนจะสามารถรับรู้ได้ถึงกลิ่นอายของความขมุกขมัว แต่ว่า เวลานี้แม้นางไม่ได้ฝึกฝนก็ยังสามารถรู้สึกได้ อีกทั้งเป็นความรู้สึกที่เด่นชัดมาก

“นี่ นี่ นี่เกิดอะไรขึ้นกันแน่?” เสิ่นเสี่ยวซันรู้สึกว่ามันเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ เมื่อตัวเองสามารถรู้สึกได้ไว และชัดเจนมากกับกลิ่นอายของความขมุกขมัวเช่นนี้

“นี่เรียกว่าเป็นการแก้ไขข้อผิดพลาดที่ยุ่งเหยิงให้กลับสู่ปรกติ” หลี่ชิเย่กล่าวเฉยเมยว่า “ความจริงแล้ว เคล็ดวิชาของสำนักต้นไม้เหล็กของพวกเจ้ามีต้นกำเนิดมาจาก “เคล็ดหมื่นวิชา” และ “เคล็ดคืนสู่ปุถุชน” เพียงแต่บรรพบุรุษของพวกเจ้าอวดฉลาดเอง จัดการนำเคล็ดวิชาทั้งสองมายำเข้าด้วยกันเป็นหนึ่ง โดยเข้าใจเองว่าเป็นการสร้างสรรคเคล็ดวิชาที่ใหม่ทั้งหมดขึ้นมาได้ ที่ข้าถ่ายทอดความลี้ลับมหัศจรรย์ให้กับเจ้า เพียงให้สัจธรรมของเจ้ามีความแตกต่างอย่างเห็นได้ชัดเท่านั้นเอง ดังนั้น จึงทำให้เจ้าสามารถรับรู้ได้ถึงกลิ่นอายความขมุกขมัว และพลังของโลกยุคดึกดำบรรพ์ที่ฟ้าดินยังไม่ได้แยกออกเป็นสองส่วนได้อย่างชัดแจน”

เมื่อเสิ่นเสี่ยวซันรู้สึกงงงันนิดหนึ่งเมื่อได้ยินคำพูดลักษณะเช่นนี้ขอหลี่ชิเย่ นางถึงกับทำการสำรวจภายใน ปรากฏว่ามันเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ ด้วยความตื่นตระหนกตกใจและดีใจยิ่ง นางถึงกับร้องเสียงดังออกมาว่า “กลิ่นอายความขมุกขมัวยี่สิบสามล้านลิตร (โต่ว)”

ขณะที่เสิ่นเสี่ยวซันกำลังตะลึงงันอยู่นั้น หลี่ชิเย่ได้กล่าวเฉยเมยว่า “งั้นก็ขอแสดงความยินดีกับเจ้า แสดงว่าเจ้าได้รับดอกผลที่งดงามมาก”

“นี่ นี่ นี่มันเป็นไปได้อย่างไร?” เสิ่นเสี่ยวซันรู้สึกว่ามันเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ หลังจากที่มีกลิ่นอายความขมุกขมัวเพิ่มขึ้นรวดเดียวถึงสองล้านกว่าลิตร จำนวนที่เพิ่มขึ้นเทียบได้กับการฝึกวิชาของนางราวหนึ่งถึงสองปี ซึ่งสร้างความตระหนกหวั่นไหวกับนางยิ่งนัก

“นั่นเป็นเพราะก่อนหน้านั้น สัมผัสที่เจ้ากับกลิ่นอายความขมุกขมัว และพลังของโลกยุคดึกดำบรรพ์ที่ฟ้าดินยังไม่ได้แยกออกเป็นสองส่วนอยู่ในสถานะทึ่มเบาปัญญา ไม่สามารถเชื่อมถึงกันได้ เวลานี้เมื่อเชื่อมต่อกันได้แล้ว กลิ่นอายความขมุกขมัวก็กรูกันเข้าไป เมื่อเงื่อนไขทุกอย่างสุกงอม” หลี่ชิเย่กล่าวด้วยท่าทีเรียบเฉย ไม่ได้มีมีอะไรน่าตื่นตระหนกตกใจและดีใจ

แม้ว่าหลี่ชิเย่จะเรียบเฉย แต่ทางด้านของเสิ่นเสี่ยวซันกลับความตื่นตระหนกตกใจและดีใจจนไม่ได้สติกลับมา

ควรจะทราบว่า นางเพิ่งจะก้าวสู่ระดับสัจธรรมพระยาได้ไม่นาน มีกลิ่นอายความขมุกขมัวในครอบครองเพียงแค่ยี่สิบล้านนิดๆ แม้กระนั้นก็ตาม เถี่ยซู่องอาจารย์ของนางก็ได้ตั้งความหวังกับนางเอาไว้สูงมาก ในสายตาของเถี่ยซู่องมองว่า อีกไม่กี่ปีเสิ่นเสี่ยวซันจะต้องแซงล้ำหน้าเขาได้อย่างแน่นอน

เวลานี้ กลิ่นอายขมุกขมัวของนางถึงกับเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วถึงระดับกว่ายี่สิบสามล้านลิตร แล้วจะไม่ให้เสิ่นเสี่ยวซันรู้สึกตื่นตระหนกตกใจและดีใจได้อย่างไร หากยังคงเป็นเช่นนี้ต่อไป ภายในสองปีนี้นางก็สามารถก้าวไปถึงระดับสัจธรรมหวางแล้วหละ

ด้วยผลงานของเสิ่นเสี่ยวซันในเวลานี้ เรียกว่าเป็นอันดับหนึ่งของกลุ่มคนรุ่นใหม่ก็ไม่นับว่าเกินเลยไป

ทักษะการฝึกในแดนที่สิบก็ไม่ได้แตกต่างจากเก้าแดนสักเท่าไร ทักษะการฝึกในแดนที่สิบก็แบ่งออกเป็นสิบเจ็ดระดับเช่นกัน เมื่อก้าวไปถึงระดับที่สิบเจ็ดคือสืบทอดชะตาฟ้า กลายเป็นจอมราชันหรือเซียนหวาง

ระดับของแดนที่สิบจากต่ำไปหาสูงแบ่งออกได้ดังนี้ คือ ธุลีสัจธรรม (ฝุ่น) ตะนอยสัจธรรม (มด) กิมิชาติสัจธรรม (หนอน) เทียรฆชาติสัจธรรม (งู) พยัคฆาสัจธรรม (เสือ) นักพรตน้อย นักพรต ทูตาสัจธรรม ครุสัจธรรม พระยาสัจธรรม ราชาสัจธรรม กษัตราสัจธรรม ทิพยสัจธรรม ธรรมมังสัจธรรม ปราชญาสัจธรรม สวรรค์สัจธรรม จอมราชัน หรือเซียนหวาง!

ในจำนวนระดับทั้งสิบเจ็ดระดับนี้ โดยทั่วไปแล้วจะอาศัยกลิ่นอายขมุกขมัวมากหรือน้อยมาเป็นตัวชี้วัด

เป็นต้นว่าในระดับธุลีสัจธรรม เมื่อสามารถสั่งสมกลิ่นอายขมุกขมัวหนึ่งพันลิตรไว้ในครอบครอง บุคคลผู้นั้นก็สามารถทะลุระดับธุลีสัจธรรมก้าวสู่ระดับตะนอยสัจธรรม

ขณะที่จุดที่เป็นคอขวดของระดับตะนอยสัจธรรมคือกลิ่นอายขมุกขมัวที่ห้าพันลิตร กิมิชาติสัจธรรมคือหนึ่งหมื่นลิตร เทียรฆชาติสัจธรรมคือห้าหมื่นลิตร พยัคฆาสัจธรรมคือหนึ่งแสนลิตร นักพรตน้อยคือห้าแสนลิตร นักพรตหนึ่งล้านลิตร ทูตาสัจธรรมห้าล้านลิตร ครุสัจธรรมสิบล้านลิตร พระยาสัจธรรมยี่สิบล้านลิตร ราชาสัจธรรมห้าสิบล้านลิตร กษัตราสัจธรรมแปดสิบล้านลิตร ทิพยสัจธรรมหนึ่งร้อยล้านลิตร ธรรมมังสัจธรรมสามร้อยล้านลิตร ปราชญาสัจธรรมห้าร้อยล้านลิตร สวรรค์สัจธรรมหนึ่งพันล้านลิตร

สำหรับระดับจอมราชัน หรือเซียนหวางจะไม่นำเอากลิ่นอายขมุกขมัวในรูปแบบของลิตรมาชี้วัดกันอีกต่อไป แต่อาศัยชะตาฟ้ามาเป็นตัวชี้วัด ซึ่งเป็นระดับความสูงอีกระดับหนึ่ง

ใช้เวลาฝึกเพียงชั่วครู่ก็สามารถดูดกลืนกลิ่นอายขมุกขมัวได้มากถึงสองสามล้านลิตร ความเร็วเช่นนี้ต้องอาศัยคำว่าเร็วอย่างน่าทึ่งมาเปรียบเปรย ซึ่งเป็นเรื่องที่เหลือเชื่อยิ่งนัก

แต่ว่า เรื่องที่เหลือเชื่อเช่นนี้กลับปรากฏขึ้นบนตัวของนางแล้วในเวลานี้ แล้วจะไม่ให้เสิ่นเสี่ยวซันในขณะนี้งงเป็นไก่ตาแตกได้อย่างไรกันเล่า

หลังจากเวลาผ่านไปนานมาก เมื่อเสิ่นเสี่ยวซันได้สติคืนกลับมาแล้ว นางก้มตัวให้กับหลี่ชิเย่อย่างงาม ภายในใจบังเกิดความรู้สึกขึ้นมากมาย บังเกิดพันคำหมื่นวจีในใจ ในเวลานี้ไม่รู้ว่าควรจะเริ่มต้นพูดว่าอย่างไรดี สุดท้ายแล้ว นางพูดได้แต่เพียงคำว่า “ขอบคุณ” เมื่อพูดคำนี้ออกมาแล้ว นางก็ไม่รู้ว่าจะทำเช่นใดต่อไป

เวลานี้นางไม่รู้ว่าควรจะเรียกหลี่ชิเย่ว่าอย่างไร เหมือนว่าไม่ว่าจะเรียกอย่างไรล้วนแล้วแต่รู้สึกไม่ลื่นหูทั้งสิ้น

“เอาเถอะ วาสนานี้นับว่าเป็นความพยายามของเจ้า วันนี้ประทานวาสนาให้กับเจ้า เรียกข้าว่าคุณชายก็แล้วกัน” หลี่ชิเย่พูดออกมาตามอารมณ์

กล่าวสำหรับหลี่ชิเย่แล้ว สิ่งนี้เป็นเพียงการแก้ไขข้อผิดพลาดที่ยุ่งเหยิงให้กลับสู่ปรกติเท่านั้นเอง เป็นเรื่องที่ง่ายยิ่งกว่าพลิกฝ่ามือ แน่นอน แม้จะเป็นเรื่องที่ง่ายดุจพลิกฝ่ามือหลี่ชิเย่ก็จะไม่ประทานวาสนาเช่นนี้ให้โดยไร้สาเหตุ

มาคราวนี้ เสิ่นเสี่ยวซันได้ปรนนิบัติเขา เขาก็เลยมอบวาสนานี้แก่นาง ลำพังวาสนาเช่นนี้ก็เพียงพอที่จะทำให้นางได้รับประโยชน์ไม่สิ้นไปชั่วชีวิต

“คุณชาย” เสิ่นเสี่ยวซันร้องเรียกออกมาแผ่วเบา แม้ว่าภายในใจของนางได้ศิโรราบหมดใจโดยสิ้นเชิงแล้ว แต่ยังคงรู้สึกคล้ายกับว่าได้สูญเสียอะไรไป

หลี่ชิเย่พยักหน้าเบาๆ อย่างเชื่องช้า และกล่าวขึ้นมาช้าๆ ว่า “ข้ารู้สึกเหนื่อยแล้ว” กล่าวจบคำค่อยๆ หลับตาลงช้าๆ และหลับไปอย่างรวดเร็ว ขณะที่เขายังคงขับเคลื่อน “เคล็ดคืนสู่ปุถุชน” อยู่ ยังคงดูดกลืนกลิ่นอายขมุกขมัว และรับเอาพลังของโลกในยุคดึกดำบรรพ์ที่ฟ้าดินยังไม่ได้แยกออกเป็นสองส่วนเข้าไป

เสิ่นเสี่ยวซันได้นำเราเสื้อคลุมมาคลุมให้กับเขา จากนั้นล่าถอยออกไปแผ่วเบา ไม่กล้ารบกวน แต่เมื่อก้าวเดินไปถึงนอกประตู นางยังคงอดที่จะหันกลับมาจ้องมองอีกครั้ง มองดูผู้ชายที่เรียบง่ายไม่มีอะไรแปลกพิสดาร

หลี่ชิเย่พักอยู่ที่สำนักต้นไม้เหล็กเป็นการชั่วคราว และถือโอกาสนี้เริ่มต้นฝึก “เคล็ดคืนสู่ปุถุชน” เพื่อสร้างฐานเต๋าให้กับสัจธรรมของตน

หลังจากที่ฐานเต๋าของหลี่ชิเย่ได้ถูกทำลายไปแล้ว มันไม่ได้บ่งบอกว่าทักษะยุทธที่ติดตัวมาจากเก้าแดนได้อันตรธานสลายไปจนหมดสิ้นไปแล้ว

การทำลายเช่นนี้กล่าวสำหรับหลี่ชิเย่แล้วมันก็แค่การถือกำเนิดขึ้นใหม่เท่านั้นเอง อีกทั้งการฝึกฝนในแดนที่สิบ มันใช่เพียงการเริ่มต้นเส้นทางใหม่เท่านั้น แต่เป็นการเริ่มออกเดินทางในอีกรูปแบบหนึ่ง

หลี่ชิเย่ไม่เพียงแค่ต้องการสุดที่การเป็นราชันเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นราชันเซียน หรือว่าเซียนหวาง จะเป็นความสำเร็จใดๆ ล้วนแล้วแต่ไม่สามารถบรรลุความพึงพอใจให้กับเขาได้ ที่สำคัญมากไปกว่านั้นก็คือ สัจธรรมของเก้าแดน การบำเพ็ญเพียรในแดนที่สิบ ล้วนแล้วแต่เป็นการเริ่มต้นเท่านั้น เป็นการปูพื้นฐานสู่เส้นทางอันยาวไกลในอนาคตให้กับเขา

สิ่งที่ทำให้เขาสามารถบุกเบิกศักราชที่ใหม่ทั้งหมดในอนาคต ไม่ใช่สัจธรรมของเก้าแดน และไม่ใช่การบำเพ็ญเพียรในแดนที่สิบ เขาจะอาศัยท่วงท่าที่ใหม่ทั้งหมดไปบุกเบิกยุคสมัยใหม่ เป็นการเริ่มต้นใหม่ ดังนั้น สัจธรรมของเก้าแดน และการบำเพ็ญเพียรในแดนที่สิบ มันก็เป็นเพียงก้อนหินแต่ละก้อนที่เป็นรากฐานให้กับเขาเท่านั้น ล้วนแล้วแต่ไม่สามารถขาดแม้เพียงหนึ่งเดียว

แน่นอนที่สุด หลี่ชิเย่ในขณะนี้ไม่รีบเร่งที่จะก้าวขึ้นสู่จุดสูงสุด และไม่รีบร้อนที่จะไปสืบทอดชะตาฟ้า กล่าวสำหรับเขาแล้ว เขาไม่จำเป็นจ้องรีบร้อนไปแย่งชิงชะตาฟ้า สิ่งที่เขาต้องทำในเวลานี้ก็คือการกระทุ้งพื้นฐานให้มั่นคงแข็งแรง ให้สัจธรรมของเก้าแดนและสัจธรรมของแดนที่สิบจะได้เสริมสร้างและเกื้อหนุนซึ่งกันและกันในอนาคต เป็นการเตรียมการสำหรับการบุกเบิกยุคสมัยที่ใหม่ทั้งหมดให้กับเขาในอนาคต

กล่าวสำหรับหลี่ชิเย่แล้ว การก้าวขึ้นสู่จุดสูงสุด การสืบทอดชะตาฟ้าหาใช่เป็นเรื่องที่ยากเย็นอะไร สิ่งที่ยากอย่างแท้จริงคือต้องกระโดดออกไป ขอเพียงสามารถกระโดดออกไปได้ การต่อสู้ครั้งสุดท้ายในอนาคตจึงจะสามารถหัวเราะจนถึงที่สุด

แต่ทว่า วิถีทางอันยาวไกล การที่คิดจะกระโดดออกไปได้อย่างแท้จริงใช่เป็นเรื่องง่ายดาย เป็นการกล่าวที่ไม่ได้โอ้อวดเลยว่า การที่จะดำเนินการศักราชที่ใหม่ทั้งหมด มันจะเป็นการเริ่มต้นสายน้ำแห่งกาลเวลาที่ใหม่ทั้งหมด ซึ่งหาใช่เป็นเรื่องที่ง่ายดาย

แต่ว่า หลี่ชิเย่กลับมีความมั่นใจเต็มเปี่ยมสำหรับการเริ่มต้นที่ใหม่ทั้งหมดนี้ ขอเพียงเขาก้าวเดินต่อไปเรื่อยๆ ต้องประสบผลสำเร็จอย่างแน่นอน!

Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *