Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล 1948 วางแผน

Now you are reading Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล Chapter 1948 วางแผน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

หลังจากเผ่ารอยโลหิตได้ไปจากแล้ว ฟ้าดินแห่งนี้ดูจะเงียบสงัดวิเวกวังเวง กระทั่งอยู่ในความเงียบงัน

หลี่ชิเย่มองดูแท่นบูชาแล้วถึงกับเผยรอยยิ้มจางๆ ออกมา และกล่าวว่า “กาลเวลาไม่มีสิ้นสุด ถ้าหากไม่ทำลายเจ้าเสีย ไหนเลยสามารถทำให้เสียงร้องของสรรพชีวิตที่เศร้าโศกชาติแล้วชาติเล่า ไม่สามารถเวียนว่ายตายเกิดชาติแล้วชาติเล่า สามารถไปผุดไปเกิดและสงบได้อย่างไรกันเล่า”

เมื่อเอ่ยมาถึงตรงนี้แล้ว แววตาของหลี่ชิเย่ส่งประกายบานเบ่งออกมา ปณิธานการฆ่าที่น่ากลัวเต้นระริก ในส่วนลึกของดวงตาทั้งสองเหมือนก่อเกิดพายุที่ทำลายล้างโลกขึ้นมา

ในขณะนี้ หลี่ชิเย่ได้หวนนึกถึงและมองดูสถานการณ์ที่ห่างไกลออกไป กล่าวขึ้นมาช้าๆ ว่า “ข้าคือเพชฌฆาตของโลกมนุษย์ สมควรมีผู้ที่มารนหาที่ตายแล้ว อย่าหาว่าข้าโหดเหี้ยมเกินไป ต้องโทษที่มีคนไม่รู้จักคำว่าตาย ไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ”

ครั้นหลี่ชิเย่เอ่ยมาถึงตรงนี้แล้วอดที่จะมองดูแทนบูชานั่น เผยรอยยิ้มเต็มใบหน้าออกมา และเอ่ยขึ้นมาช้าๆ ว่า “หลังจากสวรรค์ลงทัณฑ์ในครั้งนั้นแล้วก็ไม่ได้ปรากฏตัวออกมาเลย ต่อให้ฟ้าถล่มดินทลายก็ยากที่จะรบกวนให้เจ้าต้องตระหนกตกใจได้ แต่ว่า ข้ากลับอยากจะพนันด้วยสักครั้งหนึ่ง ไม่เชื่อว่าจะล่อให้เจ้าออกมาไม่ได้ ไม่เชื่อว่าเจ้าจะหลับใหลหดหัวอยู่แต่ในรัง หากว่าปลาจะไม่ติดเบ็ดคงเป็นเพราะเหยื่อไม่หวานมันเพียงพอ”

หลี่ชิเย่จะร่วมมือกับนักปราชญ์สังหารผู้ยิ่งใหญ่ที่อยู่ในความมืด ขณะที่ผู้ยิ่งใหญ่ที่แข็งแกร่งและดึกดำบรรพ์ที่สุดของไกลกันดารนอนหลับไหลอยู่ในรังเก่าที่อยู่ลึกลงไปที่สุดใต้แท่นบูชาแห่งนี้นี่เอง

รังที่อยู่ลึกลงไปมากที่สุดแห่งนี้แข็งแกร่งมากจนไม่อาจตีให้แตกได้ คิดจะบุกตีเข้าไปเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ มันคือสถานที่ที่ผู้ยิ่งใหญ่แห่งไกลกันดารมีไว้ป้องกันชีวิตของเขา หากไม่มีหลักกฎเกณฑ์ดั้งเดิมของผู้ยิ่งใหญ่แล้วไม่สามารถเปิดออกได้

แม้ว่าบุกฝ่าเข้าไปภายในรังไม่ได้ แต่ว่า สามารถล่อให้ผู้ยิ่งใหญ่แห่งความมืดมิดออกมาได้

ผู้ยิ่งใหญ่แห่งความมืดมิดได้นอนหลับใหลอยู่ในรังเก่ามาเป็นเวลาที่ยาวนานสุดเปรียบเปรย นับตั้งแต่คราวก่อนที่ได้ร่วมมือกับผู้ที่มีความทะเยอทะยานสูง สร้างเผ่ารอยโลหิตขึ้นมาแล้วถูกสวรรค์ลงทัณฑ์ หลังจากนั้นก็ไม่เคยได้ปรากฏตัวออกมาอีกเลย ครั้งนั้นเขาได้รับบาดเจ็บสาหัสจากสวรรค์ลงทัณฑ์ ดังนั้น จึงหลบซ่อนอยู่ภายในหลังเก่าของตนและหลับใหลไม่ตื่นขึ้นมาอีกเลย

กล่าวสำหรับผู้ยิ่งใหญ่ระดับนี้แล้ว ต่อให้ข้างนอกเกิดฟ้าถล่มดินทลายขึ้นมา หรือโลกแตกสลาย ขอเพียงไม่มีสิ่งของ หรือเรื่องราวที่ทำให้เขาหวั่นไหวได้ เขาก็จะนอนหลับใหลอยู่อย่างนั้นไม่ตื่นขึ้นมา และหลบอยู่อย่างนั้นตราบชั่วฟ้าดินสลาย

กล่าวสำหรับผู้ยิ่งใหญ่แห่งความมืดมิดผู้นี้แล้ว โลกนี้สิ่งที่สามารถทำให้เขาหวั่นไหวได้มีเพียงไม่กี่อย่างเท่านั้น แต่ทว่า หลี่ชิเย่ยังคงมีวิธีสามารถล่อให้เขาต้องออกมาจากรังเก่าจนได้อยู่แล้ว

หลี่ชิเย่รู้ดีว่าที่ตนเองต้องเผชิญนั้นดำรงอยู่ในสถานะที่แข็งแกร่งเพียงใด น่าสยดสยองเพียงใด ดังนั้น หลี่ชิเย่จึงไม่กล้าประมาท เขาได้สร้างสถานการณ์ที่ยอดเยี่ยมที่สุดไว้ที่ตรงนี้ เรียกได้ว่าเพื่อสร้างสถานการณ์ที่ยอดเยี่ยมนี้ หลี่ชิเย่ได้อาศัยทรัพยากรปริมาณมหาศาล เป็นต้นว่าศิลาแกร่ง ศิลาขมุกขมัว โลหะเซียน โลหะศักดิ์สิทธิ์…ทรัพยากรจำนวนนับไม่ถ้วนล้วนแล้วแต่ถูกนำมาใช้สร้างสุดยอดสถานการณ์ในครั้งนี้

เรียกได้ว่าเพื่อสร้างสุดยอดสถานการณ์นี้แล้ว หลี่ชิเย่ได้พยายามพิจารณาใคร่ครวญอย่างสุดความสามารถ เรียกได้ว่าความรู้ความสามารถที่มีมาชั่วชีวิตล้วนแล้วแต่ถูกนำมาใช้ในการสร้างสถานการณ์ครั้งนี้

ขณะเดียวกัน เพื่อประกันให้การสร้างสุดยอดสถานการณ์ในครั้งนี้ไม่มีผิดพลาดอย่างแน่นอน หลี่ชิเย่ถึงกับทุ่มแร่เซียนปีศาจระกาถึงสามสิบชิ้น กล่าวได้ว่าเป็นการทุ่มทุนครั้งมโหฬารของหลี่ชิเย่แล้ว

สมควรทราบว่า ครั้งนั้นขณะอยู่ที่เก้าแดน หลี่ชิเย่ได้ขอผลึกเซียนปีศาจระกาจากปีศาจระกามาได้แค่หนึ่งร้อยชิ้นเท่านั้นเอง เวลานี้เพื่อลอบโจมตีผู้ยิ่งใหญ่แห่งความมืดผู้นี้แล้ว หลี่ชิเย่ถึงกับยอมลงทุนทุ่มแร่เซียนปีศาจระการวดเดียวถึงสามสิบชิ้น

ในยุคอเวจี เขาได้วางค่ายกลใหญ่เพื่อทำลายล้างอเวจีมาแล้วเช่นกัน ซึ่งในครั้งนั้น หลี่ชิเย่เพียงอาศัยแร่เซียนปีศาจระกาไม่กี่ชิ้นเท่านั้นเอง

แต่ว่า มาคราวนี้หลี่ชิเย่ถึงกับใช้แร่เซียนปีศาจระการวดเดียวถึงสามสิบชิ้น ย่อมสามารถประเมินได้ว่า สงครามครั้งนี้มันน่าสยดสยองเพียงใดแล้ว

แม้จะเป็นเช่นนี้ก็ตาม ขอเพียงสามารถสังหารผู้ยิ่งใหญ่แห่งความมืดได้ ต่อให้ต้องทุ่มแร่เซียนปีศาจระกาถึงสามสิบชิ้นก็คุ้มค่า เนื่องจากหากสามารถสังหารผู้ยิ่งใหญ่แห่งความมืดได้ ไม่เพียงทำให้หลี่ชิเย่สามารถชิงเอาทรัพยากรและของล้ำค่าจำนวนนับไม่ถ้วนทั้งหมดของผู้ยิ่งใหญ่แห่งความมืดมาได้เท่านั้น กระทั่งมีความเป็นไปได้ที่จะได้อาวุธยอดเยี่ยมแห่งยุคมาด้วย

ที่สำคัญมากที่สุดก็คือ ถ้าหากสามารถสังหารผู้ยิ่งใหญ่แห่งความมืดได้ ย่อมมีความหมายที่ยิ่งใหญ่ยากจะหาใดเทียม ไม่เพียงเป็นการเตือนบรรดาคนที่หลบซ่อนตัวอยู่ในความมืดเหล่านั้น ให้คนเหล่านี้ได้เข้าใจว่า โลกนี้ยังคงมีคนที่สามารถสังหารพวกเขาได้ ขณะเดียวกัน เป็นการจุดประกายแห่งความหวังในใจให้กับผู้คนจำนวนมาก ในอนาคตหากความมืดปรากฎขึ้นมา ท่ามกลางความสิ้นหวังยังคงทำให้ผู้คนมีความหวังในใจว่า ยังคงสามารถกวาดล้างความมืดเหล่านั้นให้ราบคาบได้

เป็นข้อเตือนใจสำหรับผู้ที่มีท่าทีโอนเอนไม่แน่นอนให้เข้าใจว่า พวกเขาควรเลือกที่จะยืนอยู่ฝ่ายไหน!

หลี่ชิเย่ได้พยายามพิจารณาใคร่ครวญอย่างสุดความสามารถ งัดเอาวิธีการที่ฝืนลิขิตสวรรค์จำนวนนับไม่ถ้วนออกมาใช้ ทำการสร้างสุดยอดสถานการณ์เอาไว้ที่นี่ อีกทั้งทุกๆ ขั้นตอน ทุกๆ รายละเอียดล้วนแล้วแต่มีการวางกลยุทธเอาไว้อย่างสมบูรณ์ไม่มีที่ติ เนื่องจากพวกเขาต้องเผชิญกับผู้ที่ดำรงอยู่ในฐานะที่น่าสยดสยองยิ่งนัก หากแม้มีข้อผิดพลาดเพียงนิดเดียว เท่ากับต้องแพ้ทั้งกระดาน

ขณะที่หลี่ชิเย่กำลังวางแผนการณ์อย่างยากลำบาก ผู้คนส่วนใหญ่ของชิงโจวกำลังหลงระเริงอยู่กับข่าวสะเทือนฟ้ากรณีจินเก๋อได้บรรลุเป็นจอมราชัน สำหรับการได้เป็นจอมราชันของจินเก๋อนั้น มีทั้งผู้ที่ชื่นชมยินดี และมีผู้ที่รู้สึกกังวล แน่นอน ที่ดีใจมากที่สุดย่อมเป็นเผ่าสวรรค์แล้ว

จะอย่างไรเสีย เผ่าสวรรค์ได้ให้กำเนิดจอมราชันในยุคนี้แล้วถึงสององค์ นับว่าชาตินี้เผ่าสวรรค์ได้ช่วงชิงความได้เปรียบเอาไว้ก่อนได้มากมาย

แต่ว่า ว่าไปแล้วก็ให้รู้สึกแปลก ตัวของจินเก๋อเองไม่ได้แจ้งต่อใต้หล้าถึงการขึ้นเป็นจอมราชันของเขา และไม่ได้แสดงอำนาจบารมีของจอมราชันออกตรวจเยี่ยมไปทั่วสารทิศ หลังจากบรรลุเป็นจอมราชันแล้ว จินเก๋อดูจะทำตัวค่อมต่ำเป็นพิเศษ เงียบสงบเป็นพิเศษ

สมควรทราบว่า การที่ผู้บำเพ็ญตนสักคนสามารถบรรลุจนได้เป็นจอมราชันได้นั้น เป็นเรื่องที่เชิดชูต่อวงศ์ตระกูลอย่างแน่นอน ยิ่งไปว่านั้นการสืบทอดชะตาฟ้าได้ในครั้งเดียว ย่อมสามารถสร้างชื่อให้ในยุคสมัยของตนได้อย่างล้นเหลือ

เป็นความจริง การที่ผู้บำเพ็ญตนคนหนึ่งได้เป็นถึงจอมราชัน ย่อมมีคุณสมบัติที่จะประกาศต่อทั่วหล้า และตรวจเยี่ยมทุกสารทิศ เพื่อวางรากฐานเกี่ยวกับฐานะของตนเอง

แต่ว่า จินเก๋อไม่ได้ทำเช่นนี้ กลับดูจะทำตัวค่อมต่ำเป็นพิเศษ กระทั่งตระกูลขุนนางโบราณจ้านหวังเองก็ไม่ได้ออกประกาศต่อใต้หล้า และไม่ได้มีพระราชโองการใดๆ ที่ประกาศออกมา

เป็นที่ทราบกันว่า การที่จินเก๋อได้เป็นจอมราชัน เป็นการบ่งบอกว่าตระกูลขุนนางโบราณจ้านหวังได้ให้กำเนิดจอมราชันแล้วถึงหกองค์ด้วยกัน สายสำนักราชันเซียนที่ให้กำเนิดจอมราชันหกองค์นี้ อย่าว่าแต่ในชิงโจวเลย ทอดสายตามองออกไปในสิบสามทวีปก็มีเพียงไม่กี่แห่งเท่านั้น สามารถได้รับการยกย่องว่าเป็นสำนักระดับยักษ์ใหญ่ได้อย่างแน่นอน

การได้เป็นจอมราชันของจินเก๋อ ย่อมเป็นข่าวดีที่ยิ่งใหญ่มากสำหรับตระกูลขุนนางโบราณจ้านหวัง แต่ว่า น่าแปลกตรงที่แม้แต่ตระกูลขุนนางโบราณจ้านหวังก็ดูจะทำตัวค่อมต่ำเป็นพิเศษ ไม่ได้มีการแจ้งต่อผู้หนึ่งผู้ใด หรือสำนักหนึ่งสำนักใดทั้งสิ้น

การที่จินเก๋อและตระกูลขุนนางโบราณจ้านหวังทำตัวค่อมต่ำขนาดนี้ นับว่าเหนือความคาดคิดของผู้คนจำนวนมาก กระทั่งมีผู้คนจำนวนไม่น้อยรู้สึกว่าไม่ปรกติ โดยเฉพาะอยางยิ่งบรรดาระดับจอมเทพที่ผ่านโลกมาแล้ว อดที่จะวิจารณ์กันขึ้นมา แม้ว่าทุกกคนไม่กล้าวิจารณ์กันอย่างเปิดเผย แต่ในทางลับๆ แล้วได้มีการคาดเดากันไปต่างๆ นานา

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ผู้คนไม่รู้ก็คือ ขณะที่ผู้คนจำนวนมากต่างกำลังวิพากวิจารณ์กันถึงเรื่องที่จินเก๋อได้เป็นจอมราชันนั้น ในแดนแห่งการสืบค้นได้มีการรวมตัวกันอย่างลับๆ ของเหล่าจอมราชันเซียนหวัง

เรื่องการรวมตัวกันของจอมราชันเซียนหวังช่างเป็นเรื่องที่น่ากลัวยิ่งนัก กระทั่งเรียกได้ว่า เป็นเรื่องที่อยู่เหนือจินตนาการของผู้คน เนื่องจากการรวมตัวกันของจอมราชันเซียนหวังไม่ได้มีเพียงแค่ไม่กี่องค์เท่านั้น การรวมตัวของจอมราชันเซียนหวังในครั้งนี้มีจำนวนมากกว่าสิบองค์ขึ้นไป

อีกทั้งยังมีจอมราชันของเผ่าสวรรค์ที่เข้าร่วมด้วย ซึ่งเป็นเรื่องที่ผู้คนไม่สามารถจินตนาการได้เลย

ในโลกนี้ มีใครกันเล่าที่สามารถรวบรวมจอมราชันเซียนหวังได้มากมายถึงเพียงนี้ ยิ่งไปกว่านั้นที่ยากมากที่สุดก็คือ สามารถทำให้จอมราชันของเผ่าสวรรค์มาร่วมอยู่ในนั้นด้วย

เรียกได้ว่า นอกจากการเดินทางไกลเพื่อปราบปรามเป็นครั้งสุดท้ายแล้ว ยากนักที่สามารถทำให้เซียนหวังของร้อยชาติพันธุ์ร่วมมือกับจอมราชันของเผ่าเทพ เผ่ามารและเผ่าสวรรค์ได้

ต่อให้เซียนหวังของร้อยชาติพันธุ์ได้มีการหย่าศึกกับจอมราชันของเผ่าเทพ เผ่ามาร และเผ่าสวรรค์ทั้งสามเผ่าในศึกล่าราชันไปแล้ว อย่างไรเสียยังคงเป็นผู้ที่ยืนอยู่คนละค่ายกันอยู่แล้ว ถ้าหากเป็นสัญญาเล็กๆ และเป็นการร่วมมือของจอมราชันเซียนหวังสองสามคนยังเกิดขึ้นได้ แต่การร่วมมือกันระหว่างจอมราชันเซียนหวังจำนวนมากเช่นนี้ ยกเว้นการเดินทางไกลเพื่อปราบปรามเป็นครั้งสุดท้ายแล้ว เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เด็ดขาด

จอมราชันเซียนหวัง และจอมเทพที่มีสิทธิ์ได้รับรู้ถึงเรื่องราวเรื่องนี้แต่ไม่สามารถเข้าร่วมได้ต่างรู้สึกหวาดหวั่นพรั่นพรึงอยู่ในใจ แม้ว่าพวกเขาไม่รู้ว่าการรวมตัวกันของจอมราชันเซียนหวังรวมตัวด้วยเรื่องอะไร แต่พวกเขารู้ว่าจะมีเรื่องที่ใหญ่มากกำลังจะเกิดขึ้น

“ฟ้าจะเปลี่ยนสีแล้วรึ? ยกเว้นการเดินทางไกลเพื่อปราบปรามเป็นครั้งสุดท้ายแล้ว ยากที่จะรวบรวมจอมราชันเซียนหวังได้มากมายถึงเพียงนี้แล้ว” จอมเทพรุ่นดึกดำบรรพ์ถึงกับกล่าวด้วยท่าทีหวาดกลัวจนขุนลุกขนพอง

“เป็นการออกหน้าของจอมราชันเซียนหวังที่มีชะตาฟ้าสิบสองสายรึ? มิฉะนั้นล่ะก็ ในโลกนี้ยังจะมีใครที่สามารถทำให้เหล่าราชันร่วมมือกันได้” มีจอมราชันรุ่นใหม่กล่าวด้วยความรู้สึกตระหนก

ณ แดนแห่งการสืบค้น ได้มีจอมราชันเซียนหวังแต่ละองค์ที่มาถึงกันแล้ว เพียงแต่ผู้คนในโลกยังไม่ทราบเท่านั้นเอง จอมราชันเซียนหวัง และจอมเทพที่มีสิทธิ์ทราบเรื่องนี้ไม่กล้าวิจารณ์เรื่องนี้ ได้แต่เฝ้ามองดูอย่างลับๆ เท่านั้น

ผู้คนบนโลกยังไม่รู้ว่ามีเรื่องใหญ่สะเทือนฟ้าเกิดขึ้นที่แดนแห่งการสืบค้น ผู้คนส่วนใหญ่ยังหลงใหลอยู่กับเรื่องที่จินเก๋อได้เป็นจอมราชัน ขณะที่ลับๆ นั้นปรากฏจอมราชันเซียนหวังแต่ละองค์ที่จ้องเขม็งอยู่กับฟ้าดินแห่งนี้ รอคอยโอกาสที่จะมาถึง

“เฟี้ยวว…” เสียงหวีดร้องเสียงหนึ่งดังขึ้น ขณะที่แดนแห่งการสืบค้นยังคงเงียบสงบอยู่นั้น พลันปรากฏเสียงหวีดร้องของธนูดังขึ้นเสียงหนึ่ง

เสียงหวีดร้องของธนูเสียงนี้เบามาก แรกทีเดียวทุกคนไม่ได้ใส่ใจ และไม่มีผู้คนให้ความสนใจสักเท่าไร

“เฟี้ยวว…” เสียงหวีดร้องของธนูยังคงดังขึ้น แต่ยังคงไม่ได้ดังมากนัก ยังคงยากที่จะสร้างความสนใจให้กับผู้คน

“เฟี้ยวว…” เสียงหวีดร้องของธนูดังขึ้นมาหลายครั้ง อีกทั้งยังดังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แม้ว่าเสียงแบบนี้จะไม่ได้สร้างความตระหนกต่อฟ้าดิน แต่ทุกคนสามารถได้ยิน และเสียงหวีดร้องของธนูเช่นนี้ได้สะท้อนก้องอยู่ภายในใจของผู้คน

เสียงหวีดร้องของธนูลักษณะเช่นนี้หาใช่ส่งผ่านจากข้างหู แต่เป็นการดังสะท้อนก้องอยู่ในใจของทุกๆ คน เหมือนว่ามีเสียงๆ หนึ่งถูกยิงตรงผ่านเข้าไปในจิตใจของผู้คนอย่างนั้น ลักษณะของเสียงแบบนี้ต่อให้อุดหูเอาไว้ก็ยังคงได้ยินเหมือนเดิม

“แย่แล้ว…” ระดับบรรพบุรุษที่มากด้วยประสบการณ์ยิ่งนัก เมื่อได้ยินเสียงหวีดร้องของธนูหลายครั้ง พลันมีสีหน้าที่เปลี่ยนไปมากทีเดียว

“พวกเราไปจากที่นี่กัน” ใบหน้าของบรรพบุรุษผู้นี้ขาวซีด นำพาศิษย์ในสำนักถอนตัวออกไปทันที

“ท่านบรรพบุรุษ เกิดเรื่องอะไรกันแน่” ผู้เยาว์ที่เห็นบรรพบุรุษที่แข็งแกร่งที่สุดของสำนักตนล่าถอยอย่างลุกลี้ลุกลนแบบนี้ เอ่ยถามด้วยความสงสัยยิ่ง

“ไม่ต้องถามมากความ มีผู้ที่สามารถฆ่าคนแบบไร้ร่องรอย” บรรพบุรุษผู้นี้ให้ผู้เยาว์ของตนหุบปากทันที แล้วล่าถอยออกไปอย่างลุกลี้ลุกลน ไม่กล้าชักช้าแม้แต่น้อย

“เฟี้ยวว เฟี้ยวว เฟี้ยวว…” เสียงหวีดร้องของธนูดังขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า ดังขึ้นภายในจิตแห่งการบำเพ็ญเพียรของผู้คนทุกคน

แรกเริ่มทีเดียวผู้คนจำนวนมากยังไม่ได้ใส่ใจกับมัน แต่ว่าเมื่อดังมากเข้าๆ ก็อดที่จะรู้สึกหงุดหงิดไม่ได้

“สารเลวคนไหนทำลับๆ ล่อๆ แอบรบกวนจิตใจของผู้คน เก่งจริงปรากฏตัวออกมาสู้กันให้รู้ดำรู้แดงไปข้างหนึ่ง” ระดับบรรพบุรุษที่ไม่รู้ถึงความลึกซึ้งพิสดารของเสียงหวีดร้องของธนูนี้ ร้องตวาดออกไปเสียงดังท้าทายขึ้นไปบนท้องฟ้า เมื่อถูกเสียงหวีดร้องของธนูรบกวนจนหงุดหงิด

Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *