Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล 1870 กลืนกินและดูดเลือด

Now you are reading Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล Chapter 1870 กลืนกินและดูดเลือด at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 1870 กลืนกินและดูดเลือด
ธิดาราชันฉีหลินถึงกับพยักหน้าเห็นด้วย เมื่อได้ยินคำพูดของหลี่ชิเย่ ในขณะนี้นางก็ได้จ้องมองดูศิลาจารึกที่สูงใหญ่ยิ่งนักอย่างจริงจัง

พื้นที่ตรงนี้ถูกโครงกระดูกแห้งกรังถมจนเต็มสุดลูกหูลูกตา มองด้วยสายตาก็สามารถรู้ได้ทันทีว่าเป็นโครงกระดูกในยุคสมัยที่ยาวนานมากมาแล้ว แต่ว่า ท่ามกลางกองกระดูกขาวมีหนังหุ้มกระดูกที่แห้งกรังบางส่วน พลันที่มองเห็นก็รู้ว่าคนเหล่านี้เพิ่งตายได้ไม่นาน

ขณะที่ทุกคนล้วนแล้วแต่สังเกตดูศิลาจารึกขนาดยักษ์แผ่นนี้อยู่นั้น ได้มีผู้เฒ่าที่แข็งแกร่งผู้หนึ่งพูดขึ้นมาว่า “สิ่งนี้คือแท่นบูชาที่สุดยอดมาก หากได้ครอบครองมันแล้ว ต้องสามารถกลั่นบูชาเทพมารได้แน่นอน”

ผู้เฒ่าผู้นี้มีชื่อเสียงไม่เบา เมื่อผู้บำเพ็ญตนจำนวนไม่น้อยที่อยู่บริเวณใกล้เคียงได้ยินคำพูดของเขาแล้ว ต่างเห็นด้วยกับความเห็นของเขา

“จะลงมือกันมั้ย? หากนำเอาแท่นบูชานี้กลับไป ไม่แน่นักอาจจะกลายเป็นสมบัติประจำพรรคก็เป็นได้” ยอดฝีมือกลุ่มคนรุ่นใหม่อดที่จะลองดูเมื่อมองเห็นศิลาจารึกขนาดยักษ์แผ่นนี้ อยากจะบุกเข้าไปตอนนี้ให้มันรู้แล้วรู้รอดไป

“อย่าใจร้อน รอดูไปก่อน” ผู้อาวุโสได้ปรามศิษย์หนุ่มที่อยากจะลองเต็มทีเอาไว้ ส่ายหน้าเบาๆ และกล่าวว่า “ศิลาจารึกนี้ร้ายกาจมาก เมื่อครู่กษัตริย์หลงเจี้ยนเหอทดลองแล้ว และกลายเป็นหนังหุ้มกระดูกเสียแล้ว นั่นก็คือศพของเขา” กล่าวพลางชี้ไปที่บนกองกระดูกกองหนึ่ง มองเห็นที่ตรงนั้นมีหนังหุ้มกระดูกนอนอยู่ บนตัวสวมใส่ชุดมังกร พลันที่เห็นก็รู้ว่าขณะที่เขามีชีวิตอยู่คือกษัตริย์องค์หนึ่ง

“แม้แต่กษัตริย์หลงเจี้ยนเหอก็ต้องตายแบบนี้?” เมื่อชายหนุ่มที่อยากจะทดลองมากมองเห็นหนังหุ้มกระดูกนี้แล้วถึงกับเสียวสันหลังวาบ เนื่องจากตัวเขาเติบโตขึ้นมาด้วยการฟังเรื่องราวของกษัตริย์หลงเจี้ยนเหอ ไม่นึกเลยว่า ในเวลานี้เขาได้กลายเป็นศพแห้งกรังไปแล้ว

ความจริงแล้ว เมื่อครู่ที่ผ่านมามียอดฝีมือจำนวนไม่น้อยต้องการยึดครองศิลาจารึกขนาดยักษ์แผ่นนี้มาเป็นของตน แต่กลับถูกดูดเอาลมปราณไปทั้งหมด กลายเป็นศพแห้งแต่ละศพกันไป

เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ผู้ที่มาภายหลังจึงต้องระมัดระวังรอบคอบเข้าไว้ ไม่กล้าเข้าไปใกล้กับศิลาจารึกขนาดยักษ์ที่อยู่ตรงหน้า เพื่อป้องกันไม่ให้ตนเองต้องถูกดูดลมปราณจนแห้ง

“ข้ากลับไม่เชื่อในความชั่วร้าย…” ในที่สุด มียอดฝีมือผู้หนึ่งอดทนต่อไปไม่ไหว เมื่อเห็นผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ทั้งหมดล้วนแล้วแต่ยืนดูเฉยๆ และต่างพินิจพิเคราะห์ศิลาจารึกขนาดยักษ์แผ่นนี้อยู่ในระยะห่างไกล

คนผู้นี้คือผู้เฒ่าที่ผมขาวโพลนคนหนึ่ง เขาสวมชุดมังกรสีม่วง บนชุดมังกรได้ปักมังกรทองห้าเล็บตัวหนึ่ง แยกเขี้ยวกางเล็บ ดูองอาจยิ่งนัก ดวงตาของผู้เฒ่าผู้นี้สดใสยิ่งนัก ตาดำของเขาได้เปลี่ยนจากสีฟ้าครามกลายเป็นม่วง เสมือนหนึ่งได้กลับกลายเป็นนัยน์ตาม่วงอย่างนั้น

“กษัตริย์จื่อหวินจะลงมือแล้วหละ” ผู้คนจำนวนไม่น้อยที่มองเห็นผู้เฒ่าที่อดกลั้นไม่ไหวผู้นี้แล้ว สามารถจดจำประวัติความเป็นมาของเขาได้พร้อมกับเอ่ยขึ้นเบาๆ

“กษัตริย์จื่อหวินเป็นยอดฝีมือของเผ่ามาร เคล็ดราชันเซียนของเขายอดเยี่ยมที่สุด ดูท่าเขาจะนำเอาอาวุธราชันเซียนมาด้วย” มีผู้ที่พูดเสียงแผ่วเบาขึ้นมา เมื่อเห็นผู้เฒ่าผู้นี้ถึงกับกล้าลงมือด้วยความสะเพร่า

กษัตริย์จื่อหวินผู้นี้นับเป็นกษัตริย์ที่มีชื่อเสียงไม่น้อยในชิงโจว โดยมีชาติกำเนิดเป็นสายสำนักราชันเซียน สังกัดเผ่ามาร มีกำลังที่แข็งแกร่งมาก การที่ตาดำของเขาเปลี่ยนจากฟ้าครามเป็นม่วงก็คือสัญลักษณ์ที่ดีที่สุด

ศิษย์ของเผ่ามารจะมีลักษณะเฉพาะอย่างหนึ่ง พวกเขามีตาดำเป็นสีฟ้าคราม แต่เมื่อมีความแข็งแกร่งจนถึงระดับหนึ่งแล้ว ตาดำก็จะเปลี่ยนจากสีฟ้าครามกลายเป็นสีม่วง ยิ่งแข็งแกร่งมากเท่าไรมีม่วงก็จะเข้มมากยิ่งขึ้น เล่าลือกันว่าผู้ที่มีสายเลือดผนึกมารของเผ่ามารจะได้ครอบครองตาดำสีเหลืองคู่หนึ่ง

ในเวลานี้ กษัตริย์จื่อหวินสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ทีหนึ่ง ก้าวเท้าเข้าไปในกองกระดูก เขาเดินเข้าหาแท่นบูชาอย่างช้าๆ ขณะนี้เขาได้ปลดปล่อยลมปราณออกมา ได้ยินเสียงดัง “ตูม” ดังสนั่นขึ้นมาด้วยพลังลมปราณที่ทรงพลังยิ่ง จากนั้น เขาได้นำเอาพลังลมปราณทั้งหมดแปรเปลี่ยนเป็นพลังม่วงท่ามกลางเสียงดังตูมตาม “กรรร” เสียงมังกรคำราม พลังลมปราณของเขาได้กลายเป็นมังกรสีม่วงตัวหนึ่งขดตัววนอยู่รอบกายเพื่อคุ้มครองตัวเขา

ผู้คนจำนวนมากที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ทีหนึ่ง เมื่อเห็นกษัตริย์จื่อหวินเดินตรงไปยังแท่นบูชา ทุกคนอยากจะรู้ว่ากษัตริย์จื่อหวินจะทำได้สำเร็จหรือไม่

“จี๊ด จี๊ด จี๊ด…” เสียงแผ่วเบาดังขึ้นมาเป็นระลอก ขณะที่กษัตริย์จื่อหวินเดินเข้าไปใกล้จะถึงแท่นบูชานั้น ลมปราณของเขากลับไม่อยู่ในความควบคุม เลือดสดๆ ที่ม้วนตัวลอยออกจากร่างกายของเขา เหมือนว่ามีพลังที่แข็งแกร่งและทรงพลังยิ่งต้องการดึงเอาลมปราณของเขาแยกออกจากตัวของเขาอย่างนั้น

“คงที่…” กษัตริย์จื่อหวินร้องเสียงทุ้มต่ำออกมา พลันปรากฎประกายออกมาทั่วร่าง อานุภาพราชันเซียนพุ่งขึ้นมา สำแดงเคล็ดจอมราชันขึ้น จากการที่เสียงมังกรคำรามดังไม่ขาดสาย ปรากฏอักขระยันต์จอมราชันแต่ละดวงที่มีน้ำหนักไร้ขีดจำกัดขึ้นมา อักขระยันต์จอมราชันแต่ละดวงพลันประทับสลักลงบนตัวมังกรม่วงที่ลอยล่องวนอยู่ข้างกายกษัตริย์จื่อหวินในทันที

เสียง “ตูม” ดังสนั่น มังกรม่วงพลันปะทุสุดยอดอานุภาพราชันขั้นสูงสุดขึ้นมา เสมือนปกป้องอย่างมั่งคงได้ในขั้นตอนเดียว เพื่อหยุดลมปราณที่ถูกดึงออกไปของกษัตริย์จื่อหวินเอาไว้

เป็นไปตามคาด ยามที่อานุภาพราชันราชันปะทุขึ้นมานั้น ลมปราณของกษัตริย์จื่อหวินที่ถูกดูดออกจากร่างได้ชะงักลงจริงๆ เหมือนว่าเคล็ดราชันที่ยากจะหาใดเทียมสามารถคงลมปราณของตนเอาไว้ได้อย่างนั้น

ทุกคนต่างแอบชื่นชมกับภาพที่ได้เห็น เคล็ดราชันย่อมเป็นเคล็ดราชัน ไม่เสียทีที่เป็นสุดยอดเคล็ดวิชาที่คิดค้นและสร้างขึ้นโดยจอมราชัน อานุภาพปราศจากผู้เทียบเทียม

“จี๊ด จี๊ด จี๊ด…” จังหวะที่แม้กระทั่งกษัตริย์จื่อหวินยังรู้สึกโล่งอกไปเปราะหนึ่ง ทันใดนั้นลมปราณของเขาเหมือนดั่งพายุรุนแรง เลือดสดๆ แต่ละสายพุ่งออกมาจากตัวรวดเร็วปานพายุ ถ้าหากจะบอกว่าการดูดลมปราณก่อนหน้าเป็นการลอกออกไปทีละชั้นๆ ล่ะก็ เวลานี้ เลือดสดๆ ที่พุ่งออกไปอย่างรุนแรงมันคือการดูดเลือดแล้ว

ได้ยินเสียงดัง “จี๊ด” ขณะที่ลมปราณของกษัตริย์จื่อหวินที่พุ่งออกจากร่างอย่างรุนแรง ภายในระยะเวลาอันสั้น ร่างกายของเขาพลันแห้งกรัง ผิวหนังแห้งเหี่ยวเต็มไปด้วยรอยเหี่ยวย่น เหมือนแก่ขึ้นหลายสิบปี ภายในระยะเวลาอันสั้น ลมปราณของเขาถูกดูดออกจากตัวไปกว่าครึ่ง

“เปิด…” มาคราวนี้ กษัตริย์จื่อหวินที่ก่อนหน้านั้นยังเปี่ยมด้วยความมั่นใจถึงกับหวาดผวาขึ้นมา ร้องคำรามเสียงดัง สำแดงพลังราชันออกมาอย่างเต็มกำลัง หวังล่าถอยกลับออกไป แต่ว่า ในเวลานี้เองเขาจึงพบว่าตัวเองนั้นไม่สามารถถอยไปได้อีกแล้ว เหมือนว่ามีพลังดูดที่ทรงพลังยากจะหาผู้ใดเทียมได้ดึงดูดตัวเขาให้เดินหน้าไปเรื่อยๆ ไม่สามารถถอยหลังไปได้แม้แต่นิดเดียว

“เปิดอีก…” กษัตริย์จื่อหวินตกใจจนมีใบหน้าที่ขาวซีด ร้องคำรามเสียงดัง พลันเสกเอาอาวุธราชันออกมาชิ้นหนึ่ง เป็นอาวุธราชันที่มีพลังมาแต่กำเนิด ชั้นคุณภาพอินทนิล ได้ยินเสียงดัง “ตูม” อานุภาพราชันอาละวาดไปทั่ว และอาวุธราชันนี้ได้กลายเป็นเสื้อเกราะสวมบนตัวของกษัตริย์จื่อหวิน เพื่อช่วยป้องกันลมปราณให้กับกษัตริย์จื่อหวิน

“จี๊ด…” เลือดสดๆ พุ่งออกมาอย่างรุนแรง ในขณะที่กษัตริย์จื่อหวินแม้ใส่เสื้อเกราะจอมราชันแล้วก็ยังคงไร้ผล เสื้อเกราะเป็นเสมือนมุ้งลวด แล้วจะหยุดยั้งลมปราณไม่ให้ไหลออกได้อย่างไร

ลมปราณลอดผ่านเสื้อเกราะของกษัตริย์จื่อหวินแล้วยิงออกไปอย่างรุนแรง เหมือนว่าพลังดูดลักษณะเช่นนี้กับการปกป้องด้วยเสื้อเกราะราชันเสมือนดั่งปราศจากภูมิคุ้มกันอย่างนั้น

“ไม่…” นาทีนี้ กษัตริย์จื่อหวินตื่นตระหนกตกใจจนเซ่อไปแล้ว แต่ว่าทุกสิ่งได้สายไปเสียแล้ว ตามด้วยเสียง “อ๊ากก” ที่น่าเวทนา และเสียงดัง “ปุ” เลือดแก่นของกษัตริย์จื่อหวินถูกดูดออกจากร่างจนหมดสิ้น เป็นพลังดูดที่น่าสยดสยองยิ่ง เพียงพริบตาเดียวก็ดูดเอาเลือดสดๆ ทั้งหมดออกจากร่างของกษัตริย์จื่อหวิน ร่างกายของกษัตริย์จื่อหวินเวลานี้ดุจดั่งเป็นกระชอนอย่างนั้น คนที่ไม่รู้ความยังเข้าใจว่าถูกอะไรยิงจนกลายเป็นรูพรุนถี่ยิบ

เพียงชั่วพริบตาเดียว กษัตริย์จื่อหวินก็กลายเป็นศพแห้งที่เหลือเพียงหนังหุ้มกระดูก

“จี๊ด จี๊ด จี๊ด…” เสียงของเหลวไหลริน เลือดสดๆ ทั้งหมดของกษัตริย์จื่อหวินที่ถูกดูดออกมาไหลรินอยู่บนแท่นบูชาโบราณนั่น โดยไหลไปตามร่องที่อยู่บนแท่นบูชาโบราณ ไหลเรื่อยไปจนถึงด้านหน้าศิลาจารึก ได้ยินเสียงดัง “จี๊ด” เลือดสดๆ ทั้งหมดได้จมหายไปอย่างไร้ร่องรอย เหมือนว่าศิลาจารึกนี้ได้ดูดเอาเลือดสดๆ ทั้งหมดจนแห้งอย่างนั้น

ภายในระยะเวลาอันสั้น กษัตริย์จื่อหวินที่มีชาติกำเนิดมาจากสายสำนักราชันเซียนก็กลายเป็นศพแห้งไป กระทั่งศาสตราวุธจอมราชันก็ไม่สามารถปกป้องตัวเขาเอาไว้ได้ ภาพนี้สร้างความหวาดกลัวจนขนลุกซู่ให้กับผู้คนจำนวนมาก มันน่าสยดสยองเหลือเกิน

ผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ต้องประเมินตนเองแล้วว่า เมื่อเปรียบเทียบกับกษัตริย์จื่อหวินแล้วตัวเองอยู่ในระดับไหน? ต่อให้ตนเองแข็งแกร่งกว่ากษัตริย์จื่อหวิน แต่ไม่ได้มีศาสตราวุธจอมราชันเช่นกษัตริย์จื่อหวิน

แม้แต่ศาสตราวุธจอมราชันก็ปกป้องกษัตริย์จื่อหวินไม่ได้ ช่างเป็นเรื่องที่สยดสยองเหลือเกิน

ธิดาราชันฉีหลินถึงกับเสียวสันหลังวาบเมื่อได้เห็นภาพเช่นนี้ และกล่าวว่า “นี่มันจะแข็งแกร่งมากเกินไปเสียแล้ว กระทั่งอยู่ภายใต้การคุ้มครองของศาสตราวุธจอมราชันยังไม่สามารถขัดขืนได้แม้แต่น้อย”

“เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับแข็งแกร่งหรืออ่อนด้อย” หลี่ชิเย่ส่ายหน้าเบาๆ และกล่าวว่า “นี่เป็นการกำหนดค่าอย่างหนึ่ง อาวุธกับกำลังความสามารถของตนไม่เข้ากัน ส่งผลให้ศาสตราวุธจอมราชันถูกทำให้ไม่มีภูมิคุ้มกัน ถ้าหากเขาอาศัยศาสตราวุธชีพแท้ของตนมาปกป้องชีวิตจะได้ผลดีกว่านี้ เมื่ออยู่ต่อหน้าแท่นบูชา ขณะที่พลังการปกป้องเข้ากันได้กับพลังของตนเองแล้ว จึงสามารถทำให้ชะตาแท้ของเจ้าสามารถรักษาลมปราณของตนเอาไว้ได้”

“นี่มันเป็นเหตุผลอะไรกัน?” ธิดาราชันฉีหลินถึงกับเอ่ยถามด้วยความสงสัย

“เรื่องนี้ต้องถามคนที่สร้างมันขึ้นมาในครั้งนั้นแล้วหละ ต้องดูว่าตอนนั้นเขาต้องการบูชาอะไร” หลี่ชิเย่ยิ้มจางๆ และเอ่ยขึ้นมาช้าๆ

บรรดาผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างนิ่งเงียบขึ้นมา เมื่อมองเห็นกษัตริย์จื่อหวินตายไปต่อหน้าต่อตาเช่นนี้ ต่อให้คนที่อยากจะทดลองมากก่อนหน้าต่างขนลุกซู่ในใจ แม้แต่ศาสตราวุธจอมราชันยังเอาไม่อยู่ พวกเขาเข้าไปเป็นเพียงรนหาที่ตายเอง

“น่าสนใจ” จังหวะที่ทุกคนนิ่งเงียบอยู่นั้น ปรากฏเสียงหนึ่งดังขึ้น เสียงนี้ไม่ได้ดังกังวานอะไรมากนัก แต่กลับเหมือนเหล็กและหินที่เคาะอยู่ในจิตใจของผู้คนทุกคน

ในเวลานี้ ปรากฏผู้เฒ่าบนภูเขาลูกหนึ่ง เขาสวมใส่ชุดสีเทาทั้งชุด ยามที่ดวงตาคู่นั้นลืมตาขึ้นมา ให้ความรู้สึกเหมือนวันเวลาไหลย้อนกลับอย่างนั้น

ผู้เฒ่าผู้นี้ที่ยืนอยู่ตรงนั้นคล้ายดั่งเป็นภูเขาขนาดยักษ์ เหมือนว่าลำพังตัวของเขาก็สามารถสยบพื้นที่ได้แถบหนึ่งอย่างนั้น

“จอมเทพซั่งกวาน…” มีผู้ที่ร้องกล่าวออกมาด้วยความเคารพ เมื่อได้เห็นหน้าผู้เฒ่าผู้นี้

มีผู้บำเพ็ญตนรุ่นอาวุโสรุ่นเดียวกับผู้เฒ่าผู้นี้ถึงกับอิจฉาตัวผู้เฒ่าเขาอยู่บ้าง กล่าวขึ้นเบาๆ ว่า “ทนทรมานมายุคสมัยหนึ่ง ในที่สุดซั่งกวานถูได้ก้าวข้ามวิบากเต๋านั้นได้แล้ว กลายเป็นระดับจอมเทพแล้วในที่สุด”

ผู้เฒ่าที่เห็นอยู่ตรงหน้ามีชื่อว่าซั่งกวานถู เป็นระดับจอมเทพคนหนึ่ง เขาถือกำเนิดในยุคสมัยก่อนหน้า พรสวรรค์และสติปัญญาล้วนแล้วแต่ธรรมดา แต่ว่าเขาได้ทนทรมานมาหนึ่งยุคสมัย ก้าวข้ามวิบากเต๋าที่กั้นระหว่างสวรรค์สัจธรรมกับจอมเทพ ในที่สุดก็สำเร็จ และกลายเป็นจอมเทพที่มีดวงตราสัญลักษณ์หนึ่งดวง

“จอมเทพซั่งกวานลงมือทดสอบสักครั้ง” มีผู้ที่ร้องตะโกนออกมา

ในเวลานี้ทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างจ้องมองไปที่ซั่งกวาน ไม่ว่าจะกล่าวเช่นใดซั่งกวานถูก็คือจอมเทพองค์หนึ่ง ต่อให้เขามีดวงตราสัญลักษณ์เพียงดวงเดียวก็ตาม

เรียกได้ว่า เมื่อเทียบกับยอดฝีมือผู้บำเพ็ญตนระดับสวรรค์สัจธรรม ต่อให้เป็นผู้ที่ได้รับการเคารพสูงสุด แม้จะเป็นจอมเทพที่มีดวงตราสัญลักษณ์เพียงดวงเดียว แต่ช่วงห่างระหว่างกันก็ยากจะชดเชยกันได้

ในขณะนี้ผู้คนจำนวนมากต่างต้องการรู้ว่าซั่งกวานถูสามารถสั่นคลอนต่อศิลาจารึกนี้ได้หรือไม่

ในขณะนี้ ซั่งกวานซือถูเองก็มีดวงตาทั้งสองที่สว่างไสว เสมือนดั่งเป็นดวงตะวันที่ร้อนแรงอย่างนั้น มีความร้อนแรงยิ่งนัก ย่อมไม่ต้องสงสัย ซั่งกวานซือถูที่อยู่ตรงหน้าก็รู้สึกสนใจต่อศิลาจารึกนี้เข้าให้แล้ว

Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *