Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล 2483 สถานการณ์ตึงเครียด

Now you are reading Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล Chapter 2483 สถานการณ์ตึงเครียด at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 2483 สถานการณ์ตึงเครียด
เมื่อปิงฉือหานยวี่พูดออกมาเช่นนี้ พลันทำให้ผู้คนจำนวนไม่น้อยหันไปจ้องมองหลี่ชิเย่ในเวลานี้ และมีผู้คนไม่น้อยที่กลั่นลมหายใจเอาไว้

“นั่นสิ” มีผู้ที่พูดสนับสนุนคำพูดของปิงฉือหานยวี่ พูดเสียงแผ่วเบาว่า “ยังเข้าใจว่าตัวเองเป็นฮ่องเต้ในครั้งนั้นนะเนี่ย เวลานี้ก็แค่คนที่หมดที่พึ่งไร้ญาติขาดมิตรเท่านั้น หากรู้จักกาลเทศะก็ทำตัวเจียมเนื้อเจียมตัวแต่โดยดี ยังคงทำตัวสูงเด่น ยกหางตัวเองเสียสูงเช่นนี้ ช้าเร็วก็ยากจะหนีความตายได้พ้น”

เวลานี้ หลี่ชิเย่ได้หันหลังกลับมาด้วยท่าทีเหนื่อยหน่าย มองหน้าปิงฉือหานยวี่ทีหนึ่ง ยิ้มตามอารมณ์และกล่าวว่า “เจ้าก็คือองค์หญิงที่ว่าของตระกูลขุนนางโบราณปิงฉือคนนั้นน่ะสิ ทำไมรึ เล่นส่งองค์หญิงตัวปลอมแต่งเข้าวัง เวลานี้แปลงร่างทีหนึ่ง ก็เข้าใจว่าตนเองนั้นสูงส่งยิ่งแล้วสิ คิดว่าตัวเองคือหงส์ในหมู่คน ท่าทางสูงเด่นอย่างนั้นแล้วสิ”

ถูกหลี่ชิเย่พูดเฉลยออกมาต่อหน้าผู้คน ทำให้สีหน้าของปิงฉือหานยวี่เปลี่ยนไป จะอย่างไรเสียเรื่องหมั้นหมายในครั้งนั้นเป็นเรื่องที่รู้กันทั่วหล้า เดิมทีนางถูกยกให้แต่งงานกับหลี่ชิเย่ เพียงแต่ตระกูลขุนนางโบราณปิงฉืออาศัยช่องว่างในภายหลังเล่นตุกติกเท่านั้นเอง

เดิมทีเรื่องที่ไร้ศักดิ์ศรีเช่นนี้ไม่ควรเปิดเผยอยู่แล้ว ไม่ว่าใครก็ไม่ต้องการนำมาพูดในที่สาธารณะ เวลานี้หลี่ชิเย่กลับเปิดโปงเรื่องนี้ต่อหน้าผู้คน ทำให้ปิงฉือหานยวี่รู้สึกอึดอัด สีหน้าบึ้งตึง

“คนเราจะมีค่าอยู่ที่รู้จักตนเอง” ปิงฉือหานยวี่จ้องมองหลี่ชิเย่ท่าทีเย็นชา และรู้สึกสะอิดสะเอียนอยู่บ้าง กล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “มิฉะนั้นล่ะก็ เป็นการหาเรื่องให้ตนเอง”

“ข้าเห็นด้วยกับคำๆ นี้” หลี่ชิเย่ถึงกับหัวเราะขึ้นมาและกล่าวท่าทีเอ้อระเหยว่า “อย่างน้อยคนที่พูดแล้วไร้สัจจะ ผู้ที่ละทิ้งความน่าเชื่อถือและศีลธรรมสัจธรรม วันๆ ก็อย่าได้ยกหางตัวเองขึ้นมา ท่าทางเหมือนต้องการอวดความงามของตน คนประเภทนี้เรียกว่าขี้เหร่แล้วเรื่องมาก เสียหน้าบรรพบุรุษของตนเองจนหมดสิ้น แม้แต่ความน่าเชื่อถือและศีลธรรมสัจธรรมที่เป็นขั้นพื้นฐานของความเป็นคนก็รักษาเอาไว้ไม่ได้ ไม่ต้องพูดถึงว่าสายเลือดของตนสูงส่งเช่นใด มีแต่ทำให้สายเลือดบรรพบุรุษต้องแปดเปื้อนทั้งนั้น”

“เจ้า…” สีหน้าของปิงฉือหานยวี่เปลี่ยนไป พลันมีสีหน้าที่ดูไม่จืดยิ่งนัก คำพูดเช่นนี้ของหลี่ชิเย่เท่ากับเป็นการตบหน้านางต่อหน้าผู้คนชัดๆ

“คุณชายหลี่ ระวังคำพูดของท่านด้วย!” เวลานี้แววตาหยางฟู่ฝานแสดงออกมาด้วยความโกรธ กล่าวเสียงทุ้มต่ำขึ้นมา

หลี่ชิเย่ไม่มีอารมณ์ที่จะมองหน้าเขาสักครั้งหนึ่งด้วยซ้ำ ยังคงมองดูหินที่อยู่บนขั้นบันไดหิน กล่าวด้วยท่าทีอย่างไรก็ได้ว่า “ทำไม เจ้าคิดจะสอนข้าว่าควรจะพูดจาอย่างไรรึ? ให้อาจารย์ของเจ้าที่ได้ชื่อว่าเป็นราชันแท้จริงคนนั้นมาพูดกับข้าก็แล้วกัน คราวก่อนรู้สึกเบื่อเลยละเว้นชีวิตให้เขาครั้งหนึ่ง คราวนี้ข้าจะเด็ดหัวของเขามาเป็นโถฉี่”

พลันที่คำพูดนี้ถูกพูดออกมา ทำให้บรรดาผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ทั้งหมดต่างมีสีหน้าที่เปลี่ยนไป ผู้คนจำนวนไม่น้อยพลันมองดูหลี่ชิเย่ตาค้างพูดอะไรไม่ออก ทุกคนล้วนแล้วแต่เคยได้ฟังมาว่าฮ่องเต้องค์ใหม่เหลวไหล แต่ตลอดเวลาที่ผ่านมาล้วนแล้วแต่แค่ได้ยินเท่านั้นเอง มาวันนี้จึงได้รู้ว่า เขาเหลวไหลจริงๆ ไม่ว่าอะไรก็กล้าที่จะพูดออกมา โดยที่ปากไม่มีหูรูดแม้แต่น้อย

คำพูดนี้ทำให้สีหน้าของหยางฟู่ฝานเปลี่ยนไปมากทีเดียว ดวงตาทั้งสองจ้องมองด้วยความโกรธ เผยให้เห็นปณิธานการฆ่า จะอย่างไรเสียเขาจะกล้ำกลืนความอัปยศนี้ได้อย่างไร กับการที่หลี่ชิเย่ลบหลู่อาจารย์ของเขาต่อหน้าสาธารณะชน ยิ่งกว่านั้น ฮ่องเต้องค์ใหม่เป็นเพียงสวะคนหนึ่งเท่านั้น

“ไม่รู้จักเจียมตน” เวลานี้ปิงฉือหานยวี่ก็ส่งเสียงฮึออกมาเย็นชา ยิ่งรู้สึกสะอิดสะเอียนในตัวหลี่ชิเย่มากยิ่งขึ้นไปอีก แรกทีเดียวนางยังไม่รู้สึกว่าหลี่ชิเย่น่ารังเกียจมากเท่าไร เวลานี้รู้สึกว่าหลี่ชิเย่ยังคงมีสันดานที่ยากจะเปลี่ยนแปลง ยังคงเป็นคนที่ทำให้ผู้คนรู้สึกรังเกียจอะไรอย่างนั้น การที่เขามีจุดจบในวันนี้ก็เป็นการหาเรื่องของเขาเอง

“อาศัยเจ้า” หยางฟู่ฝันพลันโกรธขึ้นมา ดวงตาทั้งสองเผยปณิธานการฆ่าออกมา ก้าวไปข้างหน้าก้าวหนึ่ง กล่าวน้ำเสียงเย็นชาว่า “แค่เรื่องเล็กน้อยเท่านั้นไหนเลยต้องให้อาจารย์ข้าลงมือ ข้าต่อสู้แทนอาจารย์ก็แล้วกัน ขอรับการชี้แนะจากกระบวนท่าอันยอดเยี่ยมของเจ้า!”

จังหวะที่หยางฟู่ฝานก้าวไปข้างหน้าก้าวหนึ่งนั้น ท่าทางมีแต่ความเหยียดหยามในตัวหลี่ชิเย่ อีกทั้งดวงตาทั้งสองของเขาได้เผยปณิธานการฆ่าออกมาแล้ว

ผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ทั้งหมดพลันกลั้นลมหายใจเอาไว้ เมื่อเห็นหยางฟู่ฝานกำลังจะลงมือต่อหลี่ชิเย่แล้ว กำลังความสามารถของหยางฟู่ฝานนั้นไม่เป็นที่กังขา ส่วนฮ่องเต้องค์ใหม่นั้นไม่ต้องกล่าวให้มากความ เกรงว่าหยางฟู่ฝานสามารถเอาชีวิตของเขาได้อย่างง่ายดาย

สำหรับทังเฮ่อเสียงที่ยืนอยู่ด้านข้างได้เผยท่าทางที่ยิ้มเยาะออกมา ดูมีท่าทีที่ดีใจเมื่อเห็นผู้อื่นได้รับความเดือดร้อนอยู่บ้าง ถ้าหากหยางฟู่ฝานลงมือสังหารหลี่ชิเย่ เช่นนั้นแล้ว เรียกว่าเป็นสิ่งที่เขาอยากได้จนใจจะขาด

กล่าวสำหรับทังเฮ่อเสียงแล้ว ถ้าหากเขาต้องการก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งฮ่องเต้ จะต้องกำจัดฮ่องเต้องค์ใหม่ให้ได้ แต่ว่า จะอย่างไรเสียฮ่องเต้องค์ใหม่แต่งตั้งโดยฮ่องเต้ไท่ชิง เขาคือฮ่องเต้ที่ถูกต้องตามกฎหมายเพียงผู้เดียวเท่านั้น

โดยเฉพาะกล่าวสำหรับราชวงศ์โต่วเซิ่นพวกเขาแล้ว ต้องการปลดฮ่องเต้องค์ใหม่ก็ต้องฝ่านการประชุมตกลงกันแล้วจึงจะดำเนินการได้

ถ้าหากว่าเวลานี้หยางฟู่ฝานลงมือสังหารฮ่องเต้องค์ใหม่ล่ะก็ กล่าวสำหรับเขาแล้วคือเรื่องที่ดีที่สุดในโลก เนื่องจากเขาไม่จำเป็นต้องลงมือเอง เมื่อเป็นเช่นนี้เขาก็จะได้ไม่ต้องแบกรับข้อหาสังหารฮ่องเต้เพื่อชิงบัลลังก์แล้ว

“ทุกท่าน” ในขณะที่เหตุการณ์กำลังตึงเครียด ฉินเจี้ยนเหยาได้ก้าวออกมาและเอ่ยขึ้นช้าๆ ว่า “เป็นการยากนักที่วันนี้ทุกท่านจะได้มารวมตัวกันที่นี้ ถือเป็นเรื่องมงคล อย่าให้ต้องมีการหลั่งเลือดกันที่นี่เลย”

เวลานี้ฉินเจี้ยนเหยาขมวดคิ้วทีหนึ่ง ไม่ทราบเป็นเพราะอะไร นางรู้สึกตลอดเหมือนว่าจะต้องมีเรื่องใหญ่เกิดขึ้นอย่างนั้น อีกทั้งลางสังหรณ์ของนางมีความแม่นยำตลอดมา

เมื่อฉินเจี้ยนเหยาออกมาพูดเช่นนี้แล้ว ผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ยังจะมีใครไม่ให้เกียรติแก่ฉินเจี้ยนเหยา? ยิ่งไปกว่านั้น นี่เป็นงานเลี้ยงยิ่งใหญ่ที่จัดโดยฉินเจี้ยนเหยา ในเวลานี้หากไม่ให้เกียรติฉินเจี้ยนเหยา ก็เท่ากับจงใจหาเรื่องฉินเจี้ยนเหยา

“น้อมฟังคำสั่งของเทพธิดาฉิน” หยางฟู่ฝานแสดงคารวะแบบจีนต่อฉินเจี้ยนเหยา โค้งคำนับ จากนั้นมองหน้าหลี่ชิเย่ทีหนึ่ง ส่งเสียงฮึเย็นชาออกมา

“มา มา ทุกท่านดื่มเหล้า ดื่มเหล้า” ภายในใจของทังเฮ่อเสียงรู้สึกเสียใจอยู่บ้างเมื่อเห็นว่าการต่อสู้ไม่เกิดขึ้น ยกจอกเหล้าขึ้นคารวะ

“คารวะเทพธิดาฉิน คารวะแม่ทัพทัง คารวะทุกท่าน” เวลานี้บรรยากาศได้กลับมาคึกคักอีกครั้ง ผู้คนจำนวนไม่น้อยทยอยกันยกจอกเหล้าขึ้นคารวะกัน

ปิงฉือหานยวี่ยิ่งรู้สึกสะอิดสะเอียนมากขึ้น เมื่อเห็นหลี่ชิเย่ยังคงยืนอยู่ที่ตรงนั้น ไม่ต้องการรั้งอยู่ที่นี่อีกต่อไป จึงกล่าวต่อฉินเจี้ยนเหยาว่า “ข้าเพิ่งจะมาถึงเขาจิ่วเหลียนซาน ยังมีธระต้องไปจัดการ ขอตัวก่อนแล้วล่ะ”

“องค์หญิงเพิ่งจะมาถึงไม่ค้นเคยกับสถานที่ ให้เจี้ยนเหยาไปส่งองค์หญิงสักหน่อย” ฉินเจี้ยนเหยารีบเอ่ยขึ้น

ปิงฉือหานยวี่ก็ไม่ปฏิเสธ พวกนางทั้งสองได้บอกกล่าวต่อทุกคนแล้วก็ไปจากป่าหิน

การไปจากของปิงฉือหานยวี่นั้นสามารถเข้าใจได้ ส่วนการไปจากของฉินเจี้ยนเหยานั้นน่าสนใจ นางรู้สึกว่าเรื่องราวท่าจะไม่ค่อยดีขึ้นมากะทันหัน ไม่กล้าเผชิญหน้ากับหลี่ชิเย่ ดังนั้นจึงถือโอกาสส่งปิงฉือหานยวี่ เพื่อไปจากงานเลี้ยงสักครู่ และคอยเฝ้าดูการเปลี่ยนแปลงของเหตุการณ์อย่างเงียบๆ

หลี่ชิเย่ขี้คร้านจะไปสนใจคนเหล่านั้น มองดูม้านั่งที่อยู่ด้านบนบันไดหิน จากนั้นมองดูรูปปั้นหินที่ยืนอยู่ซ้ายขวาสองข้างของบันได โดยที่รูปปั้นหินแต่ละตัวก็คล้ายดั่งเป็นองครักษ์หินที่ยืนตระหง่านอยู่ตรงนั้น โดยมีขวานสองคมค้ำร่างเอาไว้

นาทีนี้มีผู้คนจำนวนไม่น้อยที่จ้องมองหลี่ชิเย่ด้วยสายตาที่เย็นชา เช่นหยางฟู่ฝาน หม่าจินหมิงพวกเขาทั้งสองต่างมีแววตาที่เผยปณิธานการฆ่าออกมา

หยางฟู่ฝานนั้นไม่ต้องกล่าวให้มากความ หลี่ชิเย่ออกปากลบหลู่อาจารย์ของเขา เขาย่อมไม่อาจกล้ำกลืนความอัปยศนี้เอาไว้ได้ ต้องแก้แค้นให้กับอาจารย์ของเขา

สำหรับหม่าจินหมิงนั้นยิ่งไม่ต้องพูดถึง เจิงยี่ปิงลูกพี่ลูกน้องของเขาตายด้วยน้ำมือของหลี่ชิเย่ ยิ่งไปกว่านั้นหลี่ชิเย่ยังทำให้เขาต้องสุดจะทนครั้งแล้วครั้งเล่า เขาอยากจะให้หลี่ชิเย่ตายมานานแล้ว

ส่วนทังเฮ่อเสียงกลับดูสงบเงียบไม่น้อย เขานั่งนิ่งอยู่ตรงนั้น แสดงออกถึงท่าทียิ้มเยาะที่มุมปาก เหมือนว่ากำลังดูความตึกครื้นอย่างนั้น

ในขณะนี้ ท่ามกลางงานเลี้ยงปรากฏกลิ่นอายที่ไม่ทราบแน่ชัดกำลังหลั่งรินอยู่ เนื่องจากฉินเจี้ยนเหยาเพิ่งจะไปจาก ไม่ว่าจะเป็นหยางฟู่ฝานหรือว่าหม่าจินหมิงต่างก็มีความคิดที่จะเคลื่อนไหวเพื่อก่อการขึ้น

หลี่ชิเย่ขี้คร้านจะไปสนใจพวกเขา ท้ายที่สุดได้ละสายตากลับมา ยิ้มเฉยเมยและก้าวขึ้นข้างบนไปตามบันไดหิน โดยก้าวเดินขึ้นไปทีละก้าวๆ เพื่อขึ้นไปยังแท่นสูงนั่น

หลี่ชิเย่ก้าวเดินขึ้นไปตามบันไดหินทีละก้าวๆ โดยมีหลิ่วชูฉิงเคียงข้าง

ผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ทั้งหมดล้วนแล้วแต่มีสายตารวมศูนย์อยู่บนตัวของหลี่ชิเย่ ทุกคนต่างไม่รู้ว่าหลี่ชิเย่ต้องการทำอะไร

“นี่เขาจะทำอะไรกันแน่?” มีผู้พูดเสียงแผ่วเบาขึ้นมา เมื่อเห็นหลี่ชิเย่ก้าวขึ้นบันไดหิน

“ใครจะไปรู้ล่ะ? ใครจะไปรู้ว่าคนเหลวไหลเช่นนี้จะก่อเรื่องเหลวไหลอะไรขึ้นมาเล่า” ทุกคนต่างก็ไม่รู้ว่าหลี่ชิเย่ต้องการทำอะไร

“ที่นี่คือสถานที่อะไร?” มีบางคนที่รู้สึกแปลกใจ ได้พิจารณาถึงบันไดหิน และม้านั่งหินบนแท่นหินที่อยู่สูงขึ้นไป และรูปปั้นที่ยืนอยู่ทางด้านซ้ายขวาทั้งสองข้าง

“ไม่แน่ใจ” แม้ว่างานเลี้ยงยิ่งใหญ่นี้จะจัดขึ้นที่ป่าหินแห่งนี้ เพียงแต่บันไดที่อยู่ด้านหน้าไม่มีใครไปเก็บกวาด และฉินเจี้ยนเหยาก็ไม่กล้าตัดสินใจโดยพละการด้วยการนำเอาที่นั่งไปจัดวางอยู่ด้านบนนั้น ดังนั้นทั้งหมดจึงวนเวียนอยู่ภายในป่าหินแห่งนี้ ไม่มีใครขึ้นบันไดไปดู

“เรื่องนี้ข้ากลับเคยได้ยินมา” ยอดฝีมือรุ่นอาวุโสคนหนึ่งที่มองดูหลี่ชิเย่ก้าวเดินขึ้นบันไดหินไป และกล่าวขึ้นช้าๆ ว่า “ได้ยินว่านี่คือแท่นนักปราชญ์ของเขาจิ่วเหลียนซาน ในยุคสมัยดึกดำบรรพ์ บรรพบุรุษของเขาจิ่วเหลียนซานเคยพบกับนักปราชญ์จากทั่วหล้าที่นี่ ภายหลังด้วยเหตุผลใดไม่ทราบได้ละทิ้งไป”

‘แท่นนักปราชญ์?’ ผู้คนจำนวนไม่น้อยต่างมองหน้ากันและกัน หลายคนยังเพิ่งจะเคยได้ยินชื่อนี้เป็นครั้งแรก

ความจริงแล้ว เขาจิ่วเหลียนซานมีความดึกดำบรรพ์มากเกินไป มีความดึกดำบรรพ์มากกว่าระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิใดๆ ไม่ว่าจะเป็นราชวงศ์โต่วเซิ่น หรือว่าห้าแกร่ง เกรงว่าทอดสายตามองไปทั่วระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่ก็ไม่มีสำนักใดๆ ดึกดำบรรพ์มากไปกว่าเขาจิ่วเหลียนซานอีกแล้ว ดังนั้นเรื่องราวต่างๆ จำนวนมากที่เกี่ยวกับเขาจิ่วเหลียนซาน ทุกคนจึงไม่รู้อะไรเลย

นาทีนี้ หลี่ชิเย่ได้ขึ้นไปอยู่บนแท่นสูงนั่นแล้ว มองดูเก้าอี้หินทีหนึ่ง ยิ้มนิดหนึ่งและไม่ได้รังเกียจว่ามันสกปรก นั่งลงตรงนั้นโดยตรง

สมควรทราบว่า แท่นสูงแห่งนี้ตั้งอยู่บริเวณที่ภูเขาทั้งสองลูกที่ตัดกัน เมื่อนั่งลงบนเก้าอี้หินเช่นนี้แล้ว เรียกได้ว่าเป็นการมองจากด้านบนลงมา เมื่อมองจากด้านบนนั้น บรรดาผู้ที่อยู่ในงานเลี้ยงก็คล้ายเป็นขุนนางที่มาเข้าเฝ้าอย่างนั้น

“ในเมื่อทุกคนต่างก็มารวมตัวกันที่นี่ในวันนี้ ช่วงเวลาที่น่าเบื่อก็สิ้นสุดลงแล้ว” หลี่ชิเย่ที่นั่งอยู่บนเก้าอี้หินเผยรอยยิ้มขึ้นมาและกล่าวขึ้นมาช้าๆ

ในเวลานี้ ทุกคนต่างจ้องมองไปที่หลี่ชิเย่ และเงียบเสียงทุกคนเพื่อฟังคำจากหลี่ชิเย่ สิ่งนี้หาใช่เป็นเพราะหลี่ชิเย่มีอำนาจอะไร แต่เป็นเพราะทุกคนอยากจะทราบว่าหลี่ชิเย่ต้องการจะทำอะไรกันแน่

“เวลานี้ ข้าขอแจ้งข่าวเรื่องหนึ่งให้กับทุกคน” หลี่ชิเย่ที่มีท่าทีเหนื่อยหน่ายยิ้มกล่าวว่า “เวลาเล่นเกมสนุกๆ สิ้นสุดแล้ว สมควรที่ข้าเผยให้เห็นขึ้ยวได้แล้ว ไม่ว่าพวกเจ้าจะเป็นมังกรก็ดี เป็นพยัคฆ์ก็ช่าง ควรขดตัว หรือหมอบ ก็ให้ขดตัวหรือหมอบให้กับข้าแต่โดยดี มิฉะนั้นล่ะก็ เลือดสดๆ ก็จะไหลรินอยู่บนพื้น”

“ฮึ วาจาสามหาวยิ่งนัก” หม่าจินหมิงพูดเหยียดหยามขึ้นมาว่า “ใต้หล้าแห่งนี้ยังคงเป็นแผ่นดินของเจ้าอย่างนั้นรึ? เจ้าคงไม่ใช่ยังฝันไม่ตื่นกระมัง”

“ถูกต้อง ใต้หล้านี้ยังคงเป็นแผ่นดินของข้า” หลี่ชิเย่ไม่ได้แสดงอาการโกรธสักนิดสำหรับการหัวเราะเยาของหม่าจินหมิง เผยรอยยิ้มเต็มใบหน้าขึ้นมา และกล่าวว่า “ทั่วหล้าในปัจจุบันยังคงเป็นข้าที่พูดแล้วคนอื่นต้องทำตาม เวลานี้ พวกเจ้าคุกเข่าลงกราบยังทัน”

………………………………………………..

Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *