Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล 1787 เส้นทางกำลังจะเปิด

Now you are reading Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล Chapter 1787 เส้นทางกำลังจะเปิด at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 1787 เส้นทางกำลังจะเปิด
หลังจากผ่านไปชั่วครู่ใหญ่ หลี่ชิเย่ละสายตากลับมา กล่าวเฉยเมยว่า “เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ส่งข่าวให้บรรดาจอมเทพและราชันเซียนแจ้งว่าข้าปลอดภัยดีก็พอ”

“ใต้เท้าต้องการให้พวกเราช่วยคุ้มกันให้ท่านหรือไม่?” เถ้าแก่ร้านเฒ่ากล่าวว่า “หากว่าใต้เท้าต้องการตามหาสิ่งใด ขอเพียงสั่งการมาคำหนึ่ง พวกเราจะต้องช่วยหาให้ใต้เท้าจนได้ ใต้เท้าแค่ก้าวขึ้นสู่จุดสูงสุดและเตรียมการเพื่อเป้าหมายสุดท้ายก็พอ เรื่องราวในโลกมนุษย์ปุถุชน ไม่จำเป็นให้ใต้เท้าต้องเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย”

คำพูดของเถ้าแก่ร้านเฒ่าใช่จะไม่มีเหตุผล ถ้าหากเวลานี้หลี่ชิเย่คิดจะก้าวขึ้นสูงจุดสูงสุด เพื่อสืบทอดชะตาฟ้า มันช่างง่ายดายเหลือเกิน กระทั่งมีราชันเซียนและเซียนหวังยินดีปรากฏตัวออกมาให้การคุ้มครองด้วยตนเอง

“ไม่” หลี่ชิเย่ส่ายหน้าเบาๆ และกล่าวว่า “สิ่งที่ข้าต้องการพวกเจ้ายากจะเอามาให้ได้ การบำเพ็ญเพียรใช่ว่าจะทำได้รวดเร็วขนาดนั้น ทุกๆ ประสบการณ์จะมีผลที่แตกต่างกันออกไป มีการบรรลุที่แตกต่างกัน เส้นทางเส้นนี้ยังคงต้องอาศัยตัวข้าก้าวเดินไปทีละก้าวๆ ใช่ว่าให้ทุกคนช่วยกันจับชะตาฟ้ามามอบให้ข้า ข้าก็สามารถก้าวขึ้นถึงจุดสูงสุดได้ การบำเพ็ญเพียรเป็นเรื่องที่ต้องการอาศัยความเพียรพยายาม ไม่ว่าใครก็ไม่มีข้อยกเว้น มิฉะนั้นล่ะก็มันก็คือหอคอยกลางอากาศ ตึกสูงที่อยู่บนชายหาด พร้อมที่จะล้มครืนลงมาทุกเมื่อ”

“ใต้เท้าสั่งสอนได้ถูกต้อง ข้าน้อยความรู้ตื้นเขินคิดอะไรง่ายเกินไปแล้ว” หลังจากที่เถ้าแก่ร้านเฒ่าได้ยินคำพูดเช่นนี้แล้วก็ได้รับประโยชน์ไม่น้อย รีบกล่าวด้วยความเคารพออกมา

“สิ่งที่ควรจะมาอย่างไรเสียก็ต้องมา ไม่ว่าใครก็หนีไม่พ้น” ภายในใจของหลี่ชิเย่เต็มไปด้วยความหดหู่ พูดขึ้นเบาๆ ว่า “พวกเจ้าก็เตรียมตัวให้ดี อย่างไรเสียโลกก็ต้องเปลี่ยนแปลง”

“พวกเราจะตระเตรียมทุกอย่างให้พร้อมสรรพ รอคอยคำบัญชาจากใต้เท้า” เถ้าแก่ร้านเฒ่ากล่าว

หลี่ชิเย่พยักหน้าเบาๆ และกล่าวว่า “ถ้าเช่นนั้นก็แค่นี้ก็แล้วกัน เวลานี้ที่ต้องรอก็คือโอกาส เมื่อถึงเวลาจะมีคำสั่งทางทหารสั่งการถึงมือของพวกเจ้าเอง”

“ใต้เท้า แล้วพวกของราชันซื่อตี้หละ? แล้วเหล่าราชันของเผ่าสวรรค์ เผ่ามาร และเผ่าเทพเล่า” เถ้าแก่ร้านเฒ่าอดที่จะเป็นกังวลไม่ได้

“วางใจเถอะ แม้ว่าข้าจะไม่มีเรี่ยวแรงเอาเสียเลย หากพวกของซื่อตี้คิดได้ก็ไม่ควรมายุ่งกับข้า ในใจของตาเฒ่าเฉี่ยนรู้ดี เขาจะไม่ลงมือโดยง่ายดายอยู่แล้ว ส่วนจะมีจอมราชันที่คิดจะเสี่ยงอันตรายสักครั้งก็ปล่อยให้พวกเขามา ข้าจะได้เอาพวกเขามาบำรุงๆ สักหน่อย” หลี่ชิเย่กล่าวท่าทีเฉยเมย

ครั้นกล่าวมาถึงตรงนี้แล้ว หลี่ชิเย่หยุดนิดหนึ่ง แล้วกล่าวว่า “ในช่วงเวลานี้ราชันซื่อตี้ไหนเลยจะมีอารมณ์มาแปดเปื้อนน้ำโคลนเช่นนี้ สมควรที่พวกเขาจะต้องคิดให้รอบคอบแล้วหละว่าจะเข้ากับฝ่ายไหน ที่ควรจะต้องมาอย่างไรเสียก็ต้องมา ใครก็หนีไม่พ้น ต่อให้เป็นชะตาฟ้าสิบสองสายแล้วเป็นอย่างไรเล่า…”

“…หากวันนั้นมาถึงจริงๆ ต่อให้ชะตาฟ้าสิบสองสายก็ไร้ประโยชน์ และสิ่งนี้ก็คือเหตุผลว่าเพราะเหตุใดราชันเทพชิงมู่จึงหายสาบสูญไปกับสายน้ำแห่งกาลเวลาตลอดมา ราชันซื่อตี้สามารถเข้าใจในเหตุผลข้อนี้ดี เพียงแต่ต้องดูว่าเขาจะปล่อยวางได้หรือไม่ เส้นทางสายนี้ยาวไกลมาก ไม่ว่าใครก็ต้องคิดให้รอบคอบ”

“ต่อให้ราชันซื่อตี้สามารถเข้าใจได้ เกรงว่าบรรดาราชันและเหล่าเทพของเผ่าสวรรค์ เผ่ามาร และเผ่าเทพคงยากที่จะขจัดบุญคุณความแค้นครั้งก่อน” เถ้าแก่ร้านเฒ่าไม่อาจไม่กล่าวขึ้นมาด้วยความกังวล

บุญคุณความแค้นที่เถ้าแก่ร้านเฒ่าพูดถึงก็คือศึกล่าราชันเซียนในครั้งกระโน้น ครั้งนั้นเริ่มต้นด้วยการที่อีกาทมิฬนำพาเหล่าราชันเซียนช่วงชิงความได้เปรียบด้วยการสังหารจอมราชันของเผ่าสวรรค์ เผ่ามาร และเผ่าเทพทั้งสามเผ่ารวดเดียวหลายคน กว่าพวกของราชันซื่อตี้จะรวมตัวกันได้ พวกของหลี่ชิเย่ก็ยึดที่มั่นได้อย่างมั่นคงแล้ว

ถ้าหากไม่เป็นเพราะพวกของซื่อตี้มีเหล่าจอมราชันและจอมเทพจำนวนมากที่เข้าร่วมสงครามครั้งนี้ในภายหลังล่ะก็ เกรงว่าคงจะไม่ง่ายเหมือนที่มีการลงนามในสัญญาเช่นนั้นแล้ว

เนื่องเพราะครั้งนั้นอีกาทมิฬนำพาเหล่าราชันเริ่มต้นด้วยการลอบโจมตีจอมราชันของเผ่าสวรรค์ เผ่ามาร และเผ่าเทพรวดเดียวหลายองค์ จึงทำให้บรรดาจอมราชันและจอมเทพยากจะกล้ำกลืนความอัปยศเช่นนี้ได้

จะอย่างไรเสีย ตลอดเวลาที่ผ่านมาเป็นพวกเผ่าสวรรค์ เผ่ามาร และเผ่าเทพที่คอยลอบสังหารราชันเซียนและเซียนหวังของร้อยชาติพันธุ์ตลอดมา พวกของเผ่าสวรรค์ เผ่ามาร และเผ่าเทพสามเผ่าเป็นฝ่ายได้เปรียบในด้านนี้มาโดยตลอด

และศึกล่าราชันที่นำโดยอีกาทมิฬ ได้ก่อการด้วยการลอบโจมตีขึ้นอย่างกะทันหัน จอมราชันหลายองค์ถูกสังหารภายในชั่วระยะเวลาอันสั้น ในเวลานั้นทำให้จอมราชันของเผ่าสวรรค์ เผ่ามาร และเผ่าเทพสามเผ่ากลายเป็นเหยื่อที่ถูกล่า

ช่วงเวลาสั้นๆ ในช่วงนั้นเรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในวันเวลาแห่งความมืดของเผ่าสวรรค์ เผ่ามาร และเผ่าเทพทั้งสามเผ่า ช่วงระยะเวลาแห่งความมืดสั้นๆ ช่วงนี้นั้น กระทั่งสามารถเทียบเคียงกับการบุกกวาดสิบสามทวีปของอเวจีในครั้งครานั้นเลยทีเดียว

ครั้งนั้น เพียงช่วงระยะเวลาสั้นๆ จอมราชันของเผ่าสวรรค์ เผ่ามาร และเผ่าเทพจำนวนหลายองค์ถูกลอบสังหารไปทีละองค์ๆ ส่งผลให้เผ่าสวรรค์ เผ่ามาร และเผ่าเทพต้องสั่นเทา ในเวลานั้น ท่ามกลางสิบสามทวีปไม่รู้ว่ามีสำนักจำนวนเท่าไรของเผ่าสวรรค์ เผ่ามาร และเผ่าเทพต้องอกสั่นขวัญแขวน ตัวสั่นงันงกกัน

ลองนึกดู ตลอดเวลาที่ผ่านมา เผ่าสวรรค์ เผ่ามาร และเผ่าเทพทั้งสามเผ่าทำตัวเสมือนหนึ่งเป็นเจ้าของๆ สิบสามทวีปตลอดมา ในความคิดของพวกเขาเป็นพวกเขาที่บงการสิบสามทวีป ร้อยชาติพันธุ์ในสายตาของพวกเขาเป็นเพียงมดปลวกเท่านั้นเอง

ศึกล่าราชันเป็นการสั่นคลอนต่อฐานะในสิบสามทวีปของเผ่าสวรรค์ เผ่ามาร และเผ่าเทพอย่างแท้จริง โดยเฉพาะในระยะแรกของศึกล่าราชันนั้นเรียกได้ว่า สร้างความหวาดกลัวให้กับยอดฝีมือจำนวนมากของเผ่าสวรรค์ เผ่ามาร และเผ่าเทพ ที่เห็นจอมราชันแต่ละองค์ที่ถูกสังหารไป กระทั่งภายหลังภายใต้การนำของราชันซื่อตี้ที่นำเหล่าจอมราชันของเผ่าสวรรค์ เผ่ามาร และเผ่าเทพเข้าต่อต้านกับพวกของอีกาทมิฬแล้ว พวกเขาจึงเริ่มยืนได้มั่นคง

เรื่องดังกล่าวถือเป็นความเจ็บปวดอย่างมากภายในใจของเผ่าสวรรค์ เผ่ามาร และเผ่าเทพทั้งสามเผ่า โดยเฉพาะสำหรับบรรดาจอมรชันที่เคยเข้าร่วมในศึกสงครามครั้งนี้แล้ว ภายในใจมีอคติที่ไม่สามารถสลัดออกไปได้

ในความคิดของจอมราชันเผ่าสวรรค์ เผ่ามาร และเผ่าเทพทั้งสามเผ่า หากไม่กำจัดอีกาทมิฬทิ้งเสีย เผ่าสวรรค์ เผ่ามาร และเผ่าเทพทั้งสามเผ่าจะต้องถูกทำลายโดยอีกาทมิฬเป็นแน่แท้ เนื่องเพราะสาเหตุนี้เอง ตลอดเวลาที่ผ่านมา จอมราชันเผ่าสวรรค์ เผ่ามาร และเผ่าเทพทั้งสามเผ่าส่วนใหญ่แล้วไม่ยินดีที่จะร่วมมือกับอีกาทมิฬ แม้แต่ราชันซื่อตี้ที่เป็นผู้มีสติปัญญาเฉียบแหลมและมองการณ์ไกลชนิดยากจะหาผู่ทัดเทียมได้ ก็เคยคิดสังหารอีกาทมิฬมาครั้งแล้วครั้งเล่า เสียดายกลับทำไม่สำเร็จ

“สุดแล้วแต่พวกเขา ถ้าหากพวกเขากล้าขวางทางของข้า ฆ่าไม่มีละเว้น!” ดวงตาทั้งสองของหลี่ชิเย่พลันน่าเกรงขาม และกล่าวว่า “จะเป็นราชันซื่อตี้ก็ดี บรรดาราชันและเหล่าเทพก็ช่าง กล้าขวางทางของข้า ข้าจะกวาดล้างพวกเขาจนสิ้นซาก”

เมื่อเถ้าแก่ร้านเฒ่าได้ยินคำพูดเช่นนี้ของหลี่ชิเย่แล้วพยักหน้าเงียบๆ พวกเขาไม่ได้รู้สึกตกใจแม้แต่นิดเดียวกับคำพูดลักษณะเช่นนี้ เนื่องจากอีกาทมิฬใช่จะเป็นศัตรูกับบรรดาราชันและเหล่าเทพเพียงครั้งเดียวเท่านั้น ถ้าหากจะบอกว่าโลกนี้ใครที่มีกำลังความสามารถทำการกวาดล้างบรรดาราชันและเหล่าเทพได้ล่ะก็ จะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากตัวเขาแล้ว

หลังจากผ่านไปชั่วครู่ เถ้าแก่ร้านเฒ่าพูดขึ้นมาเบาๆ ว่า “ใต้เท้ามาที่เมืองฉีหลินในครั้งนี้ ต้องการไปที่ตระกูลราชันฉีหลินใช่หรือไม่?” เรื่องราวที่เล่าลือกันว่าใต้เท้ามีความสัมพันธ์กับเซียนหวังเย่หลินที่ไม่ธรรมดานั้น เขาเคยได้ยินมาบ้างเหมือนกัน

การปรากฏตัวของใต้เท้าที่เมืองฉีหลินในเวลานี้ เถ้าแก่ร้านเฒ่าก็เข้าใจได้ว่าใต้เท้าจะต้องไปที่ตระกูลราชันฉีหลินสักครั้ง

“ข้าจะไปสักครั้งแน่นอน” หลี่ชิเย่พยักหน้า และกล่าวว่า “ตระกูลราชันฉีหลินได้ของมาสิ่งหนึ่ง เจ้าเคยได้ยินมาหรือไม่”

สำหรับเรื่องนี้ เถ้าแก่ร้านเฒ่าได้ครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง และกล่าวว่า “เรื่องนี้เกิดขึ้นมานานมากแล้ว น่าจะสองหรือสามยุคแล้วหละ ขณะที่เกิดเรื่องนี้ข้าน้อยยังไม่ทันได้เกิดเสียด้วยซ้ำ แต่ว่าจากบันทึกของสำนักได้บันทึกไว้ว่า หลังจากเกิดศึกเดินทางไกลเพื่อปราบปรามครั้งสุดท้ายได้ไม่นาน เป็นความจริงที่ว่า มีความเป็นไปได้ที่ตระกูลราชันฉีหลินอาจได้ของมาสิ่งหนึ่ง แต่ตระกูลราชันฉีหลินในขณะนั้นได้ปกปิดเรื่องนี้อย่างที่สุด ฟังว่าผู้คนในยุคนั้นที่ทราบเรื่องนี้มีอยู่น้อยมาก เพียงแต่ในยุคหนึ่งถึงสองสมัยนี้เพิ่งจะค่อยๆ ปรากฏเป็นเบาะแสขึ้นมา

“สำหรับรายละเอียดว่ามันคืออะไรนั้น พวกเราก็ไม่สามารถรู้ได้” เถ้าแก่ร้านเฒ่ายิ้มเจื่อนๆ แล้วกล่าวว่า “เรื่องนี้มีช่วงห่างของเวลามากขณะเดียวกันตระกูลราชันฉีหลินได้ปกปิดเรื่องนี้มานานมาก และรักษาความลับอย่างเข้มงวด บุคคลภายนอกยากที่จะรับรู้ได้บ้าง”

“เช่นนั้นแล้วมีเพียงไปที่ตระกูลราชันฉีหลินสักครั้ง มีเพียงไปเห็นสิ่งนี้ด้วยตนเองจึงจะคลี่คลายปริศนาได้”

หลี่ชิเย่มีการคาดเดาเกี่ยวกับสิ่งนี้มานานมากแล้ว สำหรับสิ่งที่ตระกูลราชันฉีหลินได้มา แต่ว่าของสิ่งนี้มีลักษณะเป็นอย่างไรกันแน่นั้น จำเป็นต้องได้เห็นสิ่งนี้เสียก่อน

“ใต้เท้าต้องการให้พวกเราประสานกับตระกูลราชันฉีหลินหรือไม่?” เถ้าแก่ร้านเฒ่าเอ่ยถามขึ้นมา

“ตอนนี้ยังไม่ต้อง” หลี่ชิเย่กล่าวขึ้นมาช้าๆ ว่า “ก่อนจะไปยังตระกูลราชันฉีหลิน ข้าติดจะไปที่แดนอาถรรพ์เทพกำแหงสักครั้ง”

“ไปแดนอาถรรพ์เทพกำแหง? ” เถ้าแก่ร้านเฒ่ารู้สึกเหนือความคาดคิดเมื่อได้ยินคำพูดของหลี่ชิเย่และกล่าวว่า “แดนอาถรรพ์เทพกำแหงเวลานี้เป็นเพียงพื้นที่ที่ไม่สามารถเอาชีวิตรอดได้ เว้นแต่พื้นดินแห้งกรังและเศษหินแล้วไม่มีสิ่งอื่นใดอีกเลย”

“หรือว่ากาลเวลายาวนานที่ผ่านไป แดนอาถรรพ์เทพกำแหงไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ เกิดขึ้นแม้แต่น้อยเลยรึ?” หลี่ชิเย่ยิ้มกล่าวเฉยเมย

“เรื่องนี้…” เถ้าแก่ร้านเฒ่าถึงกับตะลึงเมื่อได้ยินคำพูดของหลี่ชิเย่ กล่าวว่า “ไม่ขอปิดบังใต้เท้า เรื่องนี้ไม่ได้ให้ความสนใจ แดนอาถรรพ์เทพกำแหงกลายเป็นพื้นที่ทิ้งร้างมานานมากแล้ว เป็นพื้นที่แห่งความมืดมิด พวกเราก็ไม่ได้ไปใส่ใจอะไรมากนัก”

“ไม่เป็นไร ข้าไม่โทษพวกเจ้า ทั้งหมดเป็นเพียงข้อปลีกย่อยของเรื่องนี้เท่านั้นเอง” หลี่ชิเย่โบกมือเบาๆ และกล่าวว่า “ช่วยเตรียมประตูมิติที่ส่งไปที่นั่นให้ข้าก็พอ”

“ข้าน้อยจะไปจัดการเดี๋ยวนี้” เถ้าแก่ร้านเฒ่าได้ถ่ายทอดคำสั่งนี้ออกไปทันที

สุดท้าย หลี่ชิเย่กล่าวอำลาต่อเถ้าแก่ร้านเฒ่าและบรรดาบรรพบุรุษที่อยู่ในเหตุการณ์ ชายฉกรรจ์ทั้งสี่ได้หามเกี้ยวส่งหลี่ชิเย่กลับไปเหมือนเดิม และตั้งแต่ต้นจนจบพวกเขาเป็นเหมือนดั่งภูตผีวิญญาณ ไม่ได้สร้างความแตกตื่นให้กับผู้คนแต่อย่างใด

ในค่ำคืนเดียวกันกับที่หลี่ชิเย่ได้พบกับเถ้าแก่ร้านเฒ่า นอกแผ่นดินของตระกูลราชันฉีหลิน บริเวณที่มืดมิดตรงนั้น ท่ามกลางความมืด พลันบังเกิดเสียงดัง “ฟ่าวว” ปรากฎประกายที่คล้ายดั่งดอกไม้ไฟวิ่งฝ่าความมืดแล้วก็หายไป

ประกายที่วิ่งฝ่าความมืดไปนี้เป็นที่สนใจของยอดฝีมือผู้บำเพ็ญตนบางคน กระทั่งมีระดับผู้ยิ่งใหญ่ที่ให้ความสนใจเป็นพิเศษกับประกายที่วิ่งผ่านไปนี้

เนื่องจากบริเวณมืดมิดตรงนั้นมีชื่อว่าพื้นแดนที่อาถรรพ์เทพกำแหง เล่าลือกันว่าพื้นที่อาถรรพ์แห่งนี้เคยมีเทพโบราณเสียชีวิตที่ตรงนี้ กระทั่งมีการเล่าลือกันว่า แดนอาถรรพ์แห่งนี้เคยเกิดศึกสงครามขึ้นระหว่างราชันเซียนและเทพโบราณ หลังจากนั้นเป็นต้นมา พื้นที่แห่งนี้ก็ตกอยู่ในความมืดมิด พื้นที่ที่กว้างใหญ่ไพศาลแห่งนี้ได้กลับกลายเป็นพื้นที่ร้างและปราศจากชีวิตชีวาอีก ไม่มีสิ่งมีชีวิตอีกต่อไป ไม่มีสิ่งมีรชีวิตใดๆ อยากจะอาศัยอยู่บนพื้นที่แห่งนี้อีก

แต่ละยุคสมัยที่ผ่านไป พื้นที่มืดมิดแห่งนี้นอกจากความมืดมิดแล้วยังคงเป็นความมืดมิด แต่ว่า คืนนี้กลับมีประกายสายหนึ่งวิ่งผ่านไป ได้สร้างความแตกตื่นให้คนบางคนโดยแท้

“ภายในพื้นที่แดนอาถรรพ์เทพกำแหงไม่มีอะไรเลยนี่ ไฉนจึงได้มีประกายแสงที่วิ่งผ่านไป” ผู้บำเพ็ญตนที่ได้แห็นภาพนี้กับตารู้สึกแปลกใจยิ่งนัก

“ไม่แน่นักอาจมีสมบัติเซียนปรากฏ เล่าลือกันว่า ภายในพื้นที่แดนอาถรรพ์เทพกำแหงได้ฝังร่างของเทพโบราณท่านหนึ่ง เทพโบราณนะเนี่ย ผู้ดำรงอยู่ในฐานะที่แข็งแกร่งเพียงใด ขึ้นชื่อว่าเป็นเทพผู้ยิ่งใหญ่ที่สามารถเทียบเคียงกับราชันเซียนที่อยู่ในฐานะสูงสุดเลยนะ” ได้มีผู้เฒ่าที่กล่าวด้วยความตื่นเต้น

Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *