Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล 2142 สาวงามคอยปรนนิบัติ

Now you are reading Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล Chapter 2142 สาวงามคอยปรนนิบัติ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

หวังหานถึงกับนิ่งเงียบเมื่อได้ฟังคำพูดของหลี่ชิเย่ เวลานี้ไม่รู้ว่าจะต้องสรรหาคำพูดอย่างไรดี นางเข้าใจได้ว่าหลี่ชิเย่กำลังทดสอบนาง และเข้าใจว่ากำลังไม่พอใจในกำลังความสามารถของนาง

“ระบบถ่ายทอดความคิดทางด้านลัทธิและสำนักต่างๆ สมควรละเว้นการเข่นฆ่ากันเอง” สุดท้าย หวังหานได้แต่พูดเสียงแผ่วเบาขึ้นมา

แม้ว่าหวังหานมีความคิดที่จะทำการใหญ่ แต่จะอย่างไรเสียนางหาใช่ประเภทที่อยู่สูงสุดยอด อย่าว่าแต่ในระบบถ่ายทอดความคิดทางด้านลัทธิลานกำแหงแลย แม้แต่ในจวนหวังของพวกนางเอง นางก็หาใช่ผู้ที่มีอำนาจสูงสุด นางเองก็มีช่วงจังหวะที่ถูกสยบเอาไว้ได้เหมือนกัน

ครั้งนั้นขณะกษัตริย์ยังไม่สวรรคตนั้น พวกเขาสองสามีภรรยาได้ช่วยกันประคับประคองสถานการณ์เอาไว้ กล่าวสำหรับพวกเขาแล้ว สามารถควบคุมอำนาจเอาไว้หาใช่เรื่องที่ง่ายดายนัก จะอย่างไรเสียอำนาจของระบบถ่ายทอดความคิดทางด้านลัทธิใดลัทธิหนึ่ง ช่างเป็นเรื่องที่ผู้คนอยากได้ครอบครองยิ่งนัก

นางอยู่ในฐานะเป็นผู้สนับสนุนอยู่เบื้องหลัง เป็นผู้สนับสนุนอยู่เบื้องหลังกษัตริย์ที่แข็งแกร่งที่สุด เป็นนางที่หลอมรวมกำลังจากจวนหวังให้การสนับสนุนกิจการงานต่างๆ ของกษัตริย์อย่างเต็มที่

ขณะที่กษัตริย์ต้องเผชิญหน้ากับขั้วอำนาจต่างๆ โดยที่มีอำนาจอยู่ในมือ การระดมกำลังเจ้าผู้ครองนครรัฐต่างๆ แม้ว่าไม่ใช่เรื่องง่ายดายเลยในหลายปีที่ผ่านมา แต่ก็นับว่าสามารถควบคุมสถานการณ์เอาไว้ได้

แต่ทว่า มาวันนี้กษัตริย์ได้สวรรคตแล้ว ย่อมไม่ต้องสงสัยว่า ผู้ที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดก็คือหวังหานในฐานะราชินี อำนาจในมือของนางสั่นคลอน อีกทั้ง จวนหวังเองก็คาดหวังสามารถได้ผู้ที่มีกำลังกล้าแข็งกว่ามาเป็นผู้ถือครองอำนาจนี้เอาไว้

จะอย่างไรเสียหวังหานก็เป็นผู้หญิง แม้ว่าศักยภาพ และความสามารถของนางจะสูงมาก แต่นางยังคงขาดในส่วนของการเป็นผู้บุกเบิกและเข่นฆ่าล้างผลาญที่เด็ดขาด

ย่อมไม่เป็นที่สงสัย คำพูดของหลี่ชิเย่ได้พูดแทงเข้าไปตรงจุดที่หวังหานขาดไป เป็นความจริงที่นางขาดในส่วนของการเข่นฆ่าล้างผลาญที่เด็ดขาดไป เมื่อไรที่อำนาจตกอยู่ในมือ ความจริงแล้วหวังหานต้องการที่จะกุมอำนาจที่อยู่ในมือให้ได้นั้น เป็นเรื่องที่ท้าทายอย่างยิ่ง

“การละเว้นการฆ่าฟันกันเองต้องตั้งอยู่บนพื้นฐานของความสามัคคี เบื้องบนสั่งการเบื้องล่างปฏิบัติตาม เช่นนี้แล้วจึงสามารถหยุดการเข่นฆ่ากันเอง มิฉะนั้นแล้วมันก็แค่คำพูดที่เลื่อนลอย หากสั่งการแล้วไม่มีผู้ปฏิบัติตาม ก็ต้องจัดการภายในให้มั่นคงก่อน ขจัดสิ่งกีดขวาง จึงสามารถสำแดงปณิธานของเจ้า และทำให้เจ้าสามารถทำการผ่าตัดเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่เพื่อให้ปฏิบัติตามคำสั่งของเจ้า” หลี่ชิเย่เอ่ยขึ้นมาช้าๆ

หวังหานอ้าปากทำท่าจะพูด แต่สุดท้ายแล้วนางได้แต่ทอดถอนใจออกมาเบาๆ เป็นดั่งที่หลี่ชิเย่พูดเอาไว้อย่างนั้น ถ้าเช่นนั้น นางจะต้องหลอมรวมกำลังของจวนหวังเอาไว้ก่อน เนื่องจากกำลังของจวนหวังจึงเป็นสิ่งที่นางจะพี่งพาอาศัยได้ดีที่สุด หากปราศจากกำลังของจวนหวังเป็นผู้สนับสนุนให้กับนาง ย่อมยากที่จะสำแดงฝีมืออะไรได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องการผ่าตัดเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่แล้ว

ปัญหาก็คือ ในขณะนี้ผู้คนภายในจวนหวังเองก็มีจิตใจที่ไม่มั่นคง ในอดีตนางสามารถหลอมรวมกำลังของจวนหวังได้เป็นเพราะมีกษัตริย์อยู่ ซึ่งส่งผลให้จวนหวังให้การสนับสนุนพวกเขาสองสามีภรรยาได้ก้าวข้ามสถานการณ์โดยไม่มีเงื่อนไข แต่ว่า เวลานี้กษัตริย์ได้สวรรคตไปแล้ว ภายในจวนหวังจึงมีระดับบรรพบุรุษที่คาดหวังให้บุคคลอื่นได้กุมอำนาจแทน ซึ่งก็เป็นวิกฤตที่หวังหานเผชิญอยู่ในเวลานี้

หวังหานถึงกับนิ่งเงียบ หลังจากที่นางได้ล้างเท้าให้กับหลี่ชิเย่เรียบร้อยแล้ว ก็ทำการนวดคลึง และใช้กำปั้นทุบเบาๆ บนขาทั้งสองข้า เพื่อผ่อนคลายให้กับหลี่ชิเย่ นางช่างนุ่มนวลและคล้อยตามอะไรอย่างนั้น

“เจ้ามีแนวคิดอย่างไร?” หลี่ชิเย่เอ่ยขึ้นมาเฉยเมยขณะมองดูหวังหานที่ทำการผ่อนคลายให้กับขาของเขา

ตลอดเวลาที่ผ่านมา หลี่ชิเย่ไม่เคยให้ผู้ที่สวามิภักดิ์ต่อเขาต้องเสียเปรียบ จะอย่างไรเสีย ในเวลานี้ ในสายตาของหลี่ชิเย่นั้นบุคคลอื่นๆ ที่อยู่ในระบบถ่ายทอดความคิดทางด้านลัทธิลานกำแหงเป็นเพียงนาย ก นาย ข ที่เดินผ่านไปผ่านมาเท่านั้น ขณะที่หวังหานเป็นผู้ที่สวามิภักดิ์ต่อเขาเป็นลำดับแรก หากจำเป็น เขาเองก็ยินดีช่วยเหลือนางอีกแรง

หวังหานลังเลอยู่นิดหนึ่ง สุดท้ายแล้วนางได้เงยหน้าขึ้นจ้องมองหลี่ชิเย่ และเอ่ยเสียงแผ่วเบาว่า “ขอคุณชายได้ชี้แนะทางสว่างให้ด้วย”

เวลานี้หวังหานก็เรียกหลี่ชิเย่เป็นคุณชาย ซึ่งเป็นความชื่นชอบของหลี่ชิเย่

สาวงามอยู่ตรงหน้า โดยสาวงามที่อยู่ตรงหน้านุ่มนวลอย่างยิ่ง คล้อยตามชนิดไม่มีสิ่งใดเทียบเทียมได้ จริตที่งามหยาดเยิ้ม สะกิดหัวใจของผู้คน ยามที่สาวงามคุกเข่าอยู่ตรงหน้า เป็นความงดงามที่ยากจะเปรียบเปรยได้ ท่าทีที่อ่อนโยนละมุนละไม ความอวบอัดที่เหมือนหยวกกล้วย ตลบอบอวลไปด้วยภาพของร่องอกที่ปรากฎแก่สายตา เสมือนดั่งลูกท้อพันธุ์น้ำผึ้งที่สุกงอม ชวนให้ผู้คนอยากจะกัดกินสักคำ ก้นที่อวบอิ่มกลมกลึง เรียกได้ว่ายอดเยี่ยมสุดจะพรรณนา ทำให้ผู้คนต้องหัวใจเต้นตูมตาม

เวลานี้ หลี่ชิเย่ยื่นนิ้วมือออกไปเชยคางที่ละเอียดอ่อนงดงามของหวังหาน ริมฝีปากดั่งเปลวเพลิง งดงามหนึ่งไม่มีสอง ริมฝีปากที่แดงและอ่อนนุ่มเหมือนดั่งสามารถคั้นออกมาเป็นน้ำผึ้งได้

“เจ้าเชื่อข้าหรือไม่?” หลี่ชิเย่เชยคางของหวังหานขึ้น ดูเหมือนเป็นการลวนลาม แต่กลับไม่มีความน่าเกลียดแม้แต่น้อย เป็นการกระทำที่ดูเป็นธรรมชาติสบายอกสบายใจ มีความเป็นอิสระที่ออกมาจากใจ ไม่ได้ให้ความรู้สึกถึงการลวนลามโดยสิ้นเชิง ไม่รู้สึกว่าลามกแม้แต่น้อย

“ข้าเชื่อ” หวังหานตอบโดยไม่ลังเล ภายในใจของนางเชื่อใจในตัวหลี่ชิเย่อย่างไม่มีเหตุผล นับตั้งแต่วินาทีที่ถูกหลี่ชิเย่สยบเป็นต้นมา นางก็ให้ความเชื่อถือในตัวของหลี่ชิเย่โดยไม่มีเงื่อนไข เปี่ยมด้วยความมั่นใจในหลี่ชิเย่อย่างไร้เหตุผล คนอื่นอาจสงสัยในตัวของหลี่ชิเย่ แต่นางกลับเชื่ออย่างสนิทใจ

หลี่ชิเย่เผยรอยยิ้มจางๆ ออกมา และหลับตาลงอย่างช้าๆ โดยไม่ได้พูดอะไร

หวังหานก็ไม่ได้พูดอะไร ไม่ได้สอบถาม นางช่างโอนอ่อนผ่อนตาม ช่างนุ่มนวลอะไรอย่างนั้น จากนั้น นางได้นวดไหล่ทั้งสองข้างให้กับหลี่ชิเย่เบาๆ เพื่อช่วยผ่อนคลายเส้นเอ็น

สาวงามปรนนิบัติช่างสบายตัวและเป็นการเสพสุขอะไรอย่างนั้น พลังนิ้วของสาวงามที่พอเหมาะทำให้รู้สึกผ่อนคลายยิ่งนัก ด้วยความงดงามและวิเศษเช่นนี้ ทำให้ผู้คนชื่นชอบกับความรู้สึกเช่นนี้

“หนทางของเจ้าก้าวเดินได้ไม่ยาก” หลังจากผ่านไปนานมาก หลี่ชิเย่จึงกล่าวขึ้นมาช้าๆ ว่า “เริ่มจากไตร่ตรองอย่างลึกซึ้งรอบคอบ จากนั้นลงมือทำเต็มที่ แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว ฟ้าไม่ถล่มลงมาหรอกนะ”

หวังหานตะลึงนิดหนึ่งเมื่อได้ฟังคำพูดของหลี่ชิเย่ จากนั้นพยายามกลั่นกรองคำพูดคำนี้ของหลี่ชิเย่อย่างละเอียด ทำความเข้าใจถึงความหมายที่ลึกซึ้งของคำพูดคำนี้ของหลี่ชิเย่

จากนั้น หวังหานก็ไม่ได้พูดอะไรอีกเลยสักคำ ค่อยๆ บีบนวดไหล่ทั้งสองข้างให้กับหลี่ชิเย่ ขณะที่หลี่ชิเย่หลับตาลงทั้งสองข้าเหมือนหนึ่งได้นอนหลับไปแล้ว

ไม่รู้ว่าเวลาได้ผ่านไปนานเท่าไรแล้ว จากนั้นหลี่ชิเย่ได้พูดขึ้นมาว่า “พรุ่งนี้ ข้าจะออกจากวังสักครั้ง ไปที่ห้างเจียวเหิงสักหน่อย”

“ข้าจะติดตามคุณชายไปด้วย” หวังหานเอ่ยขึ้นช้าๆ น้ำเสียงฟังดูอ่อนโยนมาก เหมือนดั่งสายน้ำในวสันตฤดู ฟังแล้วรู้สึกสบายหูยิ่งเป็นพิเศษ

หลี่ชิเย่ไม่ได้คัดค้าน เพียงหลับตาเหมือนว่าได้หลับไปแล้วอย่างนั้น

วันรุ่งขึ้น หลี่ชิเย่จะออกเดินทางจากพระราชวังไปยังห้างเจียวเหิงสักครั้ง ที่หลี่ชิเย่ต้องการไปห้างเจียวเหิงนั้น นอกจากต้องการซื้อของบางอย่างแล้ว เขายังต้องการข่าวบางอย่างจากห้างเจียวเหิงบ้าง

ฃณะหลี่ชิเย่ออกเดินทางมีหยางเซิ่นผิง จูซือจิ้งติดตามไปด้วย นอกจากนี้ หวังหานที่เป็นราชินีก็ได้มาถึงแต่เช้า ข้างกายของนางไม่มีผู้ติดตามสักคน อีกทั้งหวังหานได้แต่งตัวให้เหมือนเป็นคนรับใช้คนหนึ่ง ปิดบังใบหน้าที่แท้จริง ทำให้ผู้คนไม่สามารถจดจำนางได้

เนื่องจากเวลานี้สถานการณ์ไม่เรียบร้อย หวังหานเองก็ไม่กล้าปรากฏตัวในที่สาธารณะตามอำเภอใจ ดังนั้น นางจึงปิดบังโฉมหน้าที่แท้จริงของตนและทำตัวค่อมต่ำเอาไว้

“ไปกันเถอะ” หลี่ชิเย่ไม่ได้วิจารณ์อะไรกับการแต่งตัวของหวังหาน เพียงกล่าวเฉยเมยออกมา

หลี่ชิเย่ออกเดินเท้าโดยไม่ได้นั่งรถม้า หรือเหินฟ้ากันไป แต่ใช้วิธีการเดินเท้าออกจากวังไปทีละก้าวๆ เหมือนเป็นการชมทิวทัศน์ที่งดงามของพระราชวังอย่างนั้น แต่ละก้าวที่ก้าวเดินไปนั้นคล้ายดั่งเป็นการเดินเล่นในสวนหลังบ้านของตนเองอย่างนั้น ดูสบายอกสบายใจยิ่งนัก

หยางเซิ่นผิงเองก็ไม่เข้าใจว่าเพราะอะไรหลี่ชิเย่ต้องออกไปด้วยการก้าวเดินทีละก้าวๆ เหมือนว่าเป็นเรื่องที่เสียเวลามากมายเหลือเกิน แต่ว่าเขาไม่กล้าจะเอ่ยถาม

หวังหานที่มองดูหลี่ชิเย่ก้าวออกจากพระราชวังทีละก้าวๆ ทุกๆ การย่างก้าวของเขาเหมือนไม้บรรทัดที่ทำการวัดพื้นดินอย่างนั้น ซึ่งทำให้หวังหานถึงกับรู้สึกเย็นวาบในใจขึ้นมา แม้ว่านางจะดูไม่ออกถึงความลึกซึ้งและยอดเยี่ยมทั้งหมดที่หลี่ชิเย่กระทำอยู่ แต่นางดูออกได้บ้างว่าหลี่ชิเย่กำลังวัดพื้นที่ทั่วทั้งวังอยู่

หลังจากเดินไปกว่าครึ่งค่อนของวังแล้ว หลี่ชิเย่ส่ายหน้าเบาๆ และกล่าวว่า “เป็นถึงระบบถ่ายทอดความคิดด้านลัทธินับว่าตกต่ำลงแล้วโดยแท้ ครั้งนั้นขณะที่ระบบถ่ายทอดความคิดด้านลัทธิลานกำแหงยังคงอยู่ในแดนลัทธิเซียนนั้นช่างยโสโอหังยิ่งเพียงใด เวลานี้ระบบถ่ายทอดความคิดด้านลัทธิที่มีขนาดใหญ่โตเช่นนี้ จะหาสักคนที่เป็นระดับเทพแท้จิรงขั้นขึ้นสู่สวรรค์ยังยาก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงขั้นอมตะอีกเลย”

พลันที่หลี่ชิเย่พูดคำๆ นี้ออกมา หยางเซิ่นผิงกับจูซือจิ้งมีปฏิกิริยาที่ค่อนข้างเรียบเฉย หยางเซิ่นผิงมีความเข้าใจในธาตุแท้ภายในของระบบถ่ายทอดความคิดด้านลัทธิลานกำแหงไม่มาก ส่วนจูซือจิ้งนั้นสิ่งที่นางรับรู้นั้นเรียกว่าน้อยถึงน้อยที่สุด
ไอรีนโนเวล
หวังหานที่อยู่ในฐานะราชินีย่อมแตกต่าง นางถึงกับใจหายใจคว่ำเมื่อได้ยินคำพูดเช่นนี้ เนื่องจากอาศัยคำพูดคำเดียวก็บอกถึงธาตุแท้ภายในของระบบถ่ายทอดความคิดด้านลัทธิลานกำแหงพวกเขาได้ ช่างเป็นกำลังและศักยภาพที่น่ากลัวเหลือเกิน ในสายตาของเขาแล้วเหมือนว่าไม่มีสิ่งใดเป็นความลับสำหรับเขาเลยอย่างนั้น

สมควรทราบว่า มีเพียงพวกเขาที่มีระดับในระบบถ่ายทอดความคิดด้านลัทธิลานกำแหงเท่านั้น จึงสามารถรู้ได้ว่ามียอดฝีมืออยู่ในระบบถ่ายทอดความคิดด้านลัทธิลานกำแหงจำนวนเท่าไร สำหรับระดับเทพแท้จริง โดยเฉพาะขั้นขึ้นสู่สวรรค์ล่ะก็ คงมีแต่ฐานะเช่นนางเท่านั้นที่รู้ ยอดฝีมือโดยทั่วไปก็ไม่รู้เรื่องนี้

จะอย่างไรเสีย บรรพบุรุษระดับนี้บุคคลภายนอกไม่สามารถพบเห็นพวกเขาได้อยู่แล้ว อย่างมากได้แค่คาดเดา แต่ทว่า หลี่ชิเย่เพียงแค่วัดประเมินพระราชวังนิดหนึ่งก็รู้ถึงศักยภาพและกำลังของระบบถ่ายทอดความคิดด้านลัทธิลานกำแหงได้อย่างชัดเจน ช่างเป็นเรื่องที่น่ากลัวเพียงใด

ซึ่งสิ่งนี้ทำให้ภายในใจของหวังหานถึงกับสั่นเทา และรู้สึกสยบทั้งกายและทั้งใจในตัวของหลี่ชิเย่มากยิ่งขึ้น เลื่อมใสศรัทธาในตัวหลี่ชิเย่อย่างยิ่ง

“พูดไม่ระอายปาก!” ขณะที่หลี่ชิเย่พูดขาดคำ ปรากฏเสียงตำหนิดังขึ้นด้านข้างทันที

เวลานี้มองเห็นชายหนุ่มผู้หนึ่งจูงม้าพันธุ์ดี และต้องการออกจากพระราชวังอยู่เช่นกัน ชายหนุ่มผู้นี้สวมชุดคลุมพญางู ดวงตาทั้งสองส่งประกายเยือกเย็นดุดัน พลังที่แผ่กระจายออกมาจากตัวดูคึกคักมีชีวิตชีวายิ่ง พลันที่มองเห็นก็รู้ได้ทันทีว่าเป็นยอดฝีมือ

ชายหนุ่มผู้นี้ก็ผ่านมาทางนี้พอดี กำลังจะออกจากวังเช่นกัน เมื่อได้ยินคำพูดที่โอหังของหลี่ชิเย่จึงกล่าวตำหนิน่าเกรงขามขึ้นมา “เจ้าหนู มดปลวกกล้าวิจารณ์ต้นไม้ใหญ่อย่างนั้นรึ! ความเข้มแข็งเกรียงไกรของระบบถ่ายทอดความคิดด้านลัทธิลานกำแหง เจ้าไหนเลยสามารถศึกษาให้ละเอียดได้”

“นายน้อยบ้านตระกูลเผิง…” สีหน้าของหยางเซิ่นผิงเปลี่ยนไปเมื่อเห็นชายหนุ่มผู้นี้ เขาสามารถจดจำประวัติความเป็นมาของชายหนุ่มผู้นี้ได้ทันที

สำหรับหลี่ชิเย่นั้น เขาขี้คร้านจะไปสนใจชายหนุ่มผู้นี้อยู่แล้ว เดินจากไปโดยไม่สนใจหรือพูดอะไร

“เจ้าหนู เจ้ามีชื่อว่าอะไร?” ครั้นเห็นหลี่ชิเย่ไม่สนใจตัวเอง ด้วยท่าทีที่ดูแคลนเช่นนี้ทำให้เขาไม่สบอารมณ์ ร้องเสียงทุ้มต่ำออกมาว่า “ข้าเผิงเวยจิ่นต้องการรู้ว่าเจ้าเป็นใครที่ไหนกันแน่ ถึงกับกล้าพูดจาโอหังเช่นนี้”

แต่ว่า เวลานี้หลี่ชิเย่ได้เดินไปไกลแล้ว ไม่สนใจเขาอยู่แล้ว

ชายหนุ่มผู้นี้โกรธจัด คิดจะไล่ติดตามให้ทัน แต่ว่า หยางเซิ่นผิงได้ขวางชายหนุ่มผุ้นี้เอาไว้ และหลี่ชิเย่ “นายน้อยเผิง โปรดอย่าเข้าใจผิด คุณชายผู้นี้คือแขกผู้มีเกียรติ”

ชั่วดีอย่างไรหยางเซิ่นผิงก็นับเป็นบุคคลที่ไม่ธรรมดาคนหนึ่ง แม้ว่าชาติกำเนิดของเขาต่ำต้อย แต่ด้วยฐานะที่เป็นระดับวีรบุรุษแท้จริงของเขาก็ใช่ว่าจะเป็นชื่อเสียงจอมปลอม สิ่งที่สมควรจะทำเขายังคงรู้จักหน้าที่

…………………………………………

Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *