Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล 2506 แค่คนเลวทรามต่ำช้าเท่านั้นเอง

Now you are reading Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล Chapter 2506 แค่คนเลวทรามต่ำช้าเท่านั้นเอง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 2506 แค่คนเลวทรามต่ำช้าเท่านั้นเอง
ดวงตาทั้งสองของทังเฮ่อเสียงในเวลานี้เผยให้เห็นถึงปณิธานการฆ่า จะอย่างไรเสียแม้คนที่มีนิสัยอ่อนโยนมากกว่านี้ก็ต้องมีอารมณ์ ในฐานะที่เป็นคนในระดับเดียวกัน เป็นอัจฉริยะบุคคลของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่เช่นเดียวกัน ตัวเขาเองก็เป็นผู้ที่มีศักยภาพมีธาตุแท้ภายใน หรือเขาจะต้องเกรงกลัวต่อดาบอริยะกวานไห่จริงๆ อย่างนั้นรึ?

“ดาบอริยะ ท่านต้องไตร่ตรองให้รอบคอบ การเป็นศัตรูกับข้าหาใช่การกระทำที่ชาญฉลาด” ทังเฮ่อเสียงกล่าวน่าเกรงขามขึ้นมา ปณิธานฆ่าจากแววตาก็นับว่าไม่ได้สะทกสะท้านเลย

“ไม่ต้องพูดไร้สาระให้มากความ ออกมารับความตายเสีย” ดวงตาทั้งสองของดาบอริยะกวานไห่ดุดันไม่เป็นมิตร ปณิธานดาบไม่สะทกสะท้านต่อสิ่งใด ย่อมไม่ต้องสงสัยว่าเขาได้บังเกิดปณิธานฆ่าต่อทังเฮ่อเสียงขึ้นมาแล้ว ต่อให้ธาตุแท้ภายในของทังเฮ่อเสียงมีมากกว่านี้ ผู้ให้การสนับสนุนแข็งแกร่งมากกว่านี้ เขาก็จะสังหารทังเฮ่อเสียงให้ได้

ดาบอริยะกวานไห่ท่องเที่ยวไปทั่วหล้าผ่านอุปสรรคมานานัปการ เขาหาใช่ประเภทที่จะรับมือได้โดยง่าย เมื่อไรที่เขาได้ตัดสินใจเด็ดขาดแล้ว จะไม่สนใจว่าบุคคลผู้นี้เป็นศิษย์ของใคร มีผู้สนับสนุนเบื้องหลังอย่างไร ประหารก่อนแล้วค่อยว่ากันทีหลัง

ทุกคนต่างกลั้นลมหายใจเอาไว้ แน่นอน ถ้าหากเป็นการต่อสู้ตัวต่อตัวระหว่างดาบอริยะกวานไห่กับทังเฮ่อเสียงล่ะก็ ทุกคนต่างมั่นใจในตัวของดาบอริยะกวานไห่

จะอย่างไรเสีย ระหว่างพวกเขาคนหนึ่งคือระดับเทพแท้จริงขั้นสวรรค์ชั้นเก้า อีกคนคือเทพแท้จริงสวรรค์ชั้นห้า กำลังความสามารถระหว่างพวกเขาห่างกันค่อนข้ามาก หากต่อสู้กันตัวต่อตัว ทังเฮ่อเสียงไม่ใช่คู่ต่อสู้ของดาบอริยะกวานไห่อย่างแน่นอน

แต่ว่า ดูจากท่าทีของทังเฮ่อเสียงแล้ว เขาไม่ได้แค่ต้องการต่อสู้กับดาบอริยะกวานไห่ตัวต่อตัว ซึ่งสร้างความแปลกใจให้กับผู้คนจำนวนไม่น้อยว่า ทังเฮ่อเสียงจะมีท่าไม้ตายอะไรกันแน่

ฮึ…ทังเฮ่อเสียงส่งเสียงฮึน่าเกรงขามขึ้นมา ทวนยาวในมืออดที่กระแทกพื้นทีหนึ่ง ดวงตาทั้งสองเผยปณิธานฆ่าออกมา เขาเองก็ใช่ว่าจะเป็นผู้อ่อนแอที่ปล่อยให้ใครต่อใครมาบีบเล่นได้ตามอำเภอใจ

“เอาล่ะ เจ้าถอยไปก่อนเถอะ” จังหวะที่ทังเฮ่อเสียงกับดาบอริยะกวานไห่กำลังตึงเครียดอยู่นั้น หลี่ชิเย่ได้โบกมือและสั่งการกับดาบอริยะกวานไห่ว่า “ชีวิตสุนัขของเขาข้าจองแล้ว เจ้ายืนดูอยู่ข้างๆ ก็พอ”

ดาบอริยะกวานไห่ไม่ได้พูดอะไรออกมาทันที เพียงจ้องมองทังเฮ่อเสียงด้วยท่าทีเย็นชาอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “วันนี้นับว่าเจ้าโชคดี” พูดจบ เก็บดาบยาวแล้วถอยไปอยู่ด้านข้าง

ทังเฮ่อเสียงส่งเสียงฮึเย็นชาขึ้นมา ภายในใจรู้สึกไม่สบอารมณ์กับดาบอริยะกวานไห่ยิ่งนัก ถูกดาบอริยะกวานไห่ดูถูกถึงเพียงนี้ เหมือนว่าเขาไม่ใช่คู่ต่อสู้ของดาบอริยะกวานไห่อย่างสิ้นเชิงอย่างนั้น แล้วจะให้เขาสบอารมณ์ในใจได้รึ?

หลี่ชิเย่มองดูทังเฮ่อเสียงแวบหนึ่ง หลังจากที่ดาบอริยะกวานไห่ได้ถอยกลับไปแล้ว ยิ้มเฉยเมยและกล่าวว่า “เจ้าคิดอยากจะตายแบบไหน? ถ้าหากต้องการตายอย่างสบายใจก็จัดการตัวเองเสีย แต่หากให้ข้าลงมือล่ะก็พูดยาก ตายอย่างไร้ที่ฝังก็นับเป็นเรื่องที่ปรกติมาก”

สีหน้าของทังเฮ่อเสียงดูไม่จืดถึงขีดสุด เริ่มจากการถูกดาบอริยะกวานไห่ดูถูกก็ให้แล้วกันไป เวลานี้มาถูกหลี่ชิเย่ดูถูกถึงขนาดนี้อีก ภายในใจของเขาโมโหจนแทบระเบิดออกมา

สมควรทราบว่า ในอดีตเป็นตัวเขาเองที่ดูถูกหลี่ชิเย่ ฮ่องเต้องค์ใหม่ในอดีตเป็นเพียงสวะคนหนึ่งเท่านั้นเอง ถูกคนอื่นเขาไล่ลงมาจากบัลลังก์ แม้แต่แผ่นดินก็ต้องเสียไป

เวลานี้เอากับเขาสิ ต้องมาถูกหลี่ชิเย่ดูถูกต่อหน้าผู้คนทั่วหล้าเช่นนี้ กระทั่งเชิดใส่ แม้ภายในใจของเขาก็รู้แล้วว่าหลี่ชิเย่นั้นแข็งแกร่งมากแล้ว แต่ว่า ในใจก็ยังคงไม่สามารถสะกดความโกรธนั้นลงไปได้

“เจ้าคิดว่าเจ้าปราศจากผู้ต่อกรทั่วหล้าอย่างนั้นรึ?” ทังเฮ่อเสียงส่งเสียงฮึเย็นชา แววตาเผยให้เห็นถึงความโกรธ

“ถูกต้อง ข้านี่แหละปราศจากผู้ต่อกร” หลี่ชิเย่หัวเราะทีหนึ่ง และมองดูรอบๆ ทีหนึ่งด้วยท่าทีที่ตามอารมณ์ยิ่ง กล่าวเอ้อระเหยเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นว่า “ใครคิดว่าสามารถท้าสู้กับข้าได้ ให้ก้าวเดินออกมาข้าน่ะยินดีต้อนรับทุกเมื่อ ให้ทุกคนได้ตระหนักถึงความไร้เทียมทานของข้าบ้างก็ดี”

การพูดต่อหน้าผู้คนทั่วหล้าตรงๆ ว่าตนเองนั้นปราศจากผู้ต่อกร มันช่างเป็นการใช้อำนาจบาตรใหญ่เพียงใด ช่างเป็นท่วงทำนองที่สูงเพียงใด ต่อให้ราชันแท้จริงที่แข็งแกร่งมากกว่านี้ก็ไม่กล้าทำตัวโอ้อวดถึงขั้นประกาศว่าตนเองนั้นไรเทียมทาน แต่ว่า ฮ่องเต้องค์ใหม่กลับกล้าที่จะโอ้อวดประกาศว่าตนเองนั้นปราศจากผู้ต่อกร

ทุกคนได้แต่ยิ้มเจื่อนๆ เมื่อได้ยินคำพูดลักษณะเช่นนี้ ความจริงแล้ว ตลอดเวลาที่ผ่านมาฮ่องเต้องค์ใหม่ไม่เคยเปลี่ยน ขณะทุกคนยังเข้าใจว่าเขาเป็นผู้อ่อนแออยู่นั้น สิ่งที่เขาได้กระทำทุกคนต่างเข้าใจว่าเขาเป็นคนที่เหลวไหลโง่เขลาเบาปัญญา แต่ทว่า เวลานี้ทุกคนต่างรู้แล้วว่าเขาแข็งแกร่งแล้ว สิ่งที่เขาได้กระทำลงไป ทุกคนได้แต่เปรียบเปรยด้วยคำๆ เดียว นั่นก็คือบ้าระห่ำ

ความจริงแล้ว ธาตุแท้ของฮ่องเต้องค์ใหม่ไม่เคยเปลี่ยนแปลงตลอดมา เพียงแต่ทุกคนต่างมองดูเขาในมุมมองที่แตกต่างกันเท่านั้น

“ทำไมรึ คงไม่เหมือนเช่นเมื่อครู่ทำตัวเป็นเต่าที่หดหัวอยู่แต่ในกระดองกระมัง?” หลี่ชิเย่มองดูทังเฮ่อเสียงและหัวเราะกล่าวว่า “แต่ว่า ต่อให้วันนี้เจ้าต้องการเป็นเต่าหดหัวอยู่ในกระดอง ก็ไม่อาจตามใจเจ้าได้”

ทุกคนต่างจ้องมองไปที่ทังเฮ่อเสียงอีกครั้ง ในเวลานี้เอง หากทังเฮ่อเสียงยังไม่กล้ารับคำท้าอีก ย่อมส่งผลต่อชื่อเสียงและบารมีของเขา ซึ่งทำให้ฐานะในระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่ของเขาเกิดผลกระทบในวงกว้างมาก ต่อให้สักวันหนึ่งเขาสามารถก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งฮ่องเต้ เกรงว่าคงมีผู้คนจำนวนมากที่ไม่สยบให้กับเขา

“ตกลง…” ทังเฮ่อเสียงได้สูดลมหายใจเข้าลึกๆ ทีหนึ่ง ดวงตาทั้งสองจ้องมองดูเหลี่ชิเย่ไม่เป็นมิตร เอ่ยขึ้นช้าๆ ว่า “ข้าเป็นแม่ทัพ ชำนาญการนำทัพจับศึก ข้าต่อสู้กับศัตรูล้วนแล้วแต่เป็นการบุกตะลุยเข้าโจมตีข้าศึก…”

“เอาล่ะ ไม่ต้องพูดจาอ้อมค้อม” หลี่ชิเย่โบกมือตัดบทคำพูดของทังเฮ่อเสียง และกล่าวว่า “เจ้าก็พูดออกมาตรงๆ ว่าต้องการอาศัยพวกมากเข้าตะลุมบอนก็พอแล้ว พูดเรื่องนำทัพจับศึกอะไรของเจ้า”

ทังเฮ่อเสียงอดที่จะมีใบหน้าที่แดงก่ำไม่ได้ เมื่อถูกหลี่ชิเย่พูดดักคอเอาไว้ก่อน ที่เขาเกริ่นมามากมายก็เพื่อต้องการหาเหตุผลให้ตนพาคนลุยเข้าไปเป็นกลุ่ม

จะอย่างไรเสียภายในใจของทังเฮ่อเสียงก็รู้อย่างชัดเจนว่า ลำพังกำลังความสามารถของตนนั้นไม่ใช่คู่ต่อสู้ของหลี่ชิเย่อยู่แล้ว ธาตุแท้ภายในที่แข็งแกร่งที่สุดของเขาก็คือการร่วมมือกัน ดังนั้น เขาจึงต้องการให้กองทัพที่อยู่ด้านหลังของเขาร่วมมือกันเข้าต่อสู้กับหลี่ชิเย่ เพียงแต่เขินที่จะพูดออกมาเท่านั้น

“ไม่ว่าเจ้าจะมาร้อยคนก็ดี หรือมาพันคนก็ช่าง แม้แต่เจ้าจะยกมาทั้งกองทัพ กระทั่งกองทัพทั้งหกที่ว่าเข้ามาพร้อมกัน ข้าก็ยินดีต้อนรับ ข้าแค่คนเดียวก็เพียงพอแล้ว” หลี่ชิเย่ยิ้มกล่าวด้วยท่าทีเอ้อระเหยเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น “แน่นอน กล่าวสำหรับข้าแล้ว หากพวกเจ้าหกกองทัพเข้ามาพร้อมๆ กันยิ่งดี ข้าแค่ยกมือขึ้นก็จัดการสังหารทหารทรยศเช่นพวกเจ้าจนหมดสิ้น ไม่ต้องให้ข้าต้องเสียเวลาไปจัดการเก็บพวกเจ้าทีละคนๆ”

คำพูดนี้ของหลี่ชิเย่พูดได้เอ้อระเหยเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น คำพูดที่พูดออกมาเหมือนว่าเป็นเรื่องที่เล็กน้อยมากไม่คู่ควรจะกล่าวถึง แต่ว่า บรรดาผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์เมื่อได้ยินคำบอกเล่าเช่นนี้แล้ว ทุกคนต่างร่างสั่นเทิ้มทีหนึ่งอย่างช่วยไม่ได้

แม้ว่าหลี่ชิเย่แค่พูดคำพูดลักษณะเช่นนี้ออกมาเท่านั้น แต่ในเวลานี้ บรรดาผู้อยู่ในเหตุการณ์จำนวนมากต่างรู้สึกว่าตนเองเหมือนได้กลิ่นคาวเลือดที่รุนแรงแสบจมูกอย่างยิ่งเข้าให้แล้ว

ทันใดนั้นเอง ทุกคนต่างบังเกิดมโนภาพขึ้นมา เหมือนว่านาทีนี้พวกเขาได้มองเห็นหลี่ชิเย่เพียงสะบัดมือออกไป ก็จัดการเข่นฆ่าสังหารหกกองทัพจนหมดสิ้น มองเห็นไพร่พลนับล้านของหกกองทัพที่กลายเป็นศพกองอยู่กับพื้นดั่งภูเขา เลือดไหลนองเป็นธาร

ในเวลานี้ ไม่รู้ว่ามีผู้คนจำนวนเท่าไรที่รู้สึกสั่นเทา นาที่นี้ไม่มีใครรู้สึกว่าหลี่ชิเย่กำลังคุยโตโอ้อวดที่เกินจริง ทุกคนต่างเชื่อว่า ถ้าหากหลี่ชิเย่ลงมือจริงๆ เกรงว่าหกกองทัพคงยากจะหนีพ้นเคราะห์กรรมไปได้

“ฮ่องเต้ทรราชย่อมเป็นฮ่องเต้ทรราช…” เวลานี้ ทังเฮ่อเสียงได้พูดเย็นชาขึ้นมาว่า “ไม่รู้จักสำนึกว่าเพราะอะไรตนเองจึงสูญเสียเจตนาร่วมของอาณาประชาราษฎร์ เพราะอะไรจึงมีอาณาประชาราษฎร์และคนใกลชิดที่เอาตัวออกห่าง…”

“เอาล่ะ ไม่ต้องทำเป็นสั่งสอนข้า” หลี่ชิเย่ตัดบททังเฮ่อเสียง หัวเราะและกล่าวว่า “เจ้าเป็นเพียงมดปลวกใต้ฝ่าเท้าของข้าเท่านั้น ทำเป็นสั่งสอน? หากจะต่อสู้ก็รีบๆ เรียกพวกของตนเองมา หาไม่แล้วพลันที่ข้าลงมือ เจ้าก็ตายอยู่ตรงนั้นแหละ”

ใบหน้าของทังเฮ่อเสียงพลันแดงก่ำ และดูไม่จืดถึงขีดสุด เขาพูดเสียงทุ้มต่ำขึ้นมาว่า “ตั้งค่าย วันนี้แหละจะขอรับการชี้แนะจากกระบวนท่าที่สูงส่งของเขา”

ตึง ตึง ตึงภายใต้คำสั่งของทังเฮ่อเสียง มองเห็นกองทัพที่อยู่ด้านหลังของทังเฮ่อเสียงพลันก้าวออกมา และตั้งเป็นค่ายกลในทันที ได้ยินเสียงแว้งค์เสียงหนึ่งดังขึ้น ขณะที่พวกเขาได้เสกผังค่ายกลออกมา ใต้เท้าของพวกเขาได้ปรากฏเป็นกฎเกณฑ์ค่ายกลขึ้น เส้นแนวตั้งแนวนอนได้ตัดสลับกัน

นาทีนี้ทังเฮ่อเสียงก้าวเท้าเพียงก้าวเดียวก็เข้าไปอยู่บริเวณตรงกลางของค่ายกล ได้ยินเสียงแว้งค์ดังขึ้น ค่ายกลงลอยล่อง ปรากฏหลักกฎเกณฑ์นับไม่ถ้วนพลันล้อมรอบตัวทังเฮ่อเสียงและหมุนวนไปรอบๆ พลังที่น่าเกรงขามและอันธพาลยิ่งของกองทัพทั้งกองล้วนแล้วแต่ถูกรวบรวมเอาไว้บนตัวของทังเฮ่อเสียง โดยมีทังเฮ่อเสียงเป็นศูนย์กลาง

ดวงตาทั้งสองของบรรดาผู้คนทั้งหมดที่อยู่ในเหตุการณ์ต้องเบิกกว้าง เมื่อเห็นพวกของทังเฮ่อเสียงได้ตั้งเป็นค่ายกลขึ้นมา

“แปลกอย่างไร?” พรรคพวกที่อยู่ข้างกายอดที่จะเอ่ยถามแผ่วเบาขึ้นมา

“เจ้าไม่รู้สึกแปลกรึ?” คนผู้นี้มองดูพวกของทังเฮ่อเสียงที่ตั้งเป็นค่ายกลขึ้นมา พูดเสียงแผ่วเบาว่า “กองทัพทัพนี้ไม่ใช่ทหารองครักษ์นะ แต่เป็นกองทัพที่เป็นแกนหลักของกองทัพส่วนกลาง ส่วนใหญ่มาจากทหารเก่าแก่ของกองทัพตระกูลหม่า แต่ว่า เจ้าดูสภาพของการเป็นค่ายกลนี่สิ มันคล่องแคล่วชำนาญเพียงใด สามารถตั้งเป็นค่ายกลขึ้นโดยพลัน คงไม่ใช่เพิ่งจะมีการซักซ้อมเมื่อเกิดเหตุจวนตัวอยู่แล้ว”

ผู้คนที่อยู่รอบข้างต่างรู้สึกตะลึงเมื่อได้ยินคำพูดของคนผู้นี้ จากนั้นรู้สึกสะท้านในใจ เมื่อทุกคนพิจารณาไตร่ตรองถึงรายละเอียดของเรื่องนี้แล้ว ปัญหานี้ไม่ธรรมดาเลย

สมควรทราบว่า ทหารที่ติดตามทังเฮ่อเสียงมาในวันนี้ไม่ใช่ทหารองครักษ์ แต่เป็นกองกำลังที่เกรียงไกรของกองทัพส่วนกลาง ขณะที่ทังเฮ่อเสียงนั้นเป็นแม่ทัพของกองทัพองครักษ์

ทั้งสองกองทัพประจำการอยู่กันคนละทิศคนละทาง เพราะอะไรทังเฮ่อเสียงกับกองกำลังที่เกรียงไกรของกองทัพส่วนกลางจึงสามารถร่วมมือเข้าขากันได้ดีขนาดนี้? การซักซ้อมเช่นนี้คงไม่ได้มีขึ้นชั่วคราว และคงไม่ได้ใช้เวลาเพียงแวบเดียว ต้องผ่านการซักซ้อมมาเป็นจำนวนนับครั้งไม่ถ้วนจึงมีผลอย่างที่เห็น

“อย่าลืมไปสิ ฮ่องเต้ไท่ชิงอยู่ในสภาพของไม้ใกล้ฝั่งมานานมากแล้ว เหลือเพียงลมหายใจเฮือกเดียวมานาน” จังหวะที่ผู้คนจำนวนมากรู้สึกแปลกใจอยู่นั้น ระดับบรรพบุรุษผู้หนึ่งที่อยู่ข้างๆ ได้ส่งเสียงลอยตามลมมาคำหนึ่ง

ทุกคนต่างรู้สึกสะดุ้งในใจ พลันที่ได้ยินคำพูดคำนี้

หากจะกล่าวว่า ครั้งนั้นฮ่องเต้ไท่ชิงสวรรคต ในบรรดากลุ่มคนรุ่นใหม่ของราชวงศ์โต่วเซิ่น ใครบ้างที่มีโอกาสก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งฮ่องเต้มากที่สุด? คำตอบแทบจะออกมาอย่างชัดแจ้ง นั่นก็คือทังเฮ่อเสียง

สิ่งนี้ย่อมเป็นการบ่งบอกว่า ขณะที่ฮ่องเต้ไท่ชิงยังไม่ทันสวรรคต ทังเฮ่อเสียงกับกองทัพส่วนกลางก็มีความสัมพันธ์ที่ไม่ธรรมดาเสียแล้ว มีการวางแผนเรื่องของบัลลังก์ฮ่องเต้เอาไว้นานแล้ว ดังนั้น พวกเขาจึงได้มีการร่วมมือที่เข้าขากันถึงเพียงนี้

เสียงตูม…ดังสนั่นหวั่นไหว ในเวลานี้เองค่ายกลใหญ่ได้สำเร็จเป็นรูปเป็นร่าง มองเห็นร่างกายของทังเฮ่อเสียงในเวลานี้ที่เริ่มขยายใหญ่โตมากขึ้น มากขึ้นๆ อีกทั้งกองกำลังสายนั้นในขณะนี้ได้หลอมรวมเข้ากับค่ายกล และกลายเป็นโล่ขนาดยักษ์และไปอยู่ในมือของทังเฮ่อเสียง

ตูม…ตูม…ตูม…ท่ามกลางเสียงดังตูมตามดังขึ้นเป็นระลอก ร่างกายของทังเฮ่อเสียงที่มีขนาดใหญ่โตมากขึ้นเรื่อยๆ สุดท้าย เสมือนหนึ่งเป็นภูเขาขนาดยักษ์ลูกหนึ่ง

นาทีนี้ ทังเฮ่อเสียงมีศีรษะที่ดันท้องฟ้า เท้าเหยียบผืนแผ่นดิน เมฆสีขาวที่ล่องลอยผ่านบริเวณเอวของเขาเท่านั้นเอง ขณะที่น้ำในทะเลสาบอยู่แค่บริเวณน่องของเขาเท่านั้นเอง

ด้วยร่างกายที่มีขนาดยักษ์เช่นนี้ ทำให้ผู้คนต้องแหงนหน้ามอง

สำหรับโล่ยักษ์ที่อยู่ในมือของทังเฮ่อเสียงนั้น ก็เหมือนดั่งภูเขาขนาดยักษ์ลูกหนึ่ง โล่ที่มีขนาดใหญ่ยักษ์เช่นนี้เมื่อกระแทกลงมาเหมือนว่าสามารถทุบจนทะเลสาบนี้แหลกละเอียดได้อย่างนั้น

…………………………………………………….

Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *