Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล 1752 ลงโทษ

Now you are reading Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล Chapter 1752 ลงโทษ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 1752 ลงโทษ
หลี่ชิเย่จับเสิ่นเสี่ยวซันกดอยู่บนขาทั้งสองยิ้มแต้และกล่าวว่า “เจ้ารู้รึยังว่าผิดตรงไหน?”

เสิ่นเสี่ยวซันเวลานี้ใบหน้าร้อนผ่าว ใบหน้าแดงก่ำจนแทบมันหยด อ่อนระทวยไปทั้งร่าง มีความรู้สึกที่บอกไม่ถูก เหมือนหัวใจกำลังจะล่องลอยขึ้นมา

“ข้า ข้า ข้ารู้” เสิ่นเสี่ยวซัน กระทั่งความกล้าที่จะพูดเสียงดังออกมายังไม่มี เสียงเบาเหมือนแมลงหวี่ เสียงนั้นช่างบางเบาเหลือเกิน ดั่งสายน้ำที่ไหลริน

“ในเมื่อเจ้ารู้ ไหนลองว่ามาซิ ว่ามันผิดที่ตรงไหน?” หลี่ชิเย่กล่าวยิ้มแต้ขึ้นมา

เวลานี้ เสิ่นเสี่ยวซันที่คว่ำหน้าอยู่บนขาทั้งสองข้างของเขา ภายในสมองสับสนวุ่นวาย กระแสร้อนผ่าวที่โหมเข้ามาเป็นระลอก ทำให้นางอ่อนระทวยปราศจากสิ้นเรี่ยวแรง เสียงของนางหวานจนแทบหยด เขินอายจนไม่สามารถควบคุมได้ นุ่มนวลดั่งสายน้ำ เอ่ยขึ้นแผ่วเบาว่า “ข้า ข้า ข้าไม่ควรเยาะเย้ยเจ้า ข้า ข้า ข้าไม่ได้หมายความอย่างนั้น เป็น เป็นข้าผิดเอง”

เวลานี้ สามจิตเจ็ดวิญญาณของเสิ่นเสี่ยวซันแทบจะล่องลอยออกมา พริบตาเดียวนี้ขอเพียงหลี่ชิเย่ไม่โกรธ จะให้นางทำอะไรก็ยอม

“รู้ว่าทำผิดแล้วแก้ไข ไม่มีสิ่งใดดีไปกว่านี้อีกแล้ว แต่ว่า คนที่ทำผิดแล้วจะต้องถูกลงโทษนะ” หลี่ชิเย่กล่าวยิ้มแต้ออกมา

“ลง ลงโทษอย่างไร” เสิ่นเสี่ยวซันเขินอายจนควบคุมไม่ได้ เอ่ยขึ้นแผ่วเบา แต่ว่า นางพูดยังไม่ทันขาดคำ ปรากฏปวดแสบปวดร้อนขึ้นที่ก้นของนาง

“ป้าบ ป้าบ ป้าบ…” ในเวลานี้ฝ่ามือของหลี่ชิเย่สัมผัสลงบนก้นที่กลมงอนของนางทีละฝ่ามือๆ การลงมือของหลี่ชิเย่เป็นการลงมือแบบไม่ยั้ง แต่ละฝ่ามือล้วนทำเอาก้นของเสิ่นเสี่ยวซันปวดแสบปวดร้อนไปหมด

“โอ๊ย” เสิ่นเสี่ยวซันถึงกับร้องด้วยความเจ็บปวดออกมาทีหนึ่ง เมื่อฝ่ามือของหลี่ชิเย่ที่ฟาดลงไปเป็นระลอก แต่ ก็ไม่กล้าร้องเสียงดังออกมา ถึงกับกัดฟันทนเอา เวลานี้อารมณ์ความรู้สึกที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมผุดขึ้นมากลางใจ น้ำตากรอกกลิ้งอยู่ในตา

นางไม่เคยได้รับความไม่เป็นธรรมเช่นนี้มาก่อน และไม่เคยถูกใครตีในลักษณะเช่นนี้มาก่อน มาวันนี้ถูกผู้อื่นเขารังแกเช่นนี้ แต่ภายในใจของนางกลับยินยอม เวลานี้นางรู้สึกเศร้าเสียใจขึ้นมา

หลังจากที่ฟาดเป็นระลอกไปแล้ว หลี่ชิเย่จึงหยุดยั้งมือ เวลานี้เขาได้ลูบบนก้นของนางอย่างแผ่วเบา กล่าวเฉยเมยว่า “นี่เป็นเพียงการเตือนเท่านั้นเอง”

เสิ่นเสี่ยวซันรู้สึกได้ถึงวิญญาณที่ล่องลอยขึ้นโดยพลัน เมื่อก้นงามของตนถูกฝ่ามือใหญ่ของหลี่ชิเย่ลูบไล้เบาๆ มือใหญ่ที่หยาบกร้านบวกกับผิวหนังที่กระด้าง แม้จะกั้นขวางด้วยเสื้อผ้าชั้นหนึ่งก็ตาม แต่ผิวหนังที่กระด้างนั้นเมื่อสัมผัสกับผิวหนังที่อ่อนนุ่มของนางแล้ว ทำให้เกิดความรู้สึกที่ร้อนผ่าวตรงเข้าไปถึงหัวใจของนาง

ขณะที่มือใหญ่หยาบกร้านสัมผัสอยู่กับก้นงามนั้น เสิ่นเสี่ยวซันถึงกับลืมความเจ็บปวดเมื่อครู่นั้นไปในพริบตาเดียว ความรู้สึกชาและอ่อนแรงแผ่ขยายไปทั่วร่าง เวลานี้นางรู้สึกว่าตัวเองอ่อนแรงจนแทบจะละลายกลายเป็นน้ำ ร่างของนางอ่อนแรงอยู่กับขาทั้งสองของหลี่ชิเย่

หลี่ชิเย่คลึงก้นงามที่ถูกฟาดจนปวดแสบปวดร้อนของเสิ่นเสี่ยวซัน จากการคลึงเบาๆ เช่นนี้ เสิ่นเสี่ยวซันถึงกับร้องครางเบาๆ ออกมาเหมือนแมว พลันทำให้นางรู้สึกอับอายจนแทบจะมุดแผ่นดิน กัดฟันแน่น ไม่กล้าให้เสียงเล็ดลอดออกมา แต่การนวดคลึงของหลี่ชิเย่ทำให้หัวใจของนางโบยบินเหมือนล่องลอยอยู่บนก้อนเมฆ ตัวเบาหวิว ลืมสิ้นทุกสิ่งทุกอย่างในหล้า

เวลานี้ มือใหญ่ของหลี่ชิเย่เหมือนหนึ่งมีประจุไฟฟ้า ช็อตจนเสิ่นเสี่ยวซันจิตใจเคลิบเคลิ้มหลงใหล หลงรักเข้าไปเต็มตัว

“ยังเจ็บอีกมั้ยเวลานี้?” หลังจากที่หลี่ชิเย่นวดคลึงไปครู่หนึ่งแล้วจึงได้เอ่ยถามขึ้นมา

คำพูดที่ห่วงใยของหลี่ชิเย่ไม่เพียงทำให้วิญญาณของเสิ่นเสี่ยวซันล่องลอยเท่านั้น ร่างทั้งร่างของเขาเวลานี้เปรียบประดุจแช่อยู่ในน้ำผึ้งอย่างนั้น หวานจนแยกไม่ออก และเวลานี้นางรู้สึกเหมือนมึนๆ

“ไม่ ไม่ ไม่เจ็บแล้ว” เสียงของเสิ่นเสี่ยวซันเบามากจนแทบไม่ได้ยิน เวลานี้ทุกสิ่งล้วนไม่มีความสำคัญอีกต่อไป ความไม่เป็นธรรมเล็กน้อยที่ได้รับก่อนหน้าไม่นับเป็นอะไรได้

สุดท้าย หลี่ชิเย่หัวเราะและหลี่ชิเย่ “เอาหละ ข้าจะไม่ลงโทษเจ้าอีกแล้ว ลุกขึ้นเถอะ”

คำพูดของหลี่ชิเย่ทำให้เสิ่นเสี่ยวซันอายจนแทบแทรกแผ่นดินหนี ใบหน้าร้อนผ่าว ไม่ง่ายนักกว่าจะยืนตัวตรงขึ้นมาได้ หลังจากลุกขึ้นยืนแล้ว นางก้มหน้าลงต่ำมองดูปลายเท้าของตน ไม่กล้าสบตากับหลี่ชิเย่

“นั่งลงสิ” หลี่ชิเย่มองดูเสิ่นเสี่ยวซันทีหนึ่ง สั่งการออกไป

เสิ่นเสี่ยวซันเชื่อฟังอย่างว่าง่าย นั่งลงข้างๆ หลี่ชิเย่ หลี่ชิเย่ที่นั่งอยู่ตรงนั้นยังคงดูดกลืนกลิ่นอายขมุกขมัว และรับเอาพลังของโลกยุคดึกดำบรรพ์ก่อนที่จะมีการแยกฟ้าดินออกเป็นสองส่วน กล่าวขึ้นเชื่องช้าว่า “เจ้าคุมจิตแห่งการบำเพ็ญเพียรเอาไว้ ขจัดความคิดที่สับสน ทำจิตให้ว่างเปล่า สมควรทราบว่า ยามที่คนเราได้รับความพึงพอใจสูงสุดจะเป็นช่วงเวลาที่จิตจะเข้าสู่สภาพที่ว่างเปล่าได้ง่ายดายที่สุด”

เสิ่นเสี่ยวซันพลันมีใบหน้าแดงก่ำขึ้นมาทันทีเมื่อได้ยินคำพูดของหลี่ชิเย่ แต่ว่าเวลานี้นางไม่กล้าคิดอะไรมาก รีบเร่งทำตามที่หลี่ชิเย่บอก คุมจิตแห่งการบำเพ็ญเพียรเอาไว้ ขจัดความคิดที่สับสน ทำจิตให้ว่างเปล่า

แรกทีเดียวยังมีความยากลำบากสำหรับเสิ่นเสี่ยวซัน แต่ไม่ทราบเป็นเพราะอะไร การที่นางนั่งอยู่ข้างกายของหลี่ชิเย่ และห่างกันใกล้ขนาดนี้ ได้สูดดมเอากลิ่นอายของบุรุษที่หนึ่งไม่มีสองเช่นนี้เข้าไป มันกลับไม่ได้ไปรบกวนอารมณ์ของนาง และไม่ได้สะกิดใจของนาง

ภายใต้การหายใจเข้าออกที่เป็นจังหวะยิ่งของหลี่ชิเย่ นางกลับค่อยๆ เข้าสู่จิตที่ว่างเปล่า ภายใต้จังหวะที่หนึ่งไม่มีสองของหลี่ชิเย่ นางถึงกับรับกับจังหวะการหายใจเข้าออกของหลี่ชิเย่ และสามารถเข้าสู่จิตที่ว่างเปล่าภายในระยะเวลาอันสั้น เวลานี้ นางรู้สึกได้ว่าตนเองนั้นอยู่ใกล้กับจังหวะฟ้าดินมากเหลือเกิน เหมือนว่าเพียงชั่วพริบตาเดียวนางก็แนบติดใกล้กับฟ้าดินอย่างนั้น

เป็นความรู้สึกที่ไม่เคยได้รับรู้มาก่อนนับแต่เสิ่นเสี่ยวซันเริ่มฝึกบำเพ็ญเพียรมา นี่เป็นครั้งแรกที่นางได้รับรู้ถึงความรู้สึกที่ล้ำลึกอย่างมหัศจรรย์เช่นนี้

การบำเพ็ญเพียรไม่ว่าจะเดินไปบนเส้นทางใดก็ตาม ท้ายสุดล้วนแล้วแต่เหมือนกัน การดูดกลืนกลิ่นอายขมุกขมัว และรับเอาพลังของโลกนยุคดึกดำบรรพ์ก่อนที่จะมีการแยกฟ้าดินออกเป็นสองส่วน กล่าวสำหรับผู้บำเพ็ญตนคนหนึ่ง พื้นฐานโดยแท้จริงไม่ได้ขึ้นอยู่กับเจ้าได้ฝึกเคล็ดราชันปราศจากผู้ต่อกรมามากน้อยเท่าไร ไม่ได้อยู่ที่เจ้าได้ฝึกเคล็ดวิชาปราบสวรรค์ที่ยากหาผู้ใดเทียมเพียงใด แต่อยู่ที่ฐานเต๋าของเจ้ามันแข็งแรงทนทานมากแค่ไหน หากไม่มีฐานเต๋าที่แข็งแรง เคล็ดราชันทั้งหมดที่มีมันก็แค่เป็นสิ่งที่ล่องลอยอยู่กลางอากาศเท่านั้น

ขณะที่เสิ่นเสี่ยวซันเข้าสู่จิตที่ว่างเปล่า หลี่ชิเย่ได้ถ่ายทอดการบำเพ็ญเพียรให้กับนางอย่างช้าๆ ถือเป็นค่าตอบแทนที่เสิ่นเสี่ยวซันได้ปรนนิบัติต่อเขา

ในโลกหล้า พลังภายในมีนับไม่ถ้วน ยิ่งเคล็ดวิชาด้วยแล้วมีมากดั่งดอกเห็ด แน่นอนเคล็ดราชันย่อมเป็นสิ่งที่ปรารถนาของผู้คนในหล้า แต่หากพูดถึงความแข็งแกร่งแน่นหนาของสัจธรรม เคล็ดราชันไม่เห็นจะเป็นสิ่งที่ดีที่สุด เพียงแต่อานุภาพของเคล็ดราชันมีมากกว่าเคล็ดวิชาอื่นๆ เท่านั้น ทั้งยังฝึกได้รวดเร็ว ดังนั้น ความหมายสัจธรรมที่เกี่ยวพันก็จะละเอียดลึกซึ้งกว่า! แต่ท่ามกลางวิถีอันยากไกล สามารถแสดงให้เห็นว่าล้ำค่ายิ่งนั้นกลับไม่ใช่เคล็ดราชัน”

หาได้ยากนักที่หลี่ชิเย่จะตั้งใจบรรยายเช่นนี้ ถือว่าเป็นวาสนาที่หลี่ชิเย่ประทานให้กับเสิ่นเสี่ยวซัน

“เคล็ดวิชาที่จะพูดถึงวันนี้ เผ่าเทพ เผ่ามาร และเผ่าสวรรค์จะอยู่นอกเหนือจากที่เราจะพูดถึง วันนี้จะพูดถึงร้อยชาติพันธุ์เท่านั้น” หลี่ชิเย่กล่าวขึ้นมาเชื่องช้าว่า “ในสิบสามทวีป ที่สุดหากจะกล่าวถึงเคล็ดวิชาที่เหมาะแก่การฝึกสำหรับร้อยชาติพันธุ์มากที่สุด ย่อมเป็น ‘เคล็ดหมื่นวิชา’ ที่คิดค้นขึ้นโดยราชันเซียนว่านกุ พลังภายในนี้สามารถเกื้อหนุนร้อยชาติพันธุ์ และสารพันสายเลือด ไม่ว่าบุคคลผู้นั้นจะเป็นเผ่าพันธุ์ใด ไม่ว่าจะมีสายเลือดเช่นใด ล้วนแล้วแต่เหมาะกับการฝึกพลังภายในเช่นนี้…”

“…พลังภายในนี้เรียบง่ายมั่นคงไม่มีอะไรพิสดาร เวลาฝึกก็เปรียบเสมือนเป็นน้ำเปล่าไม่มีรสชาติอะไร แต่ด้วยความเป็นเรียบง่ายมั่นคงไม่มีอะไรพิสดารนี่แหละ มันสามารถทำให้ฐานเต๋าถูกทำให้มั่นคงตลอด เมื่อถึงช่วงท้ายอานุภาพของพลังภายในจึงปรากฏขึ้นอย่างแท้จริง ดังนั้น คิดจะสำเร็จพลังภายในนี้ขั้นสมบูรณ์ จำเป็นต้องผ่านการเคี่ยวกรำเป็นระยะเวลาที่ยาวนาน…”

ในเวลานี้ หลี่ชิเย่พูดเจื้อยแจ้ว บรรยายถึงเนื้อหาที่ลึกซึ้งยอดเยี่ยมของการใช้ได้จริงของเคล็ดวิชาทั้งสามในใต้หล้าให้กับเสิ่นเสี่ยวซันได้ฟัง

“แน่นอนที่สุด ในช่วงหลังหากคิดจะให้อานุภาพของมันปรากฏเด่นชัดขึ้นมา จะต้องฝึก “เคล็ดหมื่นวิชา” ฉบับของราชันเซียนว่านกุ หาใช่ “เคล็ดหมื่นวิชา” ฉบับที่ถูกคนเขาแก้ไขจนไม่เหลือเค้าโครงเดิม พวกไม่มีสมองเข้าใจไปเองว่าตัวเองนั้นฉลาด สามารถแก้ไขเคล็ดวิชาพลังภายในนี้ให้สามารฝึกได้เร็วขึ้น คิดว่าตัวเองสามารถทำให้ความลึกซึ้งยอดเยี่ยมย่อให้ง่ายขึ้น ทำให้อยู่ดีๆ เคล็ดวิชาที่สุดยอดในหล้าถูกแก้ไขจนไม่เหลือเค้าโครงเดิมอีกเลย…”

เวลานี้ หลี่ชิเย่พูดเจื้อยแจ้วไม่เพียงบรรยายให้เสิ่นเสี่ยวซันให้ทราบถึงประวัติความเป็นมา ยังเป็นการบรรยายถึงความลึกซึ้งและยอดเยี่ยมของ “เคล็ดหมื่นวิชา”

เรียกได้ว่า “เคล็ดหมื่นวิชา” ใครก็สามารถเริ่มต้นฝึกได้ กระทั่งไม่มีใครสอน ขอเพียงอ่านหนังสือออก เปิดดูแล้วก็ฝึกตามก็สามารถทำได้

เรียกได้ว่าครั้งนั้นนราชันเซียนว่านกุได้ทำการวิวัฒนาการจน “เคล็ดหมื่นวิชา” ถึงขั้นที่เข้าใจง่ายที่สุดแล้ว

“เคล็ดหมื่นวิชา” ไม่เพียงแต่ใครก็สามารถลงมือฝึกได้เท่านั้น อีกทั้งวิธีการฝึกแต่ละคนแตกต่างกันไป เนื่องจากความเข้าใจร้อยคนจะต่างกัน เมื่อฝึกแล้วก็จะมีผลที่ออกมาแตกต่างกันไป

ไม่ว่าจะมีความเข้าใจอย่างไร ไม่ว่าจะฝึกเช่นใด หลังจากฝึก “เคล็ดหมื่นวิชา” แล้วโอกาสที่ธาตุไฟเข้าแทรกจะมีอัตราส่วนที่ต่ำมากๆ กระทั่งเรียกได้ว่านับแต่อดีตกาลเป็นต้นมาน้อยครั้งนักที่จะได้ยินว่ามีใครที่ฝึก “เคล็ดหมื่นวิชา” แล้วธาตุไฟเข้าแทรก แน่นอนที่สุด จะต้องเป็น “เคล็ดหมื่นวิชา” ฉบับของราชันเซียนว่านกุเท่านั้น

แต่ว่าผู้คนในรุ่นหลังได้นำเอาความเข้าใจและประสบการณ์ของตนเพิ่มเติมเข้าไปใน “เคล็ดหมื่นวิชา” กระทั่งมีการแก้ไข “เคล็ดหมื่นวิชา” เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว “เคล็ดหมื่นวิชา” ที่แพร่หหลายในยุคหลังจึงกลายเป็น “เคล็ดหมื่นวิชา” ที่ไม่หลงเหลือเค้าโครงเดิม ขณะที่ฉบับของราชันเซียนว่านกุเหลือสืบทอดมาไม่กี่ฉบับเท่านั้น

ลองคิดดู ราชันเซียนว่านกุเป็นบุคคลระดับไหนกัน เขาคือราชันเซียนคนแรกของเผ่าผี ตัวเขาเองนอกจากจะสืบทอดชะตาฟ้าของเก้าแดนแล้ว หลังจากที่ผ่านการฝึกอย่างยาวนานในแดนที่สิบแล้ว ก็ได้สืบทอดชะตาฟ้าของแดนสิบอีกแปดสาย

เรียกได้ว่าเขาเป็นผู้ที่บุกเบิกให้สามารถรองรับชะตาฟ้าของเก้าแดนร่วมกับชะตาฟ้าของแดนที่สิบได้ และเป็นราชันเซียนองค์แรกที่สามารถรับเอาชะตาฟ้าของแดนที่สิบได้ถึงแปดสาย

กระทั่งเคยมีคนประเมินทักษะยุทธชั่วชีวิตของราชันเซียนว่านกุสามารถเทียบเคียงได้กับราชันเหยียนตี้!

“เคล็ดหมื่นวิชา”ที่เขาคิดค้นและสร้างขึ้นมานั้น แม้ว่าจะเรียบง่ายยิ่งนัก แต่ว่าข้างในนั้นได้รวมเอาพลังกายใจของเขาอยู่นับไม่ถ้วน เสียดายที่ผู้คนยุคหลังไม่เข้าใจถึงความตั้งใจของราชันเซียนว่านกุ ทำการแก้ไข “เคล็ดหมื่นวิชา” จนไม่เหลือเค้าโครงเดิมอีกเลย

แม้จะกล่าวว่าสามเคล็ดวิชาใหญ่คือเคล็ดพลังภายในที่แพร่หลายกว้างไกลมากที่สุดในสิบสามทวีป แต่ว่าส่วนใหญ่แล้วผู้ที่ฝึกจะเป็นผู้บำเพ็ญตนไร้สังกัดที่มีชาติกำเนิดต่ำต้อยหรือมนุษย์ปุถุชนธรรมดา ขณะที่ผู้บำเพ็ญตนส่วนใหญ่ที่มีชาติกำเนิดระดับหนึ่ง ต่อให้เป็นสำนักขนาดเล็กก็ตาม ก็ไม่เลือกที่จะฝึกเคล็ดวิชาทั้งสามดังกล่าว

เหตุผลง่ายมาก เหมือนดั่งที่หลี่ชิเย่ได้กล่าวเอาไว้ว่า เคล็ดวิชาทั้งสามดังกล่าวเรียบง่ายมั่นคงไม่มีอะไรพิสดาร เวลาฝึกก็เปรียบเสมือนดื่มน้ำเปล่าไม่มีรสชาติ ในขณะที่ฝึกสัจธรรมเหมือนไม่สามารถบรรลุถึงความลึกซึ้งและยอดเยี่ยมของสัจธรรมดังกล่าว

กล่าวสำหรับผู้บำเพ็ญตนแล้ว การบำเพ็ญเพียรเพื่อสิ่งใด? แน่นอน ย่อมต้องการควบคุมความลึกซึ้งและยอดเยี่ยมของสัจธรรม ได้ก้าวขึ้นสู่จุดสูงสุด ปราศจากผู้ต่อกรในหล้า

ดังนั้น ขณะฝึกเคล็ดวิชาทั้งสามที่เรียบง่ายมั่นคงแต่ไม่มีอะไรพิสดาร ประดุจเป็นน้ำเปล่า ทำให้สำนักขนาดเล็กที่มีธาตุแท้ภายในอยู่บ้างก็จะไม่ยอมให้ศิษย์ภายในสำนักของตนได้ฝึก

Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *