Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล 1788 แดนอาถรรพ์เทพกำแหง

Now you are reading Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล Chapter 1788 แดนอาถรรพ์เทพกำแหง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 1788 แดนอาถรรพ์เทพกำแหง
การที่แดนอาถรรพ์เทพกำแหงเกิดปรากฏการประหลาดขึ้นกะทันหัน ได้สร้างความสนใจให้กับผู้คนจำนวนไม่น้อย โดยเฉพาะยอดฝีมือผู้บำเพ็ญตนจำนวนมากที่อาศัยอยู่บนแผ่นดินของตระกูลราชันฉีหลินต่างให้ความสนใจ เนื่องจากแดนอาถรรพ์เทพกำแหงเป็นพื้นที่ที่เป็นเขตติดต่อกับพื้นที่อิทธิพลของตระกูลราชันฉีหลิน

ด้วยเหตุนี้เอง ยอดฝีมือผู้บำเพ็ญตนจำนวนไม่น้อยจึงได้เข้าไปยังแดนอาถรรพ์เทพกำแหง ทุกคนล้วนแล้วแต่ต้องการสืบค้นพื้นที่แห่งนี้ ดูว่ามีสมบัติวิเศษปรากฏออกมาจริงหรือไม่

วันรุ่งขึ้นของการเกิดเหตุการณ์ประหลาดในแดนอาถรรพ์เทพกำแหง หลี่ชิเย่ก็ได้พาพวกของเสิ่นเสี่ยวซันถึงยังแดนอาถรรพ์เทพกำแหงผ่านประตูมิติ แม้ว่าแดนอาถรรพ์เทพกำแหงเป็นพื้นที่ที่เป็นเขตติดต่อกับพื้นที่อิทธิพลของตระกูลราชันฉีหลิน แต่จากเมืองฉีหลินถึงแดนอาถรรพ์เทพกำแหงก็มีระยะทางที่ไกลมาก ต้องเดินทางผ่านประตูมิติ มิฉะนั้นก็ยากจะไปถึงได้

ผู้คนจำนวนมากต่างรู้สึกหวาดกลัวขนลุกขนพองขณะยืนอยู่บริเวณด้านนอกของแดนอาถรรพ์เทพกำแหงมองดูแดนอาถรรพ์เทพกำแหงจากระยะห่างไกล

เมื่อทอดสายตามองออกไป เห็นแต่ความมืดมิดตรงหน้า และมีแต่ความเงียบสงัด ณ ที่ตรงนี้ยกเว้นความมืดมิดแล้วยังคงเป็นความมืดมิด ไม่ต้องพูดถึงเรื่องแสงสว่างใดๆ ทั้งสิ้น

เมื่อยืนอยู่บริเวณด้านนอกแดนอาถรรพ์เทพกำแหงแล้วมองเข้าไปภายในแดนอาถรรพ์เทพกำแหงจากระยะห่างไกล ทำให้ผู้คนรู้สึกว่าด้านหน้าก็คือสุดเขตของโลก เป็นสุดเขตของโลกมนุษย์ ถ้าหากก้าวข้ามจากจุดนี้ไป ก็จะเข้าสู่โลกแห่งความมืด และเข้าสู่แดนอเวจีนับจากนี้เป็นต้นไป

เนื่องจากมีความรู้สึกเช่นนี้นี่เอง ทำให้ผู้คนถึงกับหวาดกลัวจนขนลุกซู่เมื่อได้เห็น ทำให้ผู้คนรู้สึกเย็นยะเยือก คนที่ขี้ขลาดไม่กล้าแม้แต่จะก้าวเท้าเข้าไปแม้แต่ก้าวเดียว

“นี่มันสถานที่บ้าบออะไรกันแน่นะ?” เฮ่อเฉินถึงกับหนาวสะท้านขึ้นมา เมื่อมองเห็นความมืดมิดตรงหน้า ถึงกับขนลุกซู่ในใจ เขามีความรู้สึกว่าโลกแห่งความมืดมิดที่อยู่ตรงหน้าดุจดั่งเป็นปากที่อ้ากว้างมากของสัตว์ดึกดำบรรพ์ที่มีขนาดใหญ่โตมโหฬาร ไม่ว่าใครก็ตามหากก้าวเดินเข้าไปก็ต้องถูกมันกลืนกิน ไม่ว่าใครก็ตามเข้าไปแล้วก็จะไปแล้วไปลับไม่ได้กลับมาอีก

“เล่าลือกันว่า แดนอาถรรพ์เทพกำแหงเป็นสถานที่ที่ต้องคำสาป ไม่ว่าใครก็ตามหากเข้าไปแล้วก็จะต้องคำสาป” เถี่ยซู่องที่ติดตามมาด้วยมีสีหน้าเคร่งเครียดมองดูพื้นที่มืดมิดตรงหน้า

เถี่ยซู่องก็เคยได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับแดนอาถรรพ์เทพกำแหง แต่ว่าเขาไม่เคยมา โดยตัวเขาเองมองว่า ด้วยความสามารถของเขาหากมาที่แดนอาถรรพ์เทพกำแหงเท่ากับเป็นการรนหาที่ตายเอง

หลี่ชิเย่เผยให้เห็นถึงรอยยิ้มที่จืดชืด มองดูพื้นที่ที่มืดมิด “แดนอาถรรพ์เทพกำแหง” ตรงหน้าแล้วก้าวเท้าเดินเข้าไปข้างใน

พวกของเสิ่นเสี่ยวซันต่างตะลึงนิดหนึ่งเมื่อเห็นหลี่ชิเย่ก้าวเดินตรงเข้าไปยังพื้นที่มืดมิดที่อยู่ตรงหน้า เมื่อได้สติกลับมาจึงรีบเร่งตามขึ้นไปให้ทัน ในเมื่อหลี่ชิเย่ยังกล้าเข้าไป พวกเขาจะต้องไปกลัวอะไร ยิ่งไปกว่านั้น หลี่ชิเย่ก็ไม่ทำร้ายพวกเขาอยู่แล้ว

นาทีที่ก้าวเท้าเข้าไปยังแดนอาถรรพ์เทพกำแหง เฮ่อเฉินยังคงอดที่จะกังวลไม่ได้ และกล่าวว่า “ไหนบอกว่าแดนอาถรรพ์เทพกำแหงต้องคำสาปไม่ใช่รึ? พวกเราเข้าไปแล้วจะต้องกับคำสาปหรือเปล่า”

“เรื่องคำสาปเอาที่ไหนมาพูด” หลี่ชิเย่ส่ายหน้าและยิ้มกล่าวว่า “เป็นความจริงว่าที่ตรงนี้คือพื้นที่เงียบสงัด และเป็นพื้นที่อาถรรพ์ แต่สิ่งที่เหลือทิ้งเอาไว้ในนี้ไม่ใช่คำสาป แต่เป็นความอาฆาตของการฆ่าฟันและความไม่ยินยอมเต็มใจ ไหนๆ ก็มาแล้วจะพาพวกเจ้าไปเพิ่มพูนประสบการณ์สักหน่อย เพียงแค่เดินดูรอบนอกเท่านั้น ไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นอยู่แล้ว ถ้าหากคิดจะเดินเข้าไปลึกกว่านั้น ก็ต้องรองรับกับการฆ่าฟันระดับราชันเซียนและอารมณ์อาฆาตแค้นของเทพโบราณแล้ว”

เมื่อเอ่ยมาถึงตรงนี้ หลี่ชิเย่ได้ก้าวเดินไปข้างหน้าต่อไปโดยไม่ได้หยุดนิ่ง

แม้ว่าหลี่ชิเย่จะพูดเช่นนี้ก็ตาม เฮ่อเฉินยังคงอดที่จะร่างสั่นเทิ้มขึ้นมาไม่ได้ แต่ว่าเมื่อเห็นหลี่ชิเย่ก้าวเดินเข้าไปแล้ว เขาจึงต้องรีบเร่งก้าวตามเข้าไป

เมื่อได้เหยียบย่างเข้าไปยังแดนอาถรรพ์เทพกำแหง พวกของเถี่ยซู่องถูกทำให้ต้องหวั่นไหวขึ้นมาอย่างแท้จริง มันหาใช่แค่ความมืดมิดที่อยู่ตรงหน้าเท่านั้น ที่เห็นอยู่ตรงหน้าคือโลกที่ถูกทำลายล้างไป

พื้นดินตรงนี้แหลกลาญ หมื่นสัจธรรมถูกทำลาย เมื่อยืนอยู่บนพื้นที่มืดมิดนี้แล้วมองขึ้นไปบนท้องฟ้า ภาพที่สร้างความหวั่นไหวก็จะปรากฏอยู่ตรงหน้านี่เอง

เมื่อมองดูท้องฟ้าที่อยู่ตรงหน้า เห็นเพียงความมืดมิดไปทั่ว ดวงดาวที่อยู่บนฟ้าแตกละเอียด ต่อให้มีดวงดาวขนาดใหญ่แต่ละดวงที่ยังคงหลงเหลืออยู่ แต่ก็ได้กลายเป็นดวงดาวที่แห้งเหี่ยวเฉาตายปราศจากประกายโดยสิ้นเชิง ดวงตะวันจันทราก็กลายเป็นดาวดาวแต่ละดวงที่แห้งตาย ทางช้างเผือกจำนวนนับไม่ถ้วนได้สูญเสียประกายและพลังของพวกมันไป เหมือนว่าประกายและพลังทั้งหมดของพวกมันถูกสิ่งใดกลืนกินไปอย่างนั้น

เหมือนว่าเคยมีอะไรบางอย่างยืนอยู่ตรงนี้กลืนกินฟ้าดินอย่างนั้น จากการกลืนกินท้องฟ้าที่คราคร่ำด้วยดวงดาวที่อยู่ตรงหน้าอย่างบ้าคลั่งนี้เอง จึงได้ลากเอาดวงดาวแต่ละดวงบนจักรวาลลงมา ทางช้างเผือกแต่ละสายถูกลากจากท้องฟ้าที่คราคร่ำด้วยดวงดาวในที่ที่ห่างไกลมาไว้บนท้องฟ้าตรงนี้

ที่ถูกกลืนกินไปใช่จะมีเพียงท้องฟ้าที่คลาคล่ำด้วยดวงดาวเหนือศีรษะเท่านั้น ยังมีผืนแผ่นดินกว้างใหญ่ที่อยู่ใต้ฝ่าเท้าแห่งนี้ ซึ่งปรากฏเป็นรอยร้าวรอยแยกจำนวนนับไม่ถ้วน กลายเป็นเสมือนหุบเขาแต่ละแห่งที่ลึกมาก

กระทั่งบางแห่งที่ผืนแผ่นดินได้แตกร้าวและหลุดออกจากกัน แล้วไปลอยอยู่กลางอากาศอย่างนั้น

ณ ที่ตรงนี้ ไม่ว่าจะเป็นท้องฟ้าหรือผืนแผ่นดิน ทั้งหมดล้วนแล้วแต่อยู่ในสภาพเงียบสงัดปราศจากเสียงใดๆ ที่ตรงนี้ไม่เพียงเพราะถูกกลืนกินประกายทั้งหมดที่มี ยังถูกกลืนกินสิ้นพลังและชีวิตไปทั้งหมด

เรียกได้ว่าที่ตรงนี้ได้กลายเป็นพื้นที่ที่ไม่สามารถใช้ประโยชน์อะไรได้อีก เว้นแต่ดินที่ไหม้เกรียมและดวงดาวที่แห้งตายแล้ว ไม่มีสิ่งอื่นใดอีกเลย ที่ตรงนี้ไม่มีพลัง ไม่มีชีวิต ไม่มีแสงสว่าง ที่เหลืออยู่เป็นเพียงชความเงียบสงัดและความมืดที่ไม่มีสิ้นสุดเท่านั้น!

“ที่ตรงนี้ได้เกิดอะไรขึ้น?” พวกของเสิ่นเสี่ยวซันต่างรู้สึกหวั่นไหวยิ่งนักเมื่อได้เห็นภาพเหตุการณ์ตรงหน้า ถึงกับใจหายใจคว่ำขึ้นมา

แม้ว่าพวกเขาจะไม่รู้ว่าที่ตรงนี้ได้เคยเกิดเรื่องอะไรขึ้น แต่ว่า ดูจากภาพที่เห็นอยู่ตรงหน้าสามารถดูออกว่า ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นหาใช่เกิดจากภัยธรรมชาติ แต่เป็นการกระทำของคน

ลองนึกภาพดู กลืนฟ้ากัดดิน กระทั่งลากเอาทางช้างเผือกที่อยู่ไกลโพ้นยิ่งมากลืนกินจนสิ้น การลากเอาดวงดาวที่ใหญ่โตแต่ละดวงมาไว้เหนือศีรษะ ช่างเป็นพลังที่น่ากลัวเพียงใด

“ตามตำนานเล่าว่า ที่ตรงนี้เคยเกิดศึกครั้งยิ่งใหญ่ เคยมีราชันเซียนและเทพโบราณต่อสู้ชี้ขาดกันที่นี่!” หลังจากที่เถี่ยซู่องได้สติกลับมาจากการถูกทำให้หวั่นไหวโดยภาพที่เห็นอยู่ตรงหน้า ได้พึมพำออกมา

“ราชันเซียนและเทพโบราณต่อสู้ชี้ขาดกันที่ไหนกัน” หลี่ชิเย่ส่ายหน้าเบาๆ และยิ้มกล่าวว่า “ที่ถูกต้องต้องบอกว่าราชันเซียนสังหารจอมเทพด้วยเกาทัณฑ์เพียงหนึ่งดอก”

“ราชันเซียนสังหารจอมเทพด้วยเกาทัณฑ์ดอกเดียว?” เสิ่นเสี่ยวซันถึงกับกล่าวด้วยความหวั่นไหวเมื่อได้ยินคำพูดเช่นนี้

“เทพกำแหงในครั้งนั้นยังห่างชั้นกับเทพโบราณอยูช่วงหนึ่ง เขาเป็นได้เพียงจอมเทพที่อยู่ในระดับสูงสุด” หลี่ชิเย่พยักหน้าและกล่าวว่า “ด้วยเหตุนี้เอง ครั้งนั้นเขาจึงได้ถูกราชันเซียนสังหารด้วยเกาทัณฑ์เพียงดอกเดียว

“ฟังมาว่าเทพกำแหงในครั้งนั้นได้ตราสัญลักษณ์ถึงสิบสองดวงอยู่ในครอบครองแล้ว” เถี่ยซู่องกล่าวเสียงแผ่วเบาออกมา

“ถ้าหากเขามีตราสัญลักษณ์สิบสองดวงอยู่ในครอบครองล่ะก็ คงไม่จำเป็นต้องมากลืนกินฟ้าดินอยู่ตรงนี้แล้วหละ” หลี่ชิเย่ยิ้มและส่ายหน้า

เมื่อผู้บำเพ็ญตนในแดนที่สิบฝึกจนก้าวไปถึงระดับสวรรค์สัจธรรมแล้วก็จะมีสองทางเลือกเช่นกัน ไม่ก็แย่งชิงชะตาฟ้า ไม่ก็ก้าวขึ้นสู่ระดับสูงสุด

ยอดฝีมือผู้บำเพ็ญตนที่เลือกแย่งชิงชะตาฟ้าจะมีโอกาสได้เป็นจอมราชันและเซียนหวัง ถ้าหากไม่คิดจะแย่งชิงชะตาฟ้าก็ไปเป็นเทพ เมื่อเป็นเทพจนถึงระดับหนึ่งแล้วก็มีโอกาสและคุณสมบัติไปต่อกรกับจอมราชันและเซียนหวังได้

เส้นทางมุ่งสู่การเป็นเทพกับเส้นทางของจอมราชันเซียนหวังนั้นไม่เหมือนกัน จอมราชันและเซียนหวังคือการสืบทอดชะตาฟ้า ขณะที่การเป็นเทพจะเป็นการนำเอาลัคนาของตนไปหลอมรวมกับสัจธรรม สุดท้ายกลายเป็นตราสัญลักษณ์

สิ่งนี้เป็นการบ่งบอกว่า เมื่อผู้ที่เป็นเทพมีหนึ่งลัคนา และสรรสร้างสัจธรรมขึ้นมาสายหนึ่งแล้วหลอมรวมเข้าด้วยกัน ก็จะได้เป็นตราสัญลักษณ์หนึ่งดวง

แน่นอน ขั้นตอนนี้ไม่ง่ายนัก เป็นขั้นตอนที่ต้องอาศัยกลิ่นอายขมุกขมัวปริมาณมหาศาลมาคอยสนับสนุน!

การเป็นเทพก็เช่นเดียวกับจอมราชันและเซียนหวัง ซึ่งมีขีดจำกัดเช่นกัน ขั้นสูงสุดของการเป็นเทพก็จะมีตราสัญลักษณ์สิบสองดวงในครอบครอง ผู้ที่ได้ครอบครองสิบสองตราสัญลักษณ์ถูกยกย่องว่าเทพโบราณ ขณะที่เทพซึ่งต่ำกว่าสิบสองตราสัญลักษณ์ในครอบครองเรียกว่าจอมเทพ

เล่ากันว่า เทพโบราณสามารถต่อกรกับจอมราชัน เซียนหวัง และราชันเซียนที่อยู่ในระดับสูงสุดได้

เส้นทางของการเป็นเทพใช่ว่าจะมีตั้งแต่แรก ผู้ที่ริเริ่มสร้างเส้นทางความเป็นเทพขึ้นเป็นคนแรกคือเทพโบราณหวูเจอ

ฉายาเทพโบราณหวูเจอ หมายถึง ภายใต้สวรรค์ไม่มีผู้ใดสามารถปิดกั้นหรือขวางเขาเอาไว้ได้!

เทพโบราณหวูเจอเขามีคุณสมบัติกับฉายานี้โดยแท้ เขาไม่เพียงเป็นผู้ริเริ่มบุกเบิกเส้นทางก้าวสู่ความเป็นเทพสายนี้ ขณะเดียวกันเขาก็เป็นเทพโบราณคนแรกของแดนสิบที่มีสิบสองตราสัญลักษณ์ในครอบครอง!

“กลืนกินฟ้าดิน” เถี่ยซู่องถึงกับร่างสั่นเทิ้มทีหนึ่ง และกล่าวว่า “เทพกำแหงเป็นผู้กลืนกินทุกสิ่งทุกอย่างของที่ตรงนี้อย่างนั้นรึ?”

“ถูกต้อง” หลี่ชิเย่พยักหน้าและกล่าวว่า “ครั้งนั้นสถานที่ตรงนี้เคยเป็นพื้นที่ที่งดงามยิ่ง และที่ตรงนี้ก็เป็นที่ตั้งแคว้นที่แข็งแกร่งยากจะเปรียบเปรย เพียงแต่ครั้งนั้นเทพกำแหงคิดจะทะลวงตราสัญลักษณ์ดวงที่สิบสองเพื่อต้องการกลายเป็นเทพโบราณ แต่ว่า เขาต้องอาศัยกลิ่นอายขมุกขมัวจำนวนมหาศาล และพลังของโลกยุคโบราณมาสนับสนุน ดังนั้น เขาจึงคิดจะอาศัยเส้นทางลัด…”

“…เทพกำแหงนับว่าเป็นอัจฉริยะบุคคลโดยแท้แจริง เสียดาย เขาต้องการประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็ว ในที่สุดถูกราชันเซียนตี้อิเจี้ยนสังหารด้วยเกาทัณฑ์ ณ ที่ตรงนี้…” หลี่ชิเย่กล่าวขึ้นมาช้าๆ “เสียดาย ราชันเซียนตี้อิเจี้ยนเองก็นำมาซึ่งภัยสวรรค์ลงทัณฑ์…”

เทพกำแหง หรืออีกฉายาว่ามารกำแหง เขามีชาติกำเนิดเป็นเผ่าสวรรค์ มีพรสวรรค์ที่สูงมาก ตลอดชีวิตของเขาเป็นผู้อารมณ์ร้อนอวดดีและโหดร้าย การฝึกทักษะของเขาก็ก้าวหน้าได้อย่างรวดเร็ว และด้วยเหตุนี้เองที่ทำให้เขากลายเป็นจอมเทพที่มีตราสัญลักษณ์สิบเอ็ดดวง

แต่ว่า ความทะเยอทะยานของเทพกำแหงหาได้หยุดอยู่เพียงเท่านี้ เขาต้องการกลายเป็นเทพโบราณองค์หนึ่ง กล่าวสำหรับผู้ที่ปราศจากผู้ต่อกรของผู้ที่เป็นเทพนั้น เทพโบราณจึงนับเป็นเกียรติยศสูงสุด และเป็นจุดสูงสุดของผู้เป็นเทพ

แต่ว่า เทพกำแหงกลับตกอยู่ในสภาพของคอขวด กลิ่นอายขมุกขมัว และพลังจากโลกดึกดำบรรพ์ที่เขามีอยู่ยังห่างไกลอีกมากที่จะสนับสนุนให้เขาก้าวข้ามจุดนั้นขึ้นไปยังระดับเทพโบราณได้ ทำให้เขาไม่สามารถหลอมรวมลัคนากับสัจธรรมได้ ท้ายสุด เทพกำแหงจึงได้คิดค้นทางลัดขึ้นมา คือ กลืนกินฟ้าดิน

ดังนั้น เทพกำแหงจึงได้เลือกสถานที่อันเป็นทีตั้งแคว้นที่มีความเจริญรุ่งเรืองและไม่มีจอมราชันหรือเซียนหวังคอยสนับสนุน เขาจัดการกลืนกินทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ที่นี่ เขากลืนกินชีวิต กลิ่นอายขมุกขมัว และพลังของโลกยุคดึกดำบรรพ์ไปทั้งหมด เขาไม่เพียงกลืนกินทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่บนผืนแผ่นดินเท่านั้น ยังกลืนกินพลังของดวงดาวและทางช้างเผือกทั้งหมดที่อยู่ฟากฝั่งด้านนี้ไปทั้งหมด

การกระทำในยลักษณะเช่นนี้ของเทพกำแหงได้สร้างความโกรธแค้นให้กับราชันเซียนตี้อิเจี้ยนที่มาจากเก้าแดน ด้วยความโกรธเขาจึงได้ผงาดปรากฏตัวออกมา ล็อกเป้าหมายด้วยเกาทัณฑ์ที่ปราศจากผู้ต่อกรจากระยะห่างไกลถึงหนึ่งล้านล้านลี้

สุดท้าย ราชันเซียนตี้อิเจี้ยนอาศัยเกาทัณฑ์ที่ปราศจากผู้ต่อกรในหล้าเพียงดอกเดียวยิงสังหารเทพกำแหงจากระยะห่างไกลถึงหนึ่งล้านล้านลี้ ด้วยการปักตรึงร่างของเทพกำแหงเอาไว้กับพื้นดิน!

ราชันเซียนตี้อิเจี้ยนนับตั้งแต่ขึ้นมาจากเก้าแดนแล้ว ก็ทำตัวค่อมต่ำมาก น้อยครั้งนักที่จะปรากฏตัวออกมา เขาทุ่มเทให้กับการฝึกฝน เพื่อก้าวขึ้นสู่จุดสูงสุด

ที่สำคัญที่สุดก็คือ หลังจากขึ้นมาถึงแดนที่สิบแล้ว ราชันเซียนตี้อิเจี้ยนได้กลับมาเริ่มต้นฝึกวิชาเกาทัณฑ์ของเขาอีกครั้ง เดิมทีวิชาเกาทัณฑ์ของราชันเซียนตี้อิเจี้ยนก็ปราศจากผู้ใดเทียมขณะอยู่เก้าแดนอยู่แล้ว แต่ ต่อมาภายหลังด้วยเหตุผลต่างๆ ทำให้เขาละทิ้งการอาศัยวิชาเกาทัณฑ์เพื่อบรรลุเป็นราชันเซียน

Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *