Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล 1466 อยู่เหนือเหล่าราชัน

Now you are reading Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล Chapter 1466 อยู่เหนือเหล่าราชัน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

พลันที่มีการกล่าวคำพูดคำนี้ออกมา ทำให้ทุกคนถึงกับใจหายใจคว่ำ ออกปากก็คือเข่นฆ่าล้างหมื่นเผ่าพันธุ์ ซึ่งทำให้ผู้คนต้องอึ้งอย่างสิ้นเชิง
นาทีนี้ทุกคนเข้าใจแล้วว่า การมาร่วมงานประชุมหมื่นเผ่าพันธุ์ของหลี่ชิเย่นั้น เป็นการมาเพื่อจงใจก่อกวนชัดๆ อีกทั้งต่อให้มีพวกองค์ชายแห่งความชั่วร้าย เมิ่งเจิ้นเทียน จักรพรรดิหอยสังข์อยู่ในเหตุการณ์ หลี่ชิเย่ก็ไม่ได้ใส่ใจแม้แต่น้อย
เวลานี้ หลี่ชิเย่ที่ยืนอยู่บนท้องฟ้านั่น ยื่นมือออกมาอย่างช้าๆ ยิ้มเฉยเมยและกล่าวว่า “รว่อหนาน ติดตามข้าไปยังบัลลังก์ราชันกันเถอะ”
เทพธิดาเจินหวู่ยิ้มเฉยเมย ด้วยบุคลิกลักษณะอันมีเสน่ห์ที่ยอดเยี่ยม ประคองแขนของหลี่ชิเย่เบาๆ ก้าวไปยังบัลลังก์ราชันอย่างเชื่องช้า
ทุกคนต่างนิ่งเงียบกับท่าทางของหลี่ชิเย่ ให้บุตรีของเทพเจ้าแห่งทะเลประคองขึ้นนั่งบัลลังก์ด้วยตนเอง ช่างเป็นเรื่องที่พาลยิ่งนัก ในโลกนี้ เว้นแต่เทพเจ้าแห่งทะเลยังมีชีวติอยู่ ยังจะมีใครที่คู่ควรให้บุตรีเทพเจ้าแห่งทะเลประคองขึ้นนั่งบัลลังก์ได้?
ทุกคนล้วนแล้วแต่ไม่เข้าใจว่าหลี่ชิเย่มีเสน่ห์ที่ตรงไหน ถึงทำให้เทพธิดาเจินหวู่เชื่อฟังเขาทุกอย่าง กระทั่งให้ความเคารพยิ่งนัก เรื่องเช่นนี้ไม่ว่าใครเมื่อนึกแล้วต้องรู้สึกว่ามันเป็นไปไม่ได้
สุดท้าย ท่ามกลางสายตาของคนทุกคน หลี่ชิเย่ได้ขึ้นนั่งลงบนบัลลังก์ราชัน อยู่เหนือบัลลังก์กษัตริย์ทั้งสามตัว ยามที่เขานั่งอยู่ตรงนั้น มันดูช่างเป็นธรรมชาติเหลือเกิน ดูเป็นไปตามอารมณ์เหลือเกิน เหมือนหนึ่งนับแต่โบราณกาลที่ผ่านมา ตำแหน่งนี้สมควรเป็นตำแหน่งสำหรับเขาอย่างนั้น
มองดูหลี่ชิเย่ ที่นั่งอยู่สูงเด่นเหนือบัลลังก์ราชัน ทำให้ทุกคนต้องถึงกับกลั้นลมหายใจเอาไว้ บรรดาผู้บำเพ็ญตนจำนวนนับไม่ถ้วนต้องยอมจำนนอย่างสิ้นเชิง
ภายใต้การควบคุมขององค์ชายแห่งความชั่วร้าย เมิ่งเจิ้นเทียน จักรพรรดิหอยสังข์ที่เป็นสุดยอดฝีมือเช่นนี้ หลี่ชิเย่ยังคงไม่เห็นใครอยู่ในสายตา อาศัยท่วงท่าที่สุดอวดดี และอันธพาลยิ่งขึ้นนั่งบนบัลลังก์ราชัน เท่ากับเป็นการหมางเมินต่อทุกสิ่งใต้หล้า ทอดสายตาออกไปทั่วทั้งแดนวิญญาณสวรรค์มีผู้ใดสามารถทำได้เช่นนี้
การนั่งอยู่บนบัลลังก์ราชันของหลี่ชิเย่แลดูช่างเป็นไปตามอารมณ์เหลือเกิน ดูสมเหตุสมผลยิ่งนัก เขานั่งอยู่ตรงนั้นด้วยท่าทีที่เหนื่อยหน่าย จ้องมองพวกของเมิ่งเจิ้นเทียน ตามอารมณ์ไปทีหนึ่ง
ขณะที่พวกของเมิ่งเจิ้นเทียนต่างมีสีหน้าที่ดูไม่จืดถึงขีดสุด พฤติกรรมของหลี่ชิเย่ไม่เพียงเป็นการดับความฮึกเหิมของพวกเขาเท่านั้น ยิ่งเป็นการจงใจหยามพวกเขาให้อับอายอีกด้วย การที่สุดยอดฝีมือทั้งสี่เช่นพวกเขาอยู่กันพร้อมหน้าตรงนี้ กลับถูกหลี่ชิเย่ทำเหมือนไม่มีตัวตน ต่อให้พวกเมิ่งเจิ้นเทียนได้รับการฝึกฝนด้านจิตใจมาเป็นอย่างดีแค่ไหน เวลานี้ก็ถูกเพลิงแค้นสุมอยู่เต็มอก
หากไม่เป็นเพราะมีเทพธิดาเจินหวู่ เทพธิดาเก็บจันทราคอยหนุนหลังล่ะก็ พวกเขาคงลงมือสังหารหลี่ชิเย่ไปแล้ว ในสายตาของพวกเขามองว่า ต่อให้หลี่ชิเย่แข็งแกร่งเพียงใดก็ตาม ก็หนีเงื้อมมือพวกเขาทั้งสี่ไปไม่พ้น เสียดาย กลับมีเทพธิดาเจินหวู่ และเทพธิดาเก็บจันทราคอยสนับสนุนเขาอยู่!
ภายในใจของพวกเมิ่งเจิ้นเทียนเป็นอะไรที่บอกไม่ถูกยิ่งนัก พวกเขาสู้อุตส่าห์วางแผนเสียอย่างดี สุดท้ายแล้วยังคงมิสู้ลิขิตสวรรค์ เนื่องจากพวกเขาสี่สุดยอดฝีมือได้บรรลุข้อตกลงแล้ว และมองว่าการประชุมหมื่นเผ่าพันธุ์ครั้งนี้ ต่อให้เทพธิดาเจินหวู่ และเทพธิดาเก็บจันทราไม่เห็นด้วยกับมติของพวกเขาทุกประการก็ตาม เกรงว่าคงไม่ถึงกับคัดค้าน ยิ่งไม่น่าจะไปยืนอยู่ข้างของหลี่ชิเย่
จะอย่างไรเสีย เทพธิดาเจินหวู่ และเทพธิดาเก็บจันทรามีชาติกำเนิดมาจากเผ่าปีศาจทะเล และเผ่าวิญญาณเทพ ในขณะที่หลี่ชิเย่เป็นเพียงเผ่าพันธุ์มนุษย์ธรรมดาๆ คนหนึ่งเท่านั้น
ดังนั้น พวกของเมิ่งเจิ้นเทียนจึงมีความมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยม ในระหว่างการประชุมหมื่นเผ่าพันธุ์นั้น ต่อให้หลี่ชิเย่มาก่อกวนพวกเขาก็ไม่หวั่นแม้แต่น้อย กระทั่งกล่าวได้ว่า ภายใต้การร่วมมือของพวกเขาทั้งสี่ต้องสามารถสังหารหลี่ชิเย่ได้ทันที
ตามแผนการที่พวกเขาได้วางเอาไว้ พวกเขากระทั่งคาดหวังให้หลี่ชิเย่มาก่อกวนภายในงานประชุมหมื่นเผ่าพันธุ์ ถ้าหากสามารถจัดการสังหารหลี่ชิเย่ภายในงานประชุมหมื่นเผ่าพันธุ์ได้ล่ะก็ จะทำให้พวกเขาสามารถสยบผู้ที่คิดต่างกับพวกเขาได้ดีกว่าเสียอีก
แต่ว่า เวลานี้กลับเหนือความคาดคิดของพวกเขา และอยู่เหนือแผนการร้ายที่พวกเขาวางไว้ เมื่อเทพธิดาเจินหวู่ และเทพธิดาเก็บจันซากลับไปยืนอยู่ข้างหลี่ชิเย่ และหนุนหลี่ชิเย่อย่างเต็มที่ ทำให้แผนการร้ายทั้งหมดของพวกเขาต้องสูญสลายไป
จักรพรรดิลู่ที่จ้องมองหลี่ชิเย่นั่งอยู่สูงเด่นบนบัลลังก์ราชันแล้วอดที่จะส่งเสียงฮึแสดงความไม่พอใจออกมา เขาเป็นผู้ริเริ่มให้มีการจัดการประชุมหมื่นเผ่าพันธุ์ขึ้นในครั้งนี้ จุดประสงค์เพื่อต้องการสังหารหลี่ชิเย่ ล้างแค้นให้กับศิษย์ของตน แต่แล้ว ไม่นึกไม่ฝันว่าเรื่องราวจะพัฒนาจนกลายเป็นสภาพเช่นนี้ไปได้
“หลงจวู๋ อาศัยเจ้าที่เป็นเพียงต้นไผ่ขยะเล็กๆ แค่นี้ไม่ต้องทำวางท่าทางกับข้า” จากการที่จักรพรรดิลู่ส่งเสียงฮึน่าเกรงขามออกมา หลี่ชิเย่เพียงมองหน้าเขาไปตามอารมณ์ทีหนึ่ง ยิ้มกล่าวว่า “เจ้าอย่านึกนะว่าไปเรียนรู้เคล็ดวิชาธรรมดาอย่างที่พักพิงสุดท้ายมาสองสามท่า ก็หลงคิดว่าตัวเองคือปรมาจารย์พฤกษาแล้วจริงๆ ! อย่าว่าแต่ต้นไผ่ขยะต้นเล็กๆ อย่างเจ้าเลย ต่อให้เจ้าเป็นปรมาจารย์พฤกษาข้าก็ไม่เห็นเจ้าอยู่ในสายตา”
“หลงจวู๋ หลงจวู๋หย่าจู่ ( ไผ่มังกร – บรรพบุรุษลำดับที่สอง)รึ?” ผู้คนจำนวนมากรู้สึกตกใจเมื่อได้ยินหลี่ชิเย่เรียกชื่อนี้ ในเวลานี้เอง ทุกคนจึงได้เข้าใจแล้วว่า เพราะอะไรจักรพรรดิลู่ที่ไม่มีชื่อเสียงถึงได้แข็งแกร่งเช่นนี้ และมีท่าทางที่อวดดีถึงเพียงนี้
หลงจวู๋หย่าจู่ก็คือบรรพบุรุษลำดับที่สองของจู่ลู่ ลือกันว่าเขาดำรงอยู่ในสถานะที่ด้อยกว่าปรมาจารย์พฤกษาเพียงเล็กน้อยเท่านั้น และเขาสามารถเหมือนดั่งปรมาจารย์พฤกษาที่กลับคืนสู่ผืนแผ่นดินได้เช่นกัน
“บัญชีระหว่างเจ้ากับข้า จะอย่างไรเสียก็ต้องมีการชำระแน่นอน” จักรพรรดิลู่กล่าวด้วยท่าทีน่าเกรงขาม ดวงตาทั้งสองของเขาเผยให้เห็นถึงปณิธานการฆ่าที่น่ากลัวออกมา
“เจ้าเอาร่างแท้จริงของเจ้ามาเองจะดีกว่ามั้ง” หลี่ชิเย่ยิ้มไปตามอารมณ์ กล่าวว่า “การที่เจ้าสิงกับร่างของผู้เยาว์คนหนึ่ง ต่อให้เจ้าสามารถสำแดงพลังได้สองสามส่วนก็ไม่ได้มีอะไร เจ้ามาเองเถอะ พอดีข้ามีสมุนไพรศักดิ์สิทธิ์อยู่ต้นหนึ่งต้องการบำรุงสักหน่อย ต้นไม้แก่ที่สามารถหยั่งรากลงพื้นดินได้ก็นับเป็นยาบำรุงชั้นยอดเหมือนกัน!”
ถูกหลี่ชิเย่พูดดูถูกจนไม่เหลือราคาอีกเลย ทำให้สีหน้าของจักรพรรดิลู่ปั้นยากจนถึงขีดสุด ปณิธานการฆ่าที่ออกมาจากดวงตาทั้งสองของเขาดูจะรุนแรงมากยิ่งขึ้นไปอีก!
ที่แท้หลงจวู๋หย่าจู่ได้อาศัยวิธีการของจิ่วจุงเสินจู่ที่เคยชี้แนะเขาบ้าง ดังนั้น เมื่อเขาได้เรียนรู้ถึงวิธีที่พักพิงสุดท้ายแล้ว ทำให้หลงจวู๋หย่าจู่สามารถหยั่งรากลงใต้พื้นดินได้
แต่ว่า หลังจากที่เขาหยั่งรากลงไปในพื้นที่บรรพชนแล้วก็ไม่สามารถเคลื่อนไหวไปมาได้โดยง่าย และไม่สามารถออกจากพื้นที่บรรพชนโดยง่ายดาย ต่อมาภายหลัง เขาคิดค้นวิธีการได้วิธีหนึ่ง ด้วยการอาศัยสิงร่างผู้เยาว์ของตนเองที่เหมาะสมกับตน
ขณะที่จักรพรรดิลู่คือผู้เยาว์ที่เหมาะสมกับเขาคนนั้น เมื่อเป็นเช่นนี้ สามวิญญาณของจักรพรรดิลู่จึงถูกหลงจวู๋หย่าจู่เก็บเอาไว้หนึ่ง เมื่อเป็นเช่นนี้ ต่อให้จักรพรรดิลู่ตัวจริงถูกสังหาร อาศัยหนึ่งในสามวิญญาณที่เหลืออยู่ ทำให้เขายังคงสามารถฟื้นคืนชีพขึ้นมาได้ใหม่
ซึ่งสิ่งนี้คือเหตุผลที่ว่าเพราะเหตุใดจักรพรรดิลู่ที่ลูกหลี่ชิเย่เผาทำลายจนเหลือเพียงเถ้าธุลีจึงยังคงฟื้นคืนชีพขึ้นมาได้ใหม่
ขณะเดียวกัน หลงจวู๋หย่าจู่อาศัยว่าสามารถสิงร่างของจักรพรรดิลู่ได้ ทำให้เขาสามารถท่องไปในใต้หล้า โดยไม่จำเป็นต้องเหมือนเช่นปรมาจารย์พฤกษาที่ต้องอาศัยอยู่กับที่ในพื้นที่บรรพชนตลอดไป
“สหายหลี่ หย่าจู่นับว่าเป็นบุคคลที่ปราศจากผู้เทียบเทียมคนหนึ่ง” เวลานี้ เมิ่งเจิ้นเทียนได้กล่าวขึ้นมาเชื่องช้าว่า “คำพูดของสหายหลี่ออกจะประมาทมากเกินไปแล้ว”
“ประมาท?” หลี่ชิเย่จ้องมองดูเมิ่งเจิ้นเทียน แล้วยิ้มกล่าวว่า “ข้าประมาทเช่นนี้มาตลอด ทำไม มีปัญหากับข้ารึ?”
เมิ่งเจิ้นเทียนส่ายหน้า กล่าวอย่างเชื่องช้าว่า “ข้าถือว่าสหายหลี่เป็นคู่ต่อสู้ที่น่านับถือคนหนึ่ง แต่แล้ว ไม่นึกเลยว่าสหายหลี่ก็เป็นเพียงผู้ที่มีความรู้ตื้นเชินและอวดดีคนหนึ่งเท่านั้น ราชันเซียนคือผู้บงการเก้าแดน ไหนเลยจะเป็น…”
“เอาล่ะ อย่าทำให้ข้ารำคาญกว่านี้” หลี่ชิเย่พูดตัดบทเมิ่งเจิ้นเทียน กล่าวว่า “ความรู้ตื้นเชินและอวดดีอะไรนั่น หากข้าต้องการเป็นราชันเซียนล่ะก็ อีดอกสวรรค์อะไรนั่นจะทำอะไรข้าได้? อย่าทำเป็นพูดคำพูดที่สวยหรูไร้สาระกับข้า…”
“…เมิ่งเจิ้นเทียน ถ้าหากคิดจะแย่งชิงชะตาฟ้าล่ะก็ จงทำมันให้เต็มที่ ทำเป็นหลบๆ ซ่อนๆ อยากเป็นโสเภณีแต่ก็อยากได้ป้ายคุณธรรม ข้อนี้ท่าคงที่เป็นรุ่นเดียวกันกับเจ้าแข็งแกร่งกว่าเจ้ามากมาย อย่างน้อยที่สุดเขาก็ไม่เหมือนเช่นเจ้า เพียงเพราะคำพูดคำเดียวของราชามังกรดำที่บอกว่า แค่กองทหารเล็กๆ ที่ได้แต่เอะอะโวยวายหาญกล้าเรียกตัวเองว่าสยบฟ้า ไม่เจียมตัวเอาเสียเลย ถึงกับหลบซ่อนตัวไม่กล้าโผล่หัวออกมาอีกเลย…”
“…แม้ว่าชั่วชีวิตของราชันเซียนท่าคงจะประสบกับความล้มเหลงมาไม่น้อย แต่ว่า เขายังคงมุ่งมั่นก้าวไปข้างหน้าอย่างกล้าหาญ ไม่เปลี่ยนความตั้งใจที่มีอยู่เดิม นี่แหละคือคุณสมบัติที่ราชันเซียนต้องมี ตื้นเขินก็ดี อวดดีก็ช่าง ทั้งหมดนี้ล้วนไม่มีความสำคัญ ขอเพียงมีจิตมุ่งมั่นแต่เดิมที่ไม่เปลี่ยนแปลงจึงมีคุณสมบัติไปแย่งชิงชะตาฟ้า เฉกเช่นเจ้าที่จิตใจไม่มั่นคง ใจหนึ่งอยากจะเป็นโสเภณี ใจหนึ่งอยากจะได้ป้ายคุณธรรมอย่างเจ้า ต่อให้มีพรสวรรค์ดีกว่านี้ ชาตินี้ก็เป็นราชันเซียนไม่ได้”
“เจ้า…” เมิ่งเจิ้นเทียนพลันมีสีหน้าที่แดงก่ำ เมื่อถูกหลี่ชิเย่เปิดโปงความลับออกมา ไม่สามารถควบคุมอารมณ์ให้สงบได้อีกต่อไป พลันลุกพรวดพราดจ้องมองหลี่ชิเย่อย่างโกรธเคือง
คำพูดของหลี่ชิเย่ทำให้ผู้คนจำนวนมากถึงกับงงงัน ไม่นึกไม่ฝันว่าจะมีการซ่อนความลับเกี่ยวกับตำนานที่ไม่มีใครรู้เอาไว้
การที่เมิ่งเจิ้นเทียนไม่เข้าแย่งชิงชะตาฟ้าในครั้งนั้น แท้จริงแล้วไม่ได้เป็นเพราะว่าเขาต้องการหลีกทางให้กับราชันเซียนท่าคง แต่เป็นเพราะคำพูดเพียงคำเดียวของราชามังกรดำ
ครั้งนั้น เมิ่งเจิ้นเทียนยังอยู่ในวัยหนุ่มและอารมณ์ร้อน ตั้งปณิธานว่าจะไปแย่งชิงชะตาฟ้า โดยตั้งชื่อให้กับกองทัพของตนว่าสยบฟ้า แต่ เมืองสมุทรที่ก่อตั้งขึ้นโดยราชามังกรดำมีชื่อว่า เมืองสมุทรสยบฟ้า!
อยู่มาวันหนึ่งได้พบเจอกับราชามังกรดำเข้า ราชามังกรดำแค่พูดประเมินตัวของเมิ่งเจิ้นเทียนว่า “แค่กองทหารเล็กๆ ที่ได้แต่เอะอะโวยวายหาญกล้าเรียกตัวเองว่าสยบฟ้า ไม่เจียมตัวเอาเสียเลย!”
ด้วยเหตุที่ชื่อกองทัพของเขาที่ชื่อ “สยบฟ้า” ขัดกันกับเมืองสมุทรสยบฟ้า บวกกับท่าทีของราชามังกรดำที่แสดงออกมา ทำให้เมิ่งเจิ้นเทียนในวัยหนุ่มตัดสินใจถอนตัว เนื่องจากเขาได้ล่วงเกินต่อราชามังกรดำ จึงไม่ต้องการปะทะซึ่งหน้า หวังจะรอให้สิ้นสุดยุคของราชามังกรดำเสียก่อน แล้วค่อยหวนกลับคืนมาแย่งชิงชะตาฟ้าอีกครั้ง
ในแดนวิญญาณสวรรค์เล่าลือกันมาโดยตลอดว่า เมิ่งเจิ้นเทียนนั้นเนื่องจากเห็นแก่ความสัมพันธ์พี่น้องที่ลึกซึ้ง จึงละทิ้งการแย่งชิงชะตาฟ้า ปล่อยให้ราชันเซียนท่าคงได้เป็นราชันเซียน
แต่สิ่งที่ไม่ว่าใครก็นึกไม่ถึงก็คือ ความจริงที่ซ่อนอยู่ข้างในกลับไม่เป็นเช่นนี้
ความจริงแล้ว ความจริงเรื่องนี้ใช่ว่าจะไม่มีใครรู้ ผู้ที่ดำรงอยู่ในสถานะเฉกเช่นองค์ชายแห่งความชั่วร้ายก็รู้เรื่องนี้ เพียงแต่ผู้ที่รู้ความจริงก็จะไม่นำเรื่องนี้มาเปิดเผย ยิ่งไปกว่านั้น ยุคสมัยของราชามังกรดำอันเป็นที่ยกย่องถึงสามยุคนั้น การเกรงกลัวต่อราชามังกรดำก็ใช่เป็นเรื่องน่าอาย
ในยุคสมัยอันเป็นที่ยกย่องถึงสามยุคนั้น แม้แต่ราชันเซียนยังให้ความเคารพต่อราชามังกรดำ คนอื่นๆ ย่อมไม่ต้องพูดถึง
ตลอดเวลาที่ผ่านมา ไม่เคยมีใครออกมาเปิดเผยความจริงของเรื่องนี้ ทำให้ชื่อเสียงของเมิ่งเจิ้นเทียนขจรไปไกล กระทั่งมีคนยกย่องเขาว่าเป็นคนที่มีคุณธรรม เห็นแก่สัมพันธ์พี่น้องที่ลึกซึ้ง
เวลานี้พลันถูกหลี่ชิเย่เปิดเผยความจริงออกมา แล้วจะไม่ให้เมิ่งเจิ้นเทียนต้องจ้องมองหลี่ชิเย่ด้วยความโกรธแค้นได้อย่างไร เวลานี้ เขาแทบอยากจะไม่ตายไม่เลิกรากับหลี่ชิเย่ให้มันรู้แล้วรู้รอดไป
“เจ้าผู้เยาว์ อย่าได้อวดดีนัก!” ในเวลานี้เอง จักรพรรดิหอยสังข์ได้ลุกขึ้นยืนตำหนิต่อหลี่ชิเย่ด้วยเสียงอันดัง เพื่อให้การสนับสนุนเมิ่งเจิ้นเทียน กล่าวน้ำเสียงเยือกเย็นว่า “พูดจาพล่อยๆ ให้ร้ายคนอื่น แค่คนถ่อยคนหนึ่งก็มีสิทธิ์แย่งชิงชะตาฟ้าด้วยรึ!”
“คนถ่อยก็ดี คนชั่วก็ช่าง ขอเพียงจิตที่มุ่งมั่นแต่เดิมไม่เปลี่ยนแปลง ก็สามารถเป็นราชันเซียนได้” หลี่ชิเย่หัวเราะออกมากับคำพูดของจักรพรรดิหอยสังข์ กล่าวว่า “แต่จะว่าไปแล้ว ถ้าหากว่าข้าเป็นคนถ่อย งั้นเจ้าเป็นอะไร? สวะที่เข็นไม่ขึ้นเท่านั้นเอง อาศัยบารมีของบิดาคิดว่าสามารถทำอะไรก็ได้ตามใจชอบ เสียดาย มีตาแต่ไร้แววไปล่วงเกินต่อราชันเซียนเจียวเหิงเข้า เพียงคำพูดคำเดียวของราชันเซียนเจียวเหิงก็ทำให้เจ้าไม่สามารถเป็นเทพเจ้าแห่งทะเลได้ตลอดไป กลายเป็นเต่าหดหัวอยู่ในกระดองตัวหนึ่ง!”

Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *