Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล 2415 เป็นรัชทายาทเพื่ออะไร

Now you are reading Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล Chapter 2415 เป็นรัชทายาทเพื่ออะไร at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“เลือกของวิเศษสักหลายชิ้น?” หลี่ชิเย่หัวเราะทีหนึ่ง และกล่าวตามอารมณ์ว่า “ให้เลือกได้กี่ชิ้น?”

“ฝ่าบาทไม่ได้กำหนดเฉพาะเจาะจงจำนวนเอาไว้ ขอเพียงองค์ชายมีความประสงค์ น่าจะได้ทั้งนั้นกระมัง” จางเจี๋ยตี้ตอบทันที

หลี่ชิเย่พยักหน้า และกล่าวว่า “ก็ดี ข้าเองก็ว่างอยู่ เช่นนั้นก็ไปดูสักหน่อยก็แล้วกัน ดูว่ามีของดีอะไรบ้าง”

จางเจี๋ยตี้ไม่พูดมากความ เดินนำทางให้กับหลี่ชิเย่ทันที พาหลี่ชิเย่ไปยังคลังสมบัติที่ราชวงศ์โต่วเซิ่นมีไว้ในครอบครอง

ตามหลักแล้ว สำนักที่จัดตั้งเพื่อการสืบทอดสักแห่ง หรือแม้แต่ราชวงศ์สักราชวงศ์ ถ้าหากพวกเขาจะเปิดคลังสมบัติเพื่อให้ผู้อื่นได้เลือกของวิเศษในนั้นสักชิ้นสองชิ้นล่ะก็ เรื่องเช่นนี้ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยอย่างแน่นอน เฉกเช่นเรื่องลักษณะเช่นนี้ สำนักส่วนใหญ่จะต้องผ่านการปรึกษาหารือระหว่างระดับบรรพบุรุษหลายคน หรือผู้ที่มีอำนาจอยู่ในมือหลายคน แล้วจึงเป็นคำตัดสินออกมา

จะอย่างไรเสียนี่คือทรัพย์สมบัติของสำนักๆ หนึ่ง หาใช่ทรัพย์สินส่วนตัวของเจ้าสำนักคนหนึ่ง หรือฮ่องแต่องค์ใดองค์หนึ่ง เป็นไปไม่ได้ที่จะให้คนใดคนหนึ่งกระทำได้ตามอำเภอใจ

แต่ วิธีการแบบนี้ใช้ไม่ได้กับฮ่องเต้ไท่ชิง บางทีราชวงศ์ใดๆ ก็เป็นไปไม่ได้ที่ทรัพย์สมบัติของราชวงศ์หนึ่งจะปล่อยให้คนๆ หนึ่งเป็นผู้ตัดสินใจ

อย่างไรก็ตามทุกอย่างเมื่อถึงมือของฮ่องเต้ไท่ชิงก็แตกต่างโดยสิ้นเชิงแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างในราชวงศ์โต่วเซิ่น ไม่ว่าจะเป็นสมบัติหรือว่าอำนาจผู้บำเพ็ญตนอยู่ในมือของฮ่องเต้ไท่ชิงเพียงคนเดียว คนอื่นไม่สามารถยื่นมือเข้ามาอย่างสิ้นเชิง

ความจริงแล้ว ในอดีตหาใช่เป็นเช่นนี้ไม่ ในอดีตอำนาจของราชวงศ์โต่วเซิ่นไม่ได้รวบอยู่ที่คนๆ เดียว อีกทั้งอำนาจของฮ่องเต้ราชวงศ์โต่วเซิ่นในอดีตมีจำกัดมาก

ในสมัยนั้นผู้ที่กุมอำนาจทั้งหมดของราชวงศ์โต่วเซิ่นที่แท้จริงคือคณะมนตรีศักดิ์สิทธิ์ คณะมนตรีศักดิ์สิทธิ์ของราชวงศ์โต่วเซิ่นประกอบด้วยระดับปรมาจารย์แต่ละคนของราชสำนัก โดยที่คณะมนตรีศักดิ์สิทธิ์จะเป็นผู้กำหนดชะตาของราชวงศ์โต่วเซิ่น นโยบายสำคัญทุกๆ นโยบายล้วนแล้วแต่มาจากคณะมนตรีศักดิ์สิทธิ์ทั้งสิ้น

แต่ทว่า จากการที่ฮ่องเต้ไท่ชิงได้สั่งสมมายุคสมัยแล้วยุคสมัยเล่า การครองบัลลังก์มาสามยุคสมัยทำให้เขาสั่งสมอำนาจที่เบ็ดเสร็จเด็ดขาด ทำให้เขาสั่งสมธาตุแท้ภายในที่เด็ดขาด บวกกับตัวเขาเองที่เป็นระดับเทพแท้จริงขั้นอมตะที่แข็งแกร่งปราศจากผู้ต่อกร

สุดท้าย ฮ่องเต้ไท่ชิงอาศัยความได้เปรียบที่เด็ดขาดทำการสยบคณะมนตรีศักดิ์สิทธิ์เอาไว้ ฟังว่าจากนั้นเป็นต้นมา คณะมนตรีศักดิ์สิทธิ์ได้ถอนตัวออกจากขั้วอำนาจของราชวงศ์โต่วเซิ่น โดยไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับอำนาจดังกล่าวอีก หลังจากนั้น คณะมนตรีศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้ปรากฏตัวในราชสำนักอีกต่อไป

ด้วยเหตุนี้เอง เป็นการวางรากฐานฐานะความเป็นใหญ่แต่เพียงผู้เดียวของฮ่องเต้ไท่ชิงอย่างมั่นคง เขารวบเอาอำนาจทั้งหมดของราชวงศ์โต่วเซิ่น และระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิเจิ่วมี่ไว้คนเดียว ทำให้ยุคสมัยนี้ของฮ่องเต้ไท่ชิงยืนอยู่บนอำนาจสูงสุดอย่างแท้จริง

บางทีในแดนลัทธิราชันอาจจะมีผู้ที่แข็งแกร่งยิ่งกว่าฮ่องเต้ไท่ชิงเสียอีก แต่ทว่า ทอดสายตามองออกไปทั่วแดนลัทธิราชัน ไม่มีคนไหนที่มีอำนาจในมือมากไปกว่าฮ่องเต้ไท่ชิงอีกแล้ว ฮ่องเต้ไท่ชิงในวันนี้คือผู้ที่ยืนอยู่บนขั้วอำนาจสูงสุดของแดนลัทธิราชัน เขาคือผู้มีอำนาจมากที่สุดทั่วทั้งแดนลัทธิราชัน

ด้วยเหตุนี้เอง ฮ่องเต้ไท่ชิงคิดจะแต่งตั้งหลี่ชิเย่ให้เป็นรัชทายาทก็แต่งตั้งเลย ไม่มีใครกล้าขัดขวาง ถ้าหากเปลี่ยนเป็นคนอื่น เรื่องที่ฮ่องเต้องค์หนึ่งกล้าแต่งตั้งบุคคลภายนอกเป็นรัชทายาทล่ะก็ เป็นเรื่องที่ใหญ่มากอย่างแน่นอน และการตัดสินใจลักษณะเช่นนี้ไม่สามารถผ่านได้อย่างเด็ดขาด

แต่ว่า เรื่องเช่นนี้เมื่อมาอยู่ที่ฮ่องเต้ไท่ชิงแล้วไม่มีแรงต้านแม้แต่น้อย สามารถแต่งตั้งให้หลี่ชิเย่เป็นรัชทายาทอย่างสะดวก อีกทั้ง ฮ่องเต้ไท่ชิงต้องการให้หลี่ชิเย่ได้ไปเลือกของวิเศษไว้ป้องกันตัวสักหลายชิ้น มันก็แค่คำพูดคำเดียวเท่านั้น คลังสมบัติของราชวงศ์โต่วเซิ่นก็เปิดออกให้กับหลี่ชิเย่ทันที ไม่จำเป็นต้องให้ใครมาเห็นชอบด้วย

นี่แหละคือผู้เป็นใหญ่แต่ผู้เดียวในหล้าทั่วทั้งแดนลัทธิราชันคงมีเพียงฮ่องเต้ไท่ชิงเท่านั้นที่ทำได้ การมีอำนาจเช่นนี้อยู่ในมือนับว่าเป็นที่อิจฉาของผู้คนมากเหลือเกิน

แต่ว่า อำนาจที่สูงสุดและเป็นใหญ่แต่ผู้เดียวเช่นนี้จะถูกส่งต่อให้กับหลี่ชิเย่เร็วๆ นี้แล้ว ถ้าหากปล่อยให้ผู้คนรู้ว่าหลี่ชิเย่ที่เป็นเจ้าหนูไร้ชื่อไร้เสียงคือผู้ที่จะได้กุมอำนาจที่เป็นใหญ่แต่ผู้เดียวในหล้าเช่นนี้ จะมีผู้คนจำนวนเท่าไรที่ต้องหวั่นไหว ขณะที่หลี่ชิเย่ก็จะกลายเป็นเนื้อสมันในสายตาของทุกๆ คน

“ไม่ทราบว่าองค์ชายต้องการได้ของวิเศษลักษณะเช่นใดเล่า? คลังสมบัติของราชวงศ์ใหญ่มาก ถ้าหากในใจขององค์ชายมีอะไรที่ต้องการจะได้สามารถบอกกล่าวให้กระหม่อมทราบ เพื่อสะดวกต่อกระหม่อมในการนำทางให้กับองค์ชาย” ระหว่างทางไปยังคลังสมบัติ จางเจี๋ยตี้ได้กล่าวเพื่อแบ่งเบาภาระให้กับหลี่ชิเย่อย่างซื่อสัตย์และภักดี

“ดูไปอย่างนั้น อยากได้ก็หยิบเอามา” หลี่ชิเย่กล่าวตามอารมณ์ยิ่งขึ้นมา

ทำให้จางเจี๋ยตี้อดที่จะมองหน้าหลี่ชิเย่อีกทีหนึ่ง เขาไม่รู้จักกลยุทธอะไรเลย ในเมื่อฝ่าบาทแต่งตั้งหลี่ชิเย่ให้เป็นรัชทายาท เขาก็ต้องเชื่อโดยไม่มีเงื่อนไข

แต่ว่า สิ่งนี้ได้ทำให้จางเจี๋ยตี้รู้สึกแปลกใจ หลี่ชิเย่ที่เป็นเพียงชายหนุ่มธรรมดาคนหนึ่ง เมื่อถูกแต่งตั้งให้เป็นรัชทายาทกลับมีปฏิกิริยาเรียบเฉยถึงเพียงนี้ ถ้าหากเปลี่ยนเป็นคนอื่นเกรงว่าคงดีใจจนกระโดดตัวลอยนานแล้ว

ลองนึกดู ในครั้งนั้นขณะที่เขาได้รับการเลือกจากฝ่าบาทนั้น เขาตื่นเต้นจนจะแย่แล้ว ไม่สามารถหลับตาลงได้ตลอดทั้งคืน มันเหมือนเป็นความฝันอย่างนั้น

เมื่อเปรียบเทียบกับหลี่ชิเย่ที่เรียบเฉยถึงเพียงนี้ จางเจี๋ยตี้รู้สึกละอายต่อการแสดงออกของตนในครั้งนั้น ถ้าหากตนเองที่มีอายุเท่ากับหลี่ชิเย่แล้วถูกแต่งตั้งให้เป็นรัชทายาทล่ะก็ มิดีใจจนหัวใจของตนก็รับไม่ไหวแล้วอย่างนั้น

“องค์ชายเคยฝึกยุทธมาหรือไม่?” จางเจี๋ยตี้พิจารณาดูหลี่ชิเย่แล้วมองออกว่าหลี่ชิเย่นั้นเคยฝึกยุทธมาก่อน ดูจากท่าทีต่างๆ แล้ว ทักษะยุทธของหลี่ชิเย่อ่อนมาก เพียงแต่มองไม่ออกว่าเคยฝึกเคล็ดวิชาอะไรมาก่อน ต่อให้เคยฝึกเคล็ดวิชาเช่นใดมาก็ตามา มันก็แค่เป็นเคล็ดวิชาที่ง่ายๆ และธรรมดามากเท่านั้น

“ได้ฝึกตามอารมณ์ไปนิดหนึ่งเท่านั้น” หลี่ชิเย่ยิ้มกล่าว

จางเจี๋ยตี้รีบเร่งกล่าวขึ้นมาว่า “ไม่ทราบว่าที่องค์ชายฝึกมานั้นคือเคล็ดวิชาอะไร? ระดับเช่นใด? บางที่ข้าน้อยอาจสามารถช่วยเสาะหาของวิเศษหรืออาวุธที่เหมาะสมให้กับองค์ชายได้”

จางเจี๋ยตี้นับว่ามีสิทธิ์พูดคำพูดเช่นนี้ได้จริงๆ เขาคือระดับเทพแท้จริงขั้นอมตะคนหนึ่ง หากไปอยู่ที่ระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิใดๆ ก็ตาม ก็จะดำรงอยู่ในชั้นของบรรพบุรุษทั้งสิ้น ไม่ว่าศิษย์คนใดก็ตามก็ต้องเคารพนบนอบต่อเขาอย่างยิ่ง แม้แต่ศิษย์ที่เป็นอัจฉริยะบุคคลเขาก็มีสิทธิ์ให้การชี้แนะได้บ้างเช่นกัน

เพียงแต่จางเจี๋ยตี้เองไม่ได้วางท่าทีของตนไว้ในชั้นของอมตะเท่านั้นเอง

“ระดับสาวกแท้จริง ขั้นที่สิบสาม สำหรับเคล็ดวิชานั้นก็แค่ฝึกไปตามอารมณ์นิดเดียวเท่านั้น” หลี่ชิเย่เพียงยิ้มและพูดออกมาตามอามรณ์

เอิกกก…จางเจี๋ยตี้ถึงกับตะลึงนิดหนึ่ง จากนั้นจึงได้เอ่ยขึ้นแผ่วเบาว่า “องค์ชาย ในโลกของผู้บำเพ็ญตนพวกเราไม่มีขั้นที่สิบสาม สูงสุดของระดับสาวกแท้จริงแค่ขั้นที่เก้าเท่านั้นเอง”

หากเปลี่ยนเป็นคนอื่น อย่าว่าแต่เป็นระดับเทพแท้จริงขั้นอมตะเลย แม้แต่ยอดฝีมือเล็กๆ คนหนึ่งก็ต้องเยาะเย้ยหลี่ชิเย่แน่นอน แม้แต่ความรู้ที่เป็นขั้นพื้นฐานที่สุดของการฝึกยุทธยังไม่รู้จัก คนประเภทนี้ยังบังอาจกล่าวคำโอ้อวดไม่ละอายว่าตนเองเคยฝึกยุทธมาก่อน นี่มันไม่ได้เริ่มต้นฝึกเสียด้วยซ้ำ

จางเจี๋ยตี้ไม่ได้หัวเราะเยาะหลี่ชิเย่ แต่เป็นการพูดเสียงแผ่วเบาเพื่อเตือนด้วยความหวังดี เขาคือระดับเทพแท้จริงขั้นอมตะคนหนึ่งนะเนี่ย ไม่จำเป็นต้องวางท่าทีให้ค่อมต่ำเช่นนี้ก็ได้

“อ๋อ ที่แท้เป็นเช่นนี้นั่นเอง” หลี่ชิเย่หัวเราะและกล่าวว่า “เช่นนั้นแล้วก็ขั้นสามก็แล้วกัน แต่ว่า ข้าชอบที่จะเป็นขั้นที่สิบสามมากกว่า ฟังดูแล้วดูจะมีท่วงทีมากกว่า และมีท่วงทำนองยิ่งกว่า”

เมื่อจางเจี๋ยตี้ได้ยินคำพูดเช่นนี้แล้วถึงกับหัวเราะเจื่อนๆ นับเป็นครั้งแรกที่เขาได้พบกับคนที่ทำอะไรตามอารมณ์ไร้ระเบียบวินัยแช่นนี้ แม้แต่การฝึกยุทธของตนคือระดับเช่นใดก็เป็นการจับแพะชนแกะ คนเช่นนี้มีจิตใจที่ใหญ่แค่ไหนกันนะ?

“หากองค์ชายสนใจ สามารถทดลองฝึกเคล็ดวิชาอื่นๆ บ้าง ภายในราชสำนักมีเคล็ดวิชาจำนวนนับไม่ถ้วนให้องค์ชายได้เลือกฝึก หากองค์ชายไม่รักเกียจ กระหม่อมสามารถเป็นที่ปรึกษาให้กับองค์ชาย” จางเจี๋ยตี้เรียกว่าเรียบเรียงคำพูดได้นุ่มนวลมากแล้ว

สมควรทราบว่า เขานั้นคือระดับเทพแท้จริงขั้นอมตะคนหนึ่ง หากเป็นศิษย์คนอื่นสามารถได้รับการชี้แนะจากจางเจี๋ยตี้ล่ะก็ นับว่าเป็นวาสนาที่ยิ่งใหญ่มากแล้ว เวลานี้ฟังดูเหมือนเป็นจางเจี๋ยตี้ที่ร้องขอให้หลี่ชิเย่ฝึกยุทธกับเขาอย่างนั้น

แน่นอน หลี่ชิเย่ในเวลานี้คือรัชทายาทของราชวงศ์โต่วเซิ่นแล้ว อาศัยสภาพการณ์การรวบอำนาจของฮ่องเต้ไท่ชิง เป็นความจริงที่หลี่ชิเย่สามารถเลือกฝึกเคล็ดวิชาของราชวงศ์โต่วเซิ่นได้ตามใจชอบอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องให้ใครมาอนุมัติ

“มีเจ้าที่เป็นระดับเทพแท้จริงขั้นอมตะมาเป็นองครักษ์ประจำตัวแล้ว ข้ายังจะต้องฝึกยุทธเพื่ออะไรกัน ย่อมเป็นการเสพสุขให้มันเต็มที่ดีกว่า” หลี่ชิเย่หัวเราะและกล่าว

จางเจี๋ยตี้ถึงกับยิ้มเจื่อนๆ เมื่อได้ยินคำพูดของหลี่ชิเย่ ยังคงกล่าวด้วยความพยายามอย่างยิ่งว่า “องค์ชายจะตรัสเช่นนี้ก็ไม่ถูก ข้าน้อยก็ไม่แน่เสมอไปว่าสามารถคุ้มครององค์ชายได้ตลอดชีวิต ยิ่งไปกว่านั้น ยอดฝีมือใต้หล้ามีมากดั่งดวงดาว ฝู้ที่แข็งแกร่งกว่าข้าน้อยก็มีอยู่ไม่น้อย หากองค์ชายฝึกสุดยอดเคล็ดวิชาในหล้าไว้ป้องกันตัวบ้างย่อมจะดียิ่งกว่า”

“แม้แต่เจ้าที่เป็นถึงระดับเทพแท้จริงขั้นอมตะยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ ข้าแค่ฝึกมาได้เพียงแค่นั้นจะไปใช้การอะไรได้ หรือว่าสามารถขู่ให้ศัตรูกลัวจนหนีไปอย่างนั้นรึ? ในเมื่อไม่มีประโยชน์แล้วจะต้องฝึกไปเพื่ออะไร? หรือว่าเจ้าสามารถทำให้ข้ากลายเป็นระดับเทพแท้จริงขั้นอมตะได้ภายในหนึ่งหรือสองวันอย่างนั้นรึ?” หลี่ชิเย่ยิ้มกล่าว

คำพูดของหลี่ชิเย่สร้างความตะลึงงันให้กับจางเจี๋ยตี้ได้จริงๆ แม้ว่าคำพูดของหลี่ชิเย่จะไม่น่าฟัง แต่นับว่ามีเหตุผลจริงๆ

เหมือนดั่งตัวเขาแม้ว่าจะเป็นระดับเทพแท้จริงขั้นอมตะที่แข็งแกร่งมากคนหนึ่งแล้วก็จริง แต่ทว่า ในฐานะที่เป็นหัวหน้าองครักษ์ของฮ่องเต้ไท่ชิง นับว่าใช้การอะไรไม่ได้จริงๆ ดูเหมือนเป็นเพียงสิ่งประดับเสียมากกว่า

ถ้าหากแม้แต่ระดับเทพแท้จริงขั้นอมตะเช่นเขายังต้านรับเอาไว้ไม่ได้ เกรงว่าหลี่ชิเย่ได้ฝึกสุดยอดเคล็ดวิชาเพียงไม่กี่วัน หากพานพบกับอันตรายจริงๆ ก็ไม่มีประโยชน์แต่อย่างใด

“ข้าน้อยไม่มีวิธีที่จะทำให้องค์ชายกลายเป็นระดับเทพแท้จริงขั้นอมตะได้จริงๆ” จางเจี๋ยตี้ถึงกับหัวเราะเจื่อนๆ และยอมรับโดยดุษฎี

“ก็นั่นแหละ” หลี่ชิเย่ผายมือและยิ้มกล่าวว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าก็แค่ทำเรื่องของตนเองให้ดีก็พอแล้ว ข้าคือรัชทายาท แน่นอนที่สุดคือเสพสุขกับความั่งคั่งร่ำรวยและยศศักดิ์ไม่สิ้น ย่อมเป็นการใช้ชีวิตเพลิดเพลินกับความหรูหราฟุ่มเฟือย ส่วนเรื่องของความปลอดภัยก็มอบเป็นหน้าที่ของเจ้า หาไม่แล้วยังจะมีหัวหน้าองครักษ์อย่างเจ้าเอาไว้ทำไม?”

คำพูดของหลี่ชิเย่นับว่ามีเหตุผลโดยแท้ และสร้างความตะลึงงันให้กับจางเจี๋ยตี้อีกครั้ง ถ้าหากเขาที่เป็นถึงหัวหน้าองครักษ์ยังทำหน้าที่ของตนไม่ดีพอ เช่นนั้นแล้วจะมีหัวหน้าองครักษ์เช่นเขาไว้เพื่ออะไร?

“แม่ทัพ คือผู้ที่นำพาทหารออกศึกได้ องครักษ์คือผู้อารักขาความปลอดภัย ทุกคนต่างก็มีหน้าที่ของตน” หลี่ชิเย่ยิ้มแต้กล่าวว่า “ถ้าหากข้าสามารถเกรียงไกรไปทั่วหล้าได้เอง ปราศจากผู้ต่อกรตลอดกาล แล้วยังต้องมีแม่ทัพ มีหัวหน้าองครักษ์เพื่ออะไร เลี้ยงเสียข้าวสุกทั้งนั้น ข้าเป็นรัชทายาทกุมอำนาจอยู่ในมือก็พอแล้ว สิ่งที่ข้าต้องทำก็คือเสพสุข เสพสุข แล้วก็เสพสุข”

จางเจี๋ยตี้ถึงกับยิ้มเจื่อนๆ เวลานี้เขาไม่สามารถหาคำพูดใดมาตอบโต้ เพราะคำบอกกล่าวของหลี่ชิเย่นั้น ยกเว้นคำพูดสุดท้ายที่ว่า “เสพสุข” แล้ว เหมือนว่ามันมีเหตุผลจริงๆ พับผ่าสิ

ถ้าหากเรื่องทุกเรื่องตัวเขาที่เป็นรัชทายาทสามารถจัดการได้เองทั้งหมด ยังจะต้องการคนอื่นๆ เพื่ออะไร?

…………………………………………….

Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *