Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล 1908 หนึ่งพุทธะทำลายหมื่นวิชา

Now you are reading Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล Chapter 1908 หนึ่งพุทธะทำลายหมื่นวิชา at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“รนหาที่ตาย…” พลันที่หลี่ชิเย่พูดขาดคำ เสียงคำรามจากจอมเทพที่มีดวงตราสัญลักษณ์สิบเอ็ดดวง เป็นที่หวาดหวั่นทั่วอาณาจักร ดวงดาวแตกสลาย ฟ้าดินร้องระงมด้วยความโศกเศร้า ทุกอย่างล้วนแล้วแต่ดูเล็กจิ๋วภายใต้เสียงคำรามเสียงนี้ สรรพชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วน บรรดายอดฝีมือล้วนตัวสั่นงันงกภายใต้เสียงคำรามเสียงนี้

เสียง “ตูม” ดังสนั่น จอมเทพมังกรหลวงลงมือพร้อมกันกับจอมเทพอีกแปด พวกเขาที่เป็นอัศวินมังกรหลวงเปรียบประดุจเป็นร่างเดียวกัน เพลิงจอมเทพของพวกเขาบดบังเก้าชั้นฟ้าสิบแดนดิน ปิดตายทุกๆ สถานการณ์หมื่นอาณาจักร

ในเสี้ยววินาทีนั้นเอง ทั่วทั้งอาณาจักร ช่องว่างทั้งหมดล้วนแล้วแต่อยู่ภายใต้การปิดกั้นและสยบจากเพลิงเทพของพวกเขา เหล่าชั้นฟ้าดูจะเล็กจิ๋วมากภายใต้เพลิงเทพของพวกเขา

“แม่จ๋า…” ไม่รู้ว่ามีผู้คนจำนวนเท่าไรในฝอเหย่ที่ต้องตกใจขวัญหนีดีฝ่อ เมื่อมองเห็นเพลิงเทพที่เสมือนดั่งเป็นน้ำหลากในยุคดึกดำบรรพ์ที่พุ่งเข้าโจมตีต่อเก้าชั้นฟ้าสิบแดนดินอย่างนั้น ภายใต้เพลิงเทพลักษณะเช่นนี้ ต่อให้เป็นผู้ที่มีฝีมือสูงสุดก็ต้องถูกทำลายในพริบตาเดียว ต่อให้แข็งแกร่งมากกว่านี้ก็ต้องถูกบดขยี้จนตายในพริบตาเดียว

ไม่รู้ว่ามียอดฝีมือผู้บำเพ็ญตนจำนวนเท่าไรที่ขวัญหนีดีฝ่อ ขณะที่เพลิงเทพลักษณะเช่นนี้สยบเหล่าชั้นฟ้า ถึงกับต้องทิ้งตัวนั่งลงกับพื้น ผู้ที่แย่ยิ่งกว่านั้นถึงกับตกใจจนปัสสาวะอุจจาระราดเลยทีเดียว

“ตูม…”เสียงดังสนั่น จังหวะที่เพลิงเทพทั้งหมดอาละวาดฟ้าดินอยู่นั้น พลันได้หดตัวเข้าหากันอย่างรวดเร็ว เพลิงเทพทั้งหมดเหมือนพังทลายลงมาโดยพลันและหดตัวเข้าไปรวมเป็นจุดๆ เดียวทันที

ลองนึกภาพดูว่าภาพนี้มีความน่ากลัวขนาดไหน และสยองขวัญเช่นใด เพียงพริบตาเดียวเท่านั้น เพลิงเทพได้พังถล่มลงมากลายเป็นหลุมดำ มันกลืนกินทุกสิ่งทุกอย่าง ทำลายทุกอย่างจนแหลกละเอียด

“ตูม ตูม ตูม…” เมื่อได้กลายเป็นหลุมดำเสร็จสิ้นโดยสมบูรณ์ มองเห็นดวงดาวขนาดใหญ่บนจักรวาลแต่ละดวงที่ร่วงหล่นลงมา ดวงดาวทั้งหมดทยอยกันถูกหลุมดำลากเอาไปและทยอยกันถูกดูดกลืนเข้าไปทั้งหมด

เมื่อดวงดาวขนาดใหญ่แต่ละดวงถูกลากเข้าไปภายในหลุมดำแล้ว ท่ามกลางเสียงดังตูมตามที่ดังขึ้นมาเป็นระลอกๆ ดวงดาวขนาดใหญ่พลันถูกฉีกจนแหลกละเอียดไปทั้งหมด ทั้งหมดถูกแยกชิ้นส่วนจนเหลือไว้เพียงเศษเถ้าธุลีในทันที ทุกสิ่งทุกอย่างบนจักรวาลไม่หลงเหลือเอาไว้อีกโดยพลัน

ผู้คนจำนวนเท่าไรที่ต้องตกใจจนขวัญหนีดีฝ่อ ทุกคนล้วนแล้วแต่อยากจะหนี แต่ไม่รู้มีผู้คนจำนวนเท่าไรที่อยากหนีไปแต่หนีไม่ได้เพราะเข่าอ่อนทั้งสองข้าง การกลืนกินลักษณะเช่นนี้เพียงพอที่จะกลืนกินฝอเหย่เข้าไปได้ทั้งหมด

“อามิตาพุทธ…” พริบตาเดียวนั่นเอง หลี่ชิเย่พนมมือและเปล่งพุทธวาจาออกมา นาทีนี้ตัวของหลี่ชิเย่ไม่ได้มีรัศมีพุทธที่รุนแรง ไม่ได้มีความเป็นไปได้ที่จะบรรลุเป็นพุทธที่ตลบอบอวล มีเพียงรัศมีพุทธจางๆ ที่แวบวับอยู่ทั่วตัวเท่านั้นเอง

แต่ว่านาทีนี้หลี่ชิเย่เสมือนหนึ่งแซงล้ำหน้าอดีต ก้าวข้ามสายน้ำแห่งกาลเวลา นาทีนี้หลี่ชิเย่เหมือนว่ามาจากยุคสมัยที่เก่าแก่ดึกดำบรรพ์มาถึงโลกปัจจุบัน เขาหลุดพ้นจากหยินและหยาง ก้าวข้ามกาลเวลา ทะลุผ่านอดีตและปัจจุบัน!

นาทีนี้ ดูไปแล้วตัวของหลี่ชิเย่ไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปมากสักเท่าไร ร่างกายก็ไม่ได้ใหญ่โตขึ้น และไม่ได้มีอานุภาพที่รุนแรงปราศจากผู้ต่อกร เขาเพียงแค่เปล่งรัศมีที่จางๆ ออกมาเท่านั้นเอง

แต่ หลี่ชิเย่ที่ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงมากนัก เขากลับกลายเป็นวิถีแห่งธรรมสายหนึ่งที่ไม่มีการดับสูญเป็นนิรันดร์ วิถีแห่งธรรมที่ไม่มีดับสูญเป็นนิรันดร์สายนี้ได้ทะลุผ่านยุคสมัยทั้งยุค เป็นผู้บงการยุคสมัยนั้นตลอดทั้งยุค อีกทั้งยังสืบเนื่องต่อมาจนถึงปัจจุบัน กระทั่งสืบทอดต่อไปถึงอนาคต!

นาทีนี้ หลี่ชิเย่เสมือนหนึ่งกลายเป็นแหล่งต้นกำเนิด ไหลผ่านไปยังอนาคตที่ยาวไกล เขาก็คือพุทธศาสนา เขาก็คือพระธรรม เขาคือผู้ริเริ่มของยุคสมัยยุคหนึ่ง

“แว้งค์…” นับตั้งแต่นาทีที่หลี่ชิเย่เปล่งพุทธวาจาออกมา ทั่วทั้งฝอเหย่ปรากฎเป็นแคว้นพุทธแต่ละแคว้นที่ผุดขึ้นมา แคว้นพุทธนี้มีความกว้างใหญ่ไพศาลเป็นอันมาก กระทั่งมีแคว้นพุทธที่มีขนาดใหญ่โตมากกว่าชิงโจวทั้งหมดเสียอีก

ท่ามกลางแคว้นพุทธแต่ละแคว้น ปรากฏอริยสงฆ์แต่ละองค์ที่ลอยล่องอยู่ อริยสงฆ์เหล่านี้ได้ก้าวข้ามยุคสมัยแต่ละยุคมา เสมือนหนึ่งข้ามมาจากยุคสมัยที่ห่างไกลมากๆ เพียงเพราะต้องการเข้าเฝ้าหลี่ชิเย่เท่านั้นเอง

ยิ่งไปกว่านั้น ท่ามกลางแคว้นพุทธแต่ละแคว้นยังมีสิ่งมีชีวิตนับหมื่นล้านล้านล้านล้านชีวิต สิ่งมีชีวิตแต่ละชีวิตเหล่านี้ได้ก้าวข้ามยุคสมัยแล้วยุคสมัยเล่า ล้วนแล้วแต่มีความแตกต่างกันออกไป แต่สิ่งหนึ่งที่เหมือนกันก็คือ ความเชื่อภายในใจของพวกเขาที่ไม่มีวันลืมเลือนคือ…พระพุทธ!

“อามิตาพุทธ…” ในเวลานี้ เสียงพุทธวาจาดังก้องทั่วทั้งฝอเหย่ ดังก้องไปทั่วทั้งแดนแห่งการสืบค้น นาทีนี้ความเป็นไปได้ที่จะบรรลุเป็นพระได้ตลบอบอวลไปทั่วฝอเหย่ กระทั่งบังเกิดเสียง “ตูม” ดังสนั่น ความเป็นไปได้ที่จะบรรลุเป็นพระได้พุ่งออกจากฝอเหย่ กระจายไปทั่วแดนแห่งการสืบค้น ตลบอบอวลอยู่ท่ามกลางฟ้าดินที่กว้างไกลสุดลูกหูลูกตา

นาทีนี้ ทั่วทั้งฝอเหย่ปรากฏประกายพุทธพุ่งขึ้นอย่างรุนแรง เหมือนว่าเป็นการฟื้นคืนชีพของยุคสมัยยุคหนึ่งอย่างนั้น สร้างความสะเทือนหวั่นไหวให้กับพื้นที่จำนวนมากในแดนแห่งการสืบค้น สถานที่ที่อันตรายจำนวนมากปรากฏคู่สายตาแต่ละคู่ขึ้นมา มองดูประกายพุทธในฝอเหย่ ทั้งหมดตกอยู่ท่ามกลางความนิ่งเงียบ

สิ่งมีชีวิตจำนวนหมื่นล้านล้านล้านล้านชีวิต ในยุคสมัยจำนวนนับหมื่นนับพันยุคสมัย อริยสงฆ์แต่ละองค์ ทั่งหมดล้วนแล้วแต่คุกเข่าก้มลงกราบและน้อมคำนับต่อหลี่ชิเย่ ความเชื่อทั้งยุคสมัยหนึ่งล้วนแล้วแต่รวมอยู่บนตัวของหลี่ชิเย่ผู้เดียว

นาทีนี้เอง หลี่ชิเย่ที่ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงอะไรมากนักได้กลายเป็นผู้บงการของฝอเหย่ กลายเป็นผู้สร้างยุคสมัยยุคหนึ่ง!

ในเวลานี้ ท่ามกลางฝอเหย่มีผู้บำเพ็ญตนที่หมอบกราบอยู่จำนวนนับไม่ถ้วน โดยที่หลี่ชิเย่ไม่ได้อาศัยอานุภาพไปสยบพวกเขา แต่กลับสามารถทำให้พวกเขาสยบทั้งกายใจด้วยสัญชาตญาณ ซึ่งหมอบกราบอยู่ที่ตรงนั้นอยู่นานไม่อาจลุกขึ้นมาได้

“พระพุทธรูปองค์ทอง…” ธิดาราชันฉีหลินถึงกับรู้สึกหวั่นไหวขึ้นมาเมื่อมองเห็นลักษณะเช่นนี้ของหลี่ชิเย่ รู้ว่าหมายถึงอะไร!

“ปัง…” มองเห็นมือพระพุทธของหลี่ชิเย่ที่กางออกนิดหนึ่ง หนึ่งฝ่ามือกดลงได้ทำให้หลุมดำที่สามารถกลืนกินทุกสิ่งทุกอย่างพลันแตกละเอียดไป ขณะที่ฝ่ามือพุทธยังไม่หยุดอยู่เพียงเท่านั้น โดยกดทับลงบนตัวของพวกจอมเทพมังกรหลวงทั้งเก้าคน

“เจ้ากล้ารึ…” จอมเทพมังกรหลวงถึงกับส่งเสียงร้องออกมาด้วยความโกรธ แต่ฝ่ามือพระพุทธไม่ได้หยุดนิ่ง พลันกดทับลงบนตัวของพวกเขา

เสียง “ตูม…” ดังสนั่น ภายใต้ฝ่ามือพระพุทธ ต่อให้พวกของจอมเทพมังกรหลวงดิ้นรนอย่างไรก็ไร้ผล พลันถูกบดขยี้ทำลายกลายเป็นเถ้าธุลีไป ไม่ทันได้ร้องเสียงน่าเวทนาออกมาด้วยซ้ำ

ภาพนี้สร้างความหวั่นไหวต่อจิตใจของผู้คนมากเหลือเกิน กระทั่งระดับจอมเทพคนอื่นๆ ถูกทำให้หวั่นไหวจนเข่าอ่อน ระดับจอมเทพเก้าองค์ รวมทั้งจอมเทพมังกรหลวงที่มีดวงตราสัญลักษณ์สิบเอ็ดดวง ต่อให้ไม่ได้เป็นร่างจริงยังคงมีความน่ากลัวยิ่ง แต่กลับถูกบดขยี้ด้วยฝ่ามือพระพุทธเพียงข้างเดียว ถึงแม้จะดำรงอยู่ในฐานะอัศวินมังกรหลวง ก็เป็นได้แค่มดปลวกไม่คู่ควรจะกล่าวถึงด้วยซ้ำเท่านั้นเอง เมื่ออยู่ภายใต้ฝ่ามือพระพุทธของหลี่ชิเย่

ไม่ว่าใครก็ตาม จะเป็นจอมเทพหรือจอมราชันก็ต้องสั่นเทาเมื่อได้มองเห็นภาพนี้แล้ว!

ในเวลานี้ ทั่วทั้งฝอเหย่ตกอยู่ในสภาวะเงียบสงัด ผู้บำเพ็ญตนจำนวนนับไม่ถ้วนที่หมอบกราบอยู่กับพื้นสยบทั้งกายและใจ กระทั่งไม่สามารถขยับตัวได้ เวลานี้พวกเขาไม่หลงเหลือความกล้ากระทั่งเงยหน้าขึ้นมองสักครั้งหนึ่ง

“อ่อนเหลือเกิน” หลี่ชิเย่กล่าวเรียบเฉยขึ้นมาว่า “จอมราชันที่มีชะตาฟ้าสิบสองสายยังพอจะสู้กันได้!”

คำพูดที่เรียบเฉยคำหนึ่งกลับสยบหัวใจผู้คนเหลือเกิน ระดับจอมเทพยังต้องสั่นเทา จอมเทพที่มีดวงตราสัญลักษณ์สิบเอ็ดดวง เมื่อออกจากปากของเขาแล้ว ใช้คำว่า “อ่อนเหลือเกิน” สามคำนี้มาเปรียบเปรย กับคำว่า “จอมราชันที่มีชะตาฟ้าสิบสองสายยังพอจะสู้กันได้” ยิ่งเปี่ยมด้วยความพาล!

ภายในเมืองตี้ฮว่าปรากฎดวงตาแต่ละคู่ที่ส่งเป็นประกายออกมา เมื่อเกิดภายเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้นมา ท้ายที่สุด มีจอมราชันเซียนหวังได้ทอดถอนใจออกมาเบาๆ ว่า “เมล็ดพันธุ์พุทธะ…”

พวกเขาไม่สามารถพูดอะไรได้อีกแล้ว พวกเขารู้แล้วว่าหลี่ชิเย่มีสิ่งใดอยู่ในครอบครอง ท่ามกลางฝอเหย่แห่งนี้ การได้ครอบครองเมล็ดพันธุ์พุทธะเป็นการบ่งบอกว่าปราศจากผู้ต่อกร บ่งบอกว่าสามารถควบคุมฝอเหย่ เศษสิ่งที่หลงเหลือของยุคนี้ล้วนอยู่ในกำมือของเขา

ความจริงแล้ว ขณะที่เมืองตี้ฮว่าก่อตั้งขึ้นติดกับฝอเหย่นั้น บรรดาจอมราชันเซียนหวังเช่นพวกเขาก็เคยคิดอยากได้เมล็ดพันธุ์พุทธะเหมือนกัน เนื่องจากการได้รับเมล็ดพันธุ์พุทธะก็จะได้ควบคุมฝอเหย่

แต่ว่า ท้ายที่สุดพวกเขาต่างไม่ได้เมล็ดพันธุ์พุทธะมา ซึ่งสิ่งนี้ไม่ได้หมายความว่าจอมราชันเซียนหวังอ่อนเกินไป เป็นเพราะ หนึ่ง พวกเขาไม่ได้มีวาสนากับพุทธศาสนา สอง พวกเขาไม่ต้องการไปแปดเปื้อนกฎแห่งกรรมนี้

กล่าวสำหรับพวกเขาแล้ว เป็นความจริงที่ว่า หากสามารถครอบครองเมล็ดพันธุ์พุทธะแล้วก็สามารถควบคุมฝอเหย่ได้ แต่ การได้ครอบครองเมล็ดพันธุ์พุทธะเป็นการบ่งบอกว่าจะต้องแบกรับกฎแห่งกรรมของยุคสมัยที่หลงเหลือไว้เพียงเศษเสี้ยวเอาไว้ เมื่อไหร่ที่เมล็ดพันธุ์พุทธะแตกรากเจริญเติบโตขึ้นมา เกรงว่าบรรดาจอมราชันเซียนหวังเช่นพวกเขาจะนำมาซึ่งสวรรค์ลงทัณฑ์ เมื่อถึงตอนนั้น ต่อให้พวกเขาหลบซ่อนตัวอยู่ในแดนแห่งการสืบค้นก็ไม่มีประโยชน์แต่อย่างใด สวรรค์ลงทัณฑ์ต้องลงมาแน่ ถึงเวลานั้นพวกเขาก็ต้องตายและสูญสิ้นทุกอย่างอยู่ดี

เนื่องจากกฎแห่งกรรมของเมล็ดพันธุ์พุทธะยิ่งใหญ่เหลือเกิน อีกทั้งตัวของพวกเขาก็มีความแข็งแกร่งเป็นอันมาก ด้วยกฎแห่งกรรมที่ยิ่งใหญ่บวกกับความแข็งแกร่งยากจะหาใดเทียมของพวกเขา ภายใต้การประกอบรวมเข้าด้วยกันเช่นนี้ พวกเขาหนีจากการถูกสวรรค์ลงทัณฑ์แน่นอน!

แม้แต่จอมราชันเซียนหวัง ที่อยู่ภายในเมืองตี้ฮว่ายังต้องนิ่งเงียบ นาทีนี้หลี่ชิเย่เป็นบุคคลที่มีประวัติความเป็นมาเช่นใดก็ไม่สำคัญอีกต่อไปแล้ว เนื่องจากเขามีเมล็ดพันธุ์พุทธะในตัว เขาก็คือพระพุทธองค์ทององค์หนึ่งท่ามกลางฝอเหย่แห่งนี้

พระพุทธองค์ทองบ่งชี้ถึงสิ่งใด? ท่ามกลางยุคสมัยของพระพุทธศาสนาตลอดทั้งยุคในยุคนี้ มีพระพุทธองค์ทองเพียงแค่เก้าองค์ทั้งนั้น ขณะที่ฝอเหย่คือเศษสิ่งที่หลงเหลืออยู่ของยุคสมัยดังกล่าวนี้

พระพุทธองค์ทององค์หนึ่งที่ปรากฏกายอยู่ท่ามกลางเศษสิ่งที่หลงเหลืออยู่ในยุคสมัยของตน จะมีพลังความสามารถเช่นใดกันเล่า? เฉกเช่นคำพูดที่หลี่ชิเย่พูดเอาไว้อย่างนั้น…จอมราชันที่มีชะตาฟ้าสิบสองสายยังพอจะต่อสู้กันได้!

ปรากฏนิ่งเงียบไปทั่วฟ้าดิน จะเป็นจอมราชันเซียนหวังก็ดี จอมเทพก็ช่าง ไม่ว่าใครก็ไม่ต้องการไปหาเรื่องกับหลี่ชิเย่ พระพุทธองค์ทององค์หนึ่งที่ปรากฏกายท่ามกลางฝอเหย่ ต่อให้ผู้คนจำนวนมากกว่านี้ก็ไม่ดีพอ มีชะตากรรมเดียวคือถูกสังหารเท่านั้น!

เวลานี้ หลี่ชิเย่ได้สลายรัศมีพุทธะและกลับคืนสู่ความสงบอีกครั้ง เขายังคงดูเรียบง่ายไม่มีอะไรโดดเด่น เรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อครู่คล้ายดั่งเป็นภาพลวงตาเท่านั้น ถ้าหากไม่เป็นเพราะร่างจำแลงของอัศวินมังกรหลวงถูกทำลาย คนอื่นยังเข้าใจว่ามันคือความฝันใช่หรือไม่

ในขณะนี้ หลี่ชิเย่ก้าวเข้าไปหาทารกมังกรหลวง โดยที่ทารกมังกรหลวงเหมือนเป็นอัมพาตโดยสิ้นเชิงอยู่บนพื้น เวลานี้ต่อให้เขาหวาดกลัวจนขวัญหนีดีฝ่อ อยากจะลุกขึ้นมาเพื่อหลบหนีก็หนีไม่ไหว หมดสิ้นเรี่ยวแรงทำไม่ได้กระทั่งขยับตัว

กลิ่นสาบปัสสาวะโชยเข้ามาตามลม ทารกมังกรหลวงไม่เพียงขวัญหนีดีฝ่อเท่านั้น ทั้งยังตกใจจนปัสสาวะราดอีกด้วย กางเกงของเขาเปียกไปหมดทั้งตัว

“ยังมีลูกไม้อะไรที่ยังไม่ได้งัดออกมาใช้หรือไม่?” หลี่ชิเย่มองดูทารกมังกรหลวงทีหนึ่ง ยิ้มกล่าวเรียบๆ ว่า “เกรงว่าอาจารย์ และอาจารย์อาของเจ้าคงไม่มาแล้วหละ”

ทารกมังกรหลวงปริปากเหมือนจะพูดอะไรออกมา แต่ อ้าปากค้างอยู่อย่างนั้นโดยไม่สามารถเอ่ยคำใดๆ ออกมา เนื่องจากตกใจจนขวัญหนีดีฝ่อ ไม่สามารถพูดคำใดๆ ออกมาได้อยู่แล้ว

“การมาวางแผนการต่อหน้าข้า มันน่าขันเหมือนเด็กสามขวบที่อวดฉลาด” หลี่ชิเย่ยิ้มกล่าวเรียบๆ ว่า “ต่อให้เจ้ามีแผนการที่ยิ่งใหญ่สะเทือนฟ้าเพียงใด เมื่อมาอยู่ต่อหน้าข้ามันก็เสมือนหนึ่งฝุ่นผงเท่านั้นแค่เอามือปัดเบาๆ ก็ไม่เหลือร่องรอยอีกต่อไป”

คำพูดเช่นนี้ของหลี่ชิเย่ทำให้ภายในใจของทุกคนต้องสั่นเทา ภายใต้พลังที่เด็ดขาด การวางแผนให้ร้าย หรือแผนการร้ายอะไรก็ไร้ค่าคู่ควรจะกล่าวถึง ภายใต้พลังที่เด็ดขาด ไม่ว่าจะเป็นการวางแผนให้ร้ายที่ชาญฉลาดมากกว่านี้ แผนการร้ายที่รอบคอบมากกว่านี้ เพียงปัดเบาๆ ก็แตกละเอียด ไม่มีค่าคู่ควรจะกล่าวถึงเลย

สิ่งนี้มันก็คล้ายดั่งมนุษย์ปุถุชนธรรมดาคนหนึ่งที่วางแผนการร้ายต่อราชันเซียนอย่างนั้น เป็นเรื่องที่น่าขันและไร้เดียงสาเหลือเกิน

Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *