Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล 1737 ประกายมรณะ

Now you are reading Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล Chapter 1737 ประกายมรณะ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 1737 ประกายมรณะ
“เป็นศัตรูหมื่นชาติ เจ้าสมควรจะสำนึกได้” ราชันซื่อตี้กล่าวด้วยท่าทีเย็นชาสำหรับคำพูดของหลี่ชิเย่

ไม่ว่าจะเป็นจอมราชันหรือราชันเซียน กระบวนท่าเช่นราชันสังหาร สวรรค์ทำลายล้วนแล้วแต่ไม่ใช่ท่าไม้ตายสุดท้าย ต่อให้กระบวนท่าสุดท้ายอย่างเทพ-สวรรค์ทำลาย ยังคงไม่ใช่ท่าไม้ตายของพวกเขา

เหตุผลนั้นง่ายมาก ไม่ว่าจะเป็นราชันสังหาร หรือสวรรค์ทำลาย ล้วนแล้วแต่เป็นการโจมตีเพียงครั้งเดียวเท่านั้น และมีเพียงกระบวนท่าเดียว ถ้าหากเป็นการต่อสู้ชี้ขาดระหว่างราชันเซียนหรือจอมราชัน หากไม่สามารถเอาชนะคู่ต่อสู้ล่ะก็ การสำแดงซ้ำจะไม่บังเกิดอานุภาพมากนัก และยากที่จะส่งผลกับการคุกคามฝ่ายตรงข้ามสักเท่าไร

กระบวนท่าโจมตีเฉกเช่นสวรรค์ทำลาย ราชันสังหารหากคิดจะสำแดงซ้ำ ทั้งยังส่งผลสยบและสังหารได้นั้น ต้องใช้กับผู้ที่ไม่ได้ดำรงอยู่ในระดับของราชันเซียนจึงสามารถใช้ได้ผล

ดังนั้น กล่าวสำหรับผู้ที่อยู่ในระดับเดียวกันอย่างจอมราชันและเซียนหวางแล้ว การต่อสู้เพื่อชี้ขาดของพวกเขานอกจากอาศัยฝีมือปรกติทั่วไปแล้ว ยังมีวิธีการระดับสังหารด้วย เฉกเช่นค่ายกลราชันอาวุธเซียนก็คือวิธีการหนึ่งในจำนวนนั้น

ค่ายกลราชันอาวุธเซียนแบ่งออกเป็นหลายแบบ แต่ล้วนแล้วแต่ไม่พ้นไปจากสองสิ่งนี้ หนึ่งคือชะตาฟ้า สองคืออาวุธปราศจากผู้ต่อกรที่หลอมสร้างโดยราชันเซียนหรือจอมราชัน! ค่ายกลราชันอาวุธเซียนนั้นอาศัยชะตาฟ้าของราชันเซียน หรือจอมราชันเป็นหลัก มันได้รองรับอาวุธที่ปราศจากผู้ต่อกรเอาไว้ ในสถานการณ์ปรกติแล้ว ชะตาฟ้าหนึ่งสายจะรองรับอาวุธปราศจากผู้ต่อกรหนึ่งชิ้น อาศัยอาวุธประกอบเป็นสุดยอดค่ายกลขึ้นมา

ถ้าหากราชันเซียนมาด้วยตนเองล่ะก็ เช่นนั้นแล้วค่ายกลราชันอาวุธเซียนก็จะมีอานุภาพที่ทรงพลังมากยิ่งขึ้น บางครั้งค่ายกลราชันอาวุธเซียนก็ไม่จำเป็นต้องอาศัยราชันเซียนมาด้วยตนเอง ขอเพียงราชันเซียนอาศัยชะตาฟ้าไปรองรับ ยังคงสามารถเกรียงไกรไปทั่วเก้าชั้นฟ้าสิบแดนดินได้

โดยเฉพาะในแดนที่สิบ ค่ายกลราชันอาวุธเซียนมีอานุภาพทรงพลังยิ่งกว่า เนื่องจากราชันเซียนในแดนสิบสามารถหลอมสร้างชุดของอาวุธที่สมบูรณ์แบบได้ ซึ่งชุดอาวุธที่สมบูรณ์แบบนี้สามารถทดแทนกันและกัน สามารถร่วมมือกันและกัน กระทั่งก้าวถึงระดับที่สมบูรณ์แบบได้

ถ้าหากเป็นค่ายกลราชันอาวุธเซียนที่มีชุดอาวุธที่สมบูรณ์แบบเช่นนี้ล่ะก็ อานุภาพของมันก็จะทรงพลังมากยิ่งขึ้นไปอีก

ข้อแตกต่างที่ชัดเจนที่สุดระหว่างค่ายกลราชันอาวุธเซียนกับสวรรค์ทำลายก็คือพลังสังหารสามารถคงอยู่ได้นาน กระทั่งสามารถสยบและสังหารได้นานเป็นยุคสมัย ขณะที่สวรรค์ทำลายมีการโจมตีเพียงหนึ่งกระบวนท่า ต่อให้นำมาสำแดงซ้ำไปซ้ำมาก็ไม่สามารถเพิ่มพลานุภาพของมันให้มากขึ้นไปได้

ยังมีข้อได้เปรียบอีกอย่างระหว่างค่ายกลราชันอาวุธเซียนกับสวรรค์ทำลายก็คือ ค่ายกลราชันอาวุธเซียนสามารถกักขังศัตรูเอาไว้ได้ ต่อให้ไม่สามารถสังหารศัตรูภายในระยะเวลาอันสั้นได้ แต่ว่า ภายใต้การบดขยี้เป็นเวลานานภายในค่ายกลราชันอาวุธเซียน ต่อให้ศัตรูแข็งแกร่งเพียงใดก็คงทนรับไม่อยู่ และมีโอกาสถูกสังหารได้ในที่สุด

หลี่ชิเย่เพียงยิ้มเฉยเมยสำหรับคำพูดของราชันซื่อตี้ กล่าวเรียบเฉยว่า “สถานการณ์ที่เกิดขึ้นข้าไม่ได้รู้สึกเหนือความคาดคิด จะอย่างไรเสียเพื่อสังหารข้าแล้ว เรียกได้ว่าเจ้าได้คิดค้นมานาน และครุ่นคิดพิจารณาวิธีการทุกอย่างที่มีความเป็นไปได้ในการที่จะสังหารข้าได้”

เรื่องลักษณะเช่นนี้ไม่ว่ากล่าวสำหรับหลี่ชิเย่ หรือกล่าวสำหรับราชันซื่อตี้แล้ว ล้วนแล้วแต่ไม่ได้อยู่เหนือความคาดคิด หลี่ชิเย่เคยคิดกำจัดราชันซื่อตี้เสีย ขณะที่ราชันซื่อตี้ก็คิดกำจัดหลี่ชิเย่ เช่นกัน

อย่างไรก็ตาม ใช่ว่าราชันซื่อตี้จะเคยวางแผนจัดการกับอีกาทมิฬเพียงลำพังคนเดียว เขาเคยร่วมปรึกษากับจอมราชันจำนวนไม่น้อยของเผ่าสวรรค์ เผ่ามาร และเผ่าเทพสามเผ่าเรื่องวิธีการจัดการกับอีกาทมิฬ

สุดท้ายแล้ว ราชันซื่อตี้ได้ร่วมกับบรรดาจอมราชันของเผ่าสวรรค์ เผ่ามาร และเผ่าเทพคิดค้นสุดยอดค่ายกลออกมาอย่างหนึ่ง เป็นสุดยอดค่ายกลที่ใช้เล่นงานอีกาทมิฬโดยเฉพาะ อีกทั้งค่ายกลดังกล่าวยังมีความคล่องตัวเป็นอันมาก สามารถประกอบด้วยจอมราชันคนใดก็ได้ และยังสามารถแยกออกจากกันเป็นค่ายกลราชันอาวุธเซียนที่เป็นเอกเทศ เมื่อนำมารวมเข้าด้วยกันแล้วก็จะกลายเป็นสุดยอดค่ายกลที่ชื่อว่า “ค่ายกลฆ่าอีกา” !

“สมควรจบสิ้นกันได้แล้ว” ราชันซื่อตี้ในเวลานี้จ้องเขม็งหลี่ชิเย่อย่างเย็นชา นัยน์ตาทั้งสองของเขาเผยให้เห็นปณิธานการฆ่าที่เข้มข้น เด็ดขาดปราศจากความปราณี

ภายใต้ปณิธานการฆ่าของราชันซื่อตี้ไม่ได้มีความแค้นแฝงเร้น เป็นเพียงปณิธานการฆ่าที่บริสุทธิ์เท่านั้น ราชันซื่อตี้ก็ดี สิบสองจอมราชันก็ช่าง พวกเขาลงมือสังหารหลี่ชิเย่ไม่ได้เพื่อบุญคุณความแค้นส่วนตัว แต่เป็นการทำเพื่อเผ่าสวรรค์ เผ่ามาร เผ่าเทพสามเผ่า ดังนั้น ต่อให้พวกเขาเผยปณิธานการฆ่าออกมาก็เป็นเพียงปณิธานการฆ่าที่บริสุทธิ์ ไม่มีเรื่องของความแค้นใดๆ

แม้แต่ราชันซื่อตี้ที่เป็นศัตรูต่อเนื่องมายุคแล้วยุคเล่ากับอีกาทมิฬก็ไม่ได้มีความแค้นกับอีกาทมิฬ ต่อให้อีกาทมิฬได้ล่อล่วงลูกสาวของเขาไป เรื่องนี้เขาก็ไม่ได้แค้นเคืองต่อเขา

แต่เขาต้องการสังหารอีกาทมิฬอย่างมั่นคง และไม่เคยสั่นคลอน เป็นเพราะอีกาทมิฬคือหนามยอกอกของเผ่าเทพ เผ่ามาร และเผ่าสวรรค์พวกเขา ขอเพียงอีกาทมิฬยังคงมีชีวิตอยู่ สักวันจะต้องสั่นคลอนฐานะในแดนสิบของเผ่าเทพ เผ่ามาร เผ่าสวรรค์ทั้งสามเผ่า ดังนั้น สำหรับพวกเขาแล้ว อีกาทมิฬต้องถูกฆ่าโดยไม่มีละเว้น!

“สมควรสิ้นสุดแล้ว!” ท่าทีของหลี่ชิเย่ก็เย็นชาลง “แว้งค์” พริบตาเดียวนั้น สิบสามลัคนาหายไป และกลับกลายเป็นความขมุกขมัวไม่มีสิ้นสุด ท่ามกลางความขมุกขมัวปรากฏข้านี่แหละสวรรค์ที่แท้จริงก้าวเดินออกมา

นาทีนี้ต่างฝ่ายต่างสำแดงไพ่ตายของตน สำแดงท่าไม้ตายของตนออกมา ทั้งสองฝ่ายต่างอาศัยกระบวนท่าเดียวถึงตาย ไม่ใช่เจ้าตายก็คือข้าม้วย

นาทีนี้ไม่มีกระบวนท่าที่สวยงามแต่ใช้การจริงไม่ได้ เวลานี้ทั้งสองฝ่ายต่างสังหารศัตรูในหนึ่งกระบวนท่า!

พริบตาเดียวนั่นเอง ค่ายกลราชันอาวุธเซียนค่อยๆ ประกบรวมกัน ค่ายกลราชันอาวุธเซียนของสิบสองจอมราชันเสมือนดั่งมีดที่แหลมคมค่อยๆ ประกบต่อรวมเข้าด้วยกัน เมื่อประกบรวมกันจนสมบูรณ์แล้ว ปรากฏเป็นคันฉ่องทรงกลมออกมาบานหนึ่ง

เวลานี้ สิบสองจอมราชันได้หายตัวไป และสิบสองค่ายกลราชันอาวุธเซียนก็หายไปเช่นกัน เหลือเพียงคันฉ่องทรงกลมบานหนึ่งอยู่ตรงนั้น คันฉ่องบานนี้ไม่มีสีสันใดๆ กระทั่งเรียกได้ว่าสลดปราศจากประกายใดๆ ดูไปแล้วเหมือนเป็นคันฉ่องโบราณที่ถูกคนเขาทิ้งขว้างเป็นระยะเวลายาวนานมาก

แต่ทว่า ชั่วพริบตาเดียวนั่นเอง คันฉ่องทรงกลมปรากฎกลิ่นอายที่แห้งและเน่าเปื่อยพลุ่งพล่าน กลิ่นอายแห้งและเน่าเปื่อยที่พลุ่งพล่านอยู่ท่ามกลางคันฉ่องทรงกลมคล้ายดั่งเป็นทะเลอันกว้างใหญ่ไพศาลที่สามารถท่วมมิดทั่วเก้าแดน ย่อมประเมินได้ว่ากลิ่นอายที่แห้งและเน่าเปื่อยที่อยู่ภายในคันฉ่องกลมจะมีปริมาณมากมายเพียงใดแล้ว

เสียง “แว้งค์” ดังขึ้น พริบตาเดียวกันนี้คันฉ่องกลมได้ยิงประกายออกมาสายหนึ่ง ประกายสายนี้สายเดียวเท่านั้น เป็นประกายสายหนึ่งที่เล็กมาก เล็กขนาดเท่ากับเส้นผมเส้นหนึ่งเท่านั้น

ด้วยประกายที่เล็กสายนี้ดูเหมือนไม่มีค่าคู่ควรจะกล่าวถึง หากดูถูกมันเพราะว่ามีขนาดเล็กล่ะก็ นับว่าเป็นความผิดมหันต์เลยทีเดียว

เนื่องจากประกายมรณะสายนี้เมื่อถูกยิงออกมา ประกายขนาดเล็กพลันสามารถทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างแห้งและเน่าเปื่อยไป อย่าว่าแต่เป็นสิ่งที่มีชีวิตเลย ต่อให้เป็นสิ่งที่ไม่มีชีวิตก็ต้องถูกทำให้แห้งและเน่าเปื่อยไปโดยพลัน กระทั่งแม้แต่ช่องว่าง กาลเวลา กฎเกณฑ์ พลังสัจธรรม กระทั่งพลังของโลกยุคดึกดำบรรพ์ก่อนที่ฟ้าดินจะแยกเป็นสองส่วนล้วนแล้วแต่ถูกมันทำให้แห้งและเน่าเปื่อย ด้วยประกายที่มีขนาดเล็กนี้กระทั่งสามารถทำให้พลังชะตาฟ้าเน่าเปื่อย มันสามารถทำลายชะตาฟ้าได้ นี่แหละคือความน่ากลัวของประกายขนาดเล็กสายนี้

ด้วยประกายขนาดเล็กนี่แหละ มันคือ “ค่ายกลฆ่าอีกา” ที่พวกราชันซื่อตี้คิดค้นสร้างขึ้นมา เป็นค่ายกลที่มีไว้จัดการกับอีกาทมิฬโดยเฉพาะ เนื่องจากอีกาทมิฬไม่มีวันตาย ดังนั้น พวกเขาจึงคาดหวังอาศัยพลังที่ทำให้แห้งและเน่าเปื่อยนี้มาทำลายเขา

ภายใต้ประกายทำให้แห้งและเน่าเปื่อยนี้ ต่อให้อีกาทมิฬที่ไม่มีวันตายก็ต้องได้รับผลกระทบจากพลังทำลายเช่นนี้ ต่อให้ไม่สามารถสังหารอีกาทมิฬได้อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด เมื่อตกอยู่ภายใต้พลังการทำลายของประกายทำให้แห้งและเน่าเปื่อยนี้แล้ว เกรงว่าภายในสิบล้านปีอีกาทมิฬอย่าหวังจะได้ปรากฎตัวบนโลกอีกเลย

“เปิด” หลี่ชิเย่คำรามเสียงยาวออกมาเมื่อต้องเผชิญกับประกายทำให้แห้งและเน่าเปื่อยนี้ ยอดกายเซียนทั้งสี่กลับกลายเจิดจรัสยิ่งนัก ข้านี่แหละสวรรค์ที่แท้จริงสยบหมื่นยุค พลังลมปราณไม่มีสิ้นสุด ในพริบตาเดียวนี้เอง หลี่ชิเย่ลงมือปิดกั้นหมื่นอาณาจักร หมื่นวิชาหมุนเคลื่อนอยู่ในมือของเขา กลายเป็นโล่ขนาดยักษ์ที่ทรงพลังและแข็งแกร่งที่สุด

เวลานี้ หลี่ชิเย่ไม่ได้หลบหนี เนื่องจากเมื่อใดที่ถูกประกายทำให้แห้งและเน่าเปื่อยนี้ล็อคเป้าเข้าให้แล้ว ต่อให้คิดหลบหนีก็ไม่พ้นความตาย

เสียง “จี๊ด จี๊ด จี๊ด” ดังขึ้น ต่อให้หลี่ชิเย่สำแดงโล่ขนาดยักษ์ที่ทรงพลังและแข็งแกร่งที่สุดออกมาก็ต้านประกายทำให้แห้งและเน่าเปื่อยนี้ไม่อยู่ ภายใต้เสียงดังเบาๆ นั่น ประกายทำให้แห้งและเน่าเปื่อยพลันทะลุผ่านแนวป้องกันของหลี่ชิเย่ และยิงทะลุร่างกายของหลี่ชิเย่

สำหรับผู้ดำรงอยู่ในระดับเช่นหลี่ชิเย่แล้ว การที่ร่างกายถูกยิงทะลุเป็นแผลขนาดเล็กเช่นนี้มันเป็นเรื่องที่ไม่คู่ควรจะกล่าวถึง ระดับนี้ต่อให้ถูกยิงจนกลายเป็นหมอกเลือดก็ไม่นับเป็นอะไรอยู่แล้ว

แต่ว่า เสียง “จี๊ด จี๊ด จี๊ด” ดังขึ้นเป็นระลอก เมื่อร่างกายของหลี่ชิเย่ถูกยิงเป็นแผลขนาดเล็กนั้น ฉับพลันนั้น มันได้ขยายพื้นที่แห้งและเน่าเปื่อยของร่างกายในพริบตาเดียว นาทีนี้ลมปราณของหลี่ชิเย่ กายเนื้อ พลัง สัจธรรมเป็นต้น ทั้งหมดล้วนแล้วแต่กำลังแห้งและเน่าเปื่อย พลันสูญเสียชีวิตชีวา แห้งและเน่าเปื่อยไป

ดังนั้น จึงเห็นได้ว่าเพีบงชั่วพริบตาเดียว บนร่างกายของหลี่ชิเย่ ปรากฎเนื้อชิ้นเล็กชิ้นน้อยที่แห้งและหลุดร่วงลงมา เหมือนว่าเนื้อตัวของเขากำลังจะแห้งและถูกทำลายไปจนหมดอย่างนั้น!

เสียง “ตูม” ดังสนั่นขึ้นมา ขณะที่ร่างกาย ลมปราณ สัจธรรมของหลี่ชิเย่กำลังแห้งและเน่าเปื่อยอยู่นั้น ปรากฏเรือเล็กสามลำลอยอยู่เหนือศีรษะ เรือแห่งชีวิต เรือสร้างภพ และเรือชีวิตนิรันดร์ทั้งสามลำพลันปรากฏขึ้นมา

เรือแห่งชีวิตได้นำเอาพลังลมปราณที่ไม่มีสิ้นสุดอัดฉีดเข้าไปภายในร่างของหลี่ชิเย่ ทำให้หลี่ชิเย่ มีพลังชีวิตที่ใช้ไม่รู้จักหมด ด้วยพลังชีวิตลักษณะเช่นนี้ต้องการทำให้ร่างกายที่แห้งตายกลับมามีชีวิต และกลับมามีลมปราณเหมือนเดิม

ขณะที่เรือสร้างภพได้ถ่ายทอดพลังจากโลกดึกดำบรรพ์ที่ยังไม่ได้แบ่งแยกฟ้าดินออกเป็นสองส่วนเข้าไปภายในร่างกายของหลี่ชิเย่ ภายใต้พลังจากโลกดึกดำบรรพ์ที่ยังไม่ได้แบ่งแยกฟ้าดินออกเป็นสองส่วนที่ไม่มีสิ้นสุด ทำให้สัจธรรมของหลี่ชิเย่ฟื้นขึ้นมาใหม่ ทำให้หลี่ชิเย่กลับมามีพลังอีกครั้ง

ขณะที่เรือชีวิตนิรันดร์ทำให้ชีวิตของหลี่ชิเย่ และสัจธรรมรักษาลักษณะของความเป็นอมตะ มีพลังและชีวิตที่ไม่มีหมดตลอดกาล

เมื่อได้รับการประกันจากเรือชีวิตนิรันดร์ เรือแห่งชีวิต และเรือสร้างภพจึงสามารถไม่มีสิ้นสุด ไม่มีเหือดแห้งตลอดกาล!

มีเพียงเรือทั้งสามพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน จึงสามารถรับประกันให้กับหลี่ชิเย่ได้ว่า ภายใต้ประกายทำให้แห้งและเน่าเปื่อยที่น่ากลัวยิ่งเช่นนี้มีความสามารถที่จะโต้กลับได้

หากจะกล่าวว่า มีแต่เรือแห่งชีวิต ต่อให้หลี่ชิเย่สามารถฟื้นคืนชีวิตขึ้นมาใหม่ แต่พลังสัจธรรมแห้งและเน่าเปื่อย ก็จะไม่มีพลังในการตอบโต้กลับ ถ้าหากมีเพียงเรือแห่งชีวิตและเรือสร้างภพ ไม่ได้รับการประกันจากเรือชีวิตนิรันดร์ ต่อให้หลี่ชิเย่มีพลังชีวิตและพลังสัจธรรมที่จะตอบโต้ ภายใต้ประกายทำให้แห้งและเน่าเปื่อย ยังคงไม่สามารถยืนหยัดได้นาน

“แว้งค์” ภายใต้การค้ำจุนของเรือสามลำ หลี่ชิเย่เริ่มมีพลังลมปราณฟื้นคืนมา เริ่มมีพลังของสัจธรรมคืนมา เวลานี้ ร่างเน่าเปื่อยของเขาทยอยกันฟื้นคืนทีละก้าวๆ ค่อยๆ กลายเป็นมีชีวิตชีวา ก่อนหน้านั้นร่างกายของหลี่ชิเย่เหมือนเป็นซากศพ เวลานี้ได้ค่อยๆ กลับคืนมาเป็นร่างกายที่มีเลือดมีเนื้อขึ้นมา

“ตาเฒ่าเฉี่ยน ไม่รู้ว่าพลังเช่นนี้ของเจ้ายังทรงพลังได้อีกมากมายแค่ไหน!” จากการที่ร่างกายและสัจธรรมที่แห้งและเน่าเปื่อยของหลี่ชิเย่ได้ค่อยๆ กลับคืนสู่สภาพปรกติ จึงได้หัวเราะเสียงดังและพูดกับราชันซื่อตี้ที่ยืนอยู่บนท้องฟ้า

ความจริงแล้ว ท่าทีของราชันซื่อตี้ดูหนักแน่นจริงจังขึ้นมา เมื่อเห็นลักษณะเช่นนี้ของหลี่ชิเย่แล้ว เขารู้แล้วว่าเรือสามลำบ่งบอกถึงสิ่งใด

Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *