Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล 2244 ก้มมอง

Now you are reading Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล Chapter 2244 ก้มมอง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

หลี่ชิเย่มองดูเซี่ยวหงเจี้ยน กล่าวเฉยเมยว่า “เจ้าคิดว่าข้าจะทำอะไรล่ะ? แน่นอนย่อมตัดหัวของเจ้าออกมา หรือคิดว่าข้าจะเมตตาปล่อยเจ้าไปอย่างนั้นรึ?”

“เจ้า เจ้าอย่าลืมไปสิ ข้าเป็นราชครูของแคว้นว่านโซ่ว ยิ่งไปกว่านั้นแคว้นว่านโซ่วกับหุบเขาอมตะอยู่ร่วมกันด้วยมิตรภาพมาทุกยุคทุกสมัย เป็นเจ้าที่ฉีกมิตรภาพระหว่างแคว้นว่านโซ่วกับหุบเขาอมตะที่มีมานานนับพันล้านปีจนขาด นี่เป็นการประกาศศึกสงครามกับแคว้นว่านโซ่ว!” เซี่ยวหงเจี้ยนรู้สึกกลัวขึ้นมา จึงรีบยกเอาสิ่งที่เรียกว่ามิตรภาพพันล้านปีออกมา ซึ่งนับเป็นวิธีการขอให้ละเว้นตนในอีกรูปแบบหนึ่ง

“มิตรภาพพันล้านปี?” หลี่ชิเย่ถึงกับเผยรอยยิ้มขึ้นมา และกล่าวว่า “มิตรภาพของเจ้าออกจะมาได้ทันเวลาพอดีเกินไปแล้วกระมัง เจ้าหุบเขาของพวกเราถูกคนลอบทำร้ายจนบาดเจ็บสาหัสกักตนรักษาตัว แคว้นว่านโซ่วของพวกเจ้าถึงกับบังเอิญมาสู่ขอ ยังคิดจะบังคับให้หมอเทวดาหญิงของหุบเขาอมตะแต่งออกไป เวลามีการหักหน้ากันอย่างเปิดเผย เจ้าที่เป็นราชครูก็มาได้ทันเวลาเกินไปแล้วกระมัง หรือจะบอกว่าเป็นการบังเอิญเหลือเกินที่เจ้ามาอยู่ที่บริเวณหุบเขาอมตะพอดี?”

พลันที่หลี่ชิเย่พูดออกมาเช่นนี้ ยอดฝีมือผู้บำเพ็ญตนที่อยู่ด้านนอกจำนวนมากต่างรู้สึกตกใจ เนื่องจากมีน้อยคนนักที่รู้ว่านักพรตฉางเซินได้รับบาดเจ็บ เวลานี้เมื่อทุกคนฟังคำของหลี่ชิเย่แล้วจึงได้เข้าใจในทันที แคว้นว่านโซ่วคิดฉวยโอกาสนี้ทำการหยั่งเชิงต่อหุบเขาอมตะ

“นี่ นี่ นี่เป็นเรื่องบังเอิญ เป็นเรื่องบังเอิญจริงๆ” เซี่ยวหงเจี้ยนรีบพูดขึ้นมา ในเวลานี้เขาไม่สนใจเรื่องฐานะอะไรอีกต่อไปแล้ว อยู่ต่อหน้าความตายฐานะจะมีค่าสักกี่อีแปะเชียว

“ที่แท้ก็เป็นเรื่องบังเอิญนะเนี่ย” หลี่ชิเย่ยิ้มเฉยเมยและกล่าวว่า “เห็นทีมือของข้าเกิดพลาดลื่นไถล แล้วไปฟันเอาหัวของเจ้าออกมาไม่ทันระวังก็คือเรื่องบังเอิญเหมือนกัน คนอย่างข้าชอบที่สุดก็คือเรื่องบังเอิญแล้ว”

สีหน้าของเซี่ยวหงเจี้ยนขาวซีด รับรู้ได้ทันทีว่าในขณะนี้ต่อให้ยอมอ่อนข้อ หรือร้องขอให้ละเว้นก็ไม่เกิดประโยชน์อะไร

“ถ้าหากเจ้าฆ่าข้า เกรงว่าจะเป็นนำพาภัยล่มสลายให้กับหุบเขาอมตะ” สุดท้าย เซี่ยวหงเจี้ยนสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ทีหนึ่ง เมื่อยอมอ่อนข้อ หรือร้องขอให้ละเว้นก็ไม่เป็นผล เขาจึงข่มขู่ว่า “เบื้องหลังของเรื่องนี้ มีคนบางคนที่เจ้ายุ่งด้วยไม่ได้ตลอดไปอย่างเด็ดขาด เป็นสิ่งที่หุบเขาอมตะหาเรื่องไม่ได้ตลอดไป”

“โลกนี้ยังจะมีคนที่ข้ามีเรื่องด้วยไม่ได้อย่างนั้นรึ?” หลี่ชิเย่เผยให้เห็นรอยยิ้มเต็มใบหน้า

“ถูกต้อง” เซี่ยวหงเจี้ยนชักสีหน้าขึ้นทันที กล่าวน่าเกรงขามว่า “คนบางคนเจ้าไม่สามารถหาเรื่องได้ตลอดกาล อีกทั้งเขามาจากเบื้องบน อย่าว่าแต่ฆ่าเจ้าเลย เกรงว่าการทำลายหุบเขาอมตะของพวกเจ้าก็เป็นเรื่องที่ง่ายดายนัก…”

แต่แล้ว เซี่ยวหงเจี้ยนพูดยังไม่จบ มือของหลี่ชิเย่สะบัดออกไป หัวของเขากลิ้งตกลงบนพื้น เลือดสดๆ ทะลักขึ้นจากคอจนพื้นดินแดงฉาน

หัวของเซี่ยวหงเจี้ยนตกลงพื้นและกลิ้งไปไกลมาก ดวงตาคู่นั้นของเขาเบิกกว้างมาก เขานึกไม่ถึงว่าตนเองต้องมาตายแบบนี้ อีกทั้งคำพูดที่พูดข่มขู่หลี่ชิเย่นั้นไม่มีผลแม้แต่น้อย

“คนที่ข้าไม่สามารถไปมีเรื่องได้?” หลี่ชิเย่ยิ้มเฉยเมย ท่าทางเอ้อระเหยเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น “ข้ามีความสุขก็คือทะเลกว้าง ท้องนภาสูง สงบสุขกันทั่วหล้า หากข้าโกรธขึ้นมา ล่มสลายหมื่นชาติ เหล่าราชันสั่นเทา ทั่วหล้านี้ยังมีใครที่ข้ามีเรื่องด้วยไม่ได้รึ?”

คำพูดนี้เอ้อระเหยเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่พาลอย่างไร้ผู้เทียบเทียม ผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างกลั้นลมหายใจเอาไว้ เป็นครั้งแรกที่พวกเขาได้ยินคำพูดที่พาลเช่นนี้ ถึงกับบอกว่าเหล่าราชันสั่นเทา

ภายใต้คำพูดที่พาลเช่นนี้ ทุกคนต่างไม่สามารถเรียกสติกลับมาอยู่นาน มันช่างสะเทือนหวั่นไหวได้มากเหลือเกิน แม้ว่าจะเป็นคำพูดที่พูดออกมาเอ้อระเหยจากปากของหลี่ชิเย่ แต่ยังคงมีความพาลสุดจะเทียบเทียม

สุดท้าย หุบเขาอมตะได้จับกุมศิษย์ของชิงหวังจากแคว้นว่านโซ่วที่ยังคงมีชีวิตอยู่ไว้ทั้งหมด และถูกคุมตัวไปอยู่ด้านนอกประตูสำนัก ไปอยู่ตรงหน้าของหลี่ชิเย่

บรรดาศิษย์เหล่านี้คุกเข่าอยู่ด้านหน้าประตูทางเข้าสำนัก สีหน้าขาวซีดและสั่นเทาไปทั้งร่าง ขณะที่พวกเขาเดินทางมานั้นยืดอกเต็มที่ แต่เวลานี้พวกเขาคือเนื้อที่อยู่บนเขียง

หลี่ชิเย่เพียงมองหน้าพวกเขาไปตามอารมณ์ มือที่โบกออกไป เห็นหัวแต่ละหัวที่กลิ้งตกกับพื้น เลือดสดๆ ไหลนองจนพื้นแดงฉาน

ศิษย์คนสุดท้ายที่ยังคงรอดชีวิตตกใจจนนอนปัสสาวะราดอยู่กับพื้น

“ช่วยส่งข่าวให้ข้าหน่อย” หลี่ชิเย่พูดนุ่มนวลออกมาว่า “ข้าจะหาเวลาว่างไปที่แคว้นว่านโซ่วของพวกเจ้าสักครั้ง ทำลายพวกเจ้าเสีย”

สุดท้าย จัดการโยนผู้รอดชีวิตคนนี้ออกไปตามอารมณ์ ไม่ง่ายนักกว่าศิษย์คนนี้จะได้สติกลับมา ศิษย์ผู้นี้ตกใจจนวิญญาณแทบออกจากร่าง หันหลังออกวิ่งไปทันที อยากจะให้ตัวเองมีขาเพิ่มอีกสองขาเพื่อจะได้หนีไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุดให้รู้แล้วรู้รอดไป

ทุกคนต่างไม่รู้จะพูดอะไรออกมาดี ไม่ว่าจะเป็นยอดฝีมือผู้บำเพ็ญตนที่อยู่ด้านนอก หรือศิษย์ของหุบเขาอมตะเอง เวลานี้พวกเขาต่างมองหน้ากันและกัน

กล่าวสำหรับศิษย์หุบเขาอมตะแล้ว พวกเขาทั้งรู้สึกไม่ค่อยจะคุ้นเคยนัก แต่ที่มีมากกว่านั้นก็คือรู้สึกดีใจอยู่บ้าง เนื่องจากตลอดเวลาท่านมา หุบเขาอมตะของพวกเขาก็จะทำตัวค่อมต่ำเป็นรูปธรรม และส่วนใหญ่แล้วจะไม่แก่งแย่งกับภายนอกอยู่แล้ว

แม้จะกล่าวว่า หุบเขาอมตะของพวกเขาเป็นผู้กุมอำนาจปกครองของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิหุบเขาอมตะ แต่บ่อยครั้งมักจะถูกผู้อื่นมองข้ามอยู่เสมอๆ อย่างนั้น ไม่เหมือนเช่นระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิอื่นๆ ที่พวกเขาล้วนแล้วแต่วางตัวอยู่ในฐานะสูงเด่น บัญชาการทั่วหล้า บงการสำนักเจ้าลัทธิภายใต้ระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิเป็นจำนวนมาก ซึ่งในด้านนี้ส่วนใหญ่แล้วหุบเขาอมตะเลือกที่จะ ปกครองโดยอาศัยคุณธรรมมากกว่า

ด้วยเหตุนี้เอง ในฐานะที่เป็นผู้กุมอำนาจปกครองของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิๆ หนึ่ง ศิษย์หุบเขาอมตะเมื่ออยู่ต่อหน้าผู้บำเพ็ญตนของสำนักเจ้าลัทธิอื่นๆ ภายในระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิของตนไม่มีการพูดจายกตนข่มท่าน หรือว่าวางท่าทีเหนือผู้คนอะไรทำนองนั้น

กระทั่งบางครั้งยังถูกศิษย์ของแคว้นเจ้าลัทธิเหยียบถึงบนหัว เฉกเช่นแคว้นว่านโซ่วเป็นต้น

เวลานี้รูปแบบการกระทำของหลี่ชิเย่แตกต่างไปจากหุบเขาอมตะที่ค่อมต่ำและหลีกเลี่ยงที่จะกระทำการใดๆ กระทั่งเรียกได้ว่าขัดแย้งกันโดยสิ้นเชิง โอหังอวดดี อันธพาล ดุดันเหล่านี้ล้วนแล้วแต่ไม่มีในหุบเขาอมตะมาก่อน

เวลานี้หลี่ชิเย่คำพูดไม่เข้าหูคำเดียวก็เข่นฆ่าครั้งใหญ่ ฆ่าแม้กระทั่งเทพแท้จริงขั้นขึ้นสู่สวรรค์ ฉีกความสัมพันธ์ที่เปราะบางระหว่างหุบเขาอมตะกับแคว้นว่านโซ่วจนขาดกระจุยในพริบตาเดียว กระทั่งไม่คำนึงว่าจะต้องประกาศสงครามกับแคว้นว่านโซ่ว

หากเปลี่ยนเป็นคนอื่นๆ ของหุบเขาอมตะ ต่อให้เป็นระดับบรรพบุรุษก็ไม่เห็นจะสามารถทำเรื่องเช่นนี้ขึ้นมาได้ รูปแบบการทำงานของหุบเขาอมตะตลอดเวลาที่ผ่านมามักจะเผื่อทางหนีทีไล่ให้กับผู้อื่นเสมอๆ ไม่เหมือนหลี่ชิเย่ที่พลันลงมือก็คือสังหารเรียบไม่มีเหลือ

ดังนั้น ขณะที่หลี่ชิเย่ทำการเข่นฆ่าครั้งใหญ่นั้น ศิษย์ของหุบเขาอมตะจำนวนไม่น้อยที่รู้สึกไม่คุ้นชินอยู่บ้าง แต่ส่วนใหญ่คือดีใจ เนื่องจากศิษย์หุบเขาอมตะจำนวนไม่น้อยที่ไม่สบอารมณ์กับแคว้นว่านโซ่วมานานแล้ว คิดจะสั่งสอนอย่างหนักต่อแคว้นว่านโซ่วสักที ให้พวกเขาได้ตระหนักว่าใครคือเจ้าของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิหุบเขาอมตะที่แท้จริง

ไม่ต้องสงสัยเลยว่า สิ่งที่หลี่ชิเย่ได้ทำลงไปในเวลานี้ก็คือสิ่งที่พวกเขาอยากจะทำในใจ ทำให้ศิษย์ของหุบเขาอมตะไม่รู้จำนวนเท่าไรที่รู้สึกสะใจ และรู้สึกว่าได้ลืมตาอ้าปาก

“หุบเขาอมตะจะเข้าสู่ยุทธภพอย่างนั้นรึ?” บรรดายอดฝีมือผู้บำเพ็ญตนที่มองดูอยู่ด้านนอก มีผู้ที่อยู่ในรุ่นอาวุโสถึงกับกล่าวคาดการณ์เอาไว้ เมื่อมองเห็นรูปแบบการทำงานของหลี่ชิเย่ในฐานะศิษย์ลำดับที่หนึ่งกับหุบเขาอมตะต่างกันโดยสิ้นเชิง

ในอดีต ความค่อมต่ำของหุบเขาอมตะเป็นสิ่งที่ทุกคนรู้จักกันดี หุบเขาอมตะมีท่าทีที่ห่างไกลจากโลกของมนุษย์ปุถุชนธรรมดาในสายตาของผู้คน ไม่ชอบยุ่งเกี่ยวกับเรื่องราวบุญคุณความแค้นต่างๆ ในโลกมนุษย์ เวลานี้การกระทำของหลี่ชิเย่เป็นที่ตื่นตะลึงของผู้คน กระทั่งเข่นฆ่าครั้งใหญ่ จึงเป็นที่คาดเดาของผู้คนจำนวนไม่น้อยในเวลานี้

ท่าทีของหลี่ชิเย่อย่างไรก็ได้ สุดแล้วแต่บุคคลภายนอกจะคาดเดา กลับเข้าไปยังหุบเขาร้อยบุปผาด้วยท่าทางที่เป็นปรกติของเขา ไม่ได้ถือเป็นเรื่องใหญ่โตอะไร กล่าวสำหรับเขาแล้ว การสังหารเทพแท้จริง ขั้นขึ้นสู่สวรรค์สักคนนั้น ไม่แตกต่างอะไรสักเท่าไรกับการบี้มดปลวกตายสักตัว

“แคว้นว่านโซ่วหาผู้ที่ให้การสนับสนุนได้แล้ว” ฟ่านเมี่ยวเจินได้เอ่ยขึ้นมาช้าๆ ด้วยท่าทีที่เป็นกังวลอย่างยิ่ง เมื่อเทียบกับหลี่ชิเย่ที่ดูผ่อนคลายและอิสระเสรี

ไม่ว่าจะเป็นคำพูดของชิงหวังแห่งแคว้นว่านโซ่ว หรือเซี่ยวหงเจี้ยนสามารถจับใจความได้ว่า การที่แคว้นว่านโซ่วปฏิบัติการเคลื่อนไหวต่อหุบเขาอมตะขึ้นมากะทันหันนั้น เกรงว่าคงไม่เป็นเพราะแคว้นว่านโซ่วต้องการอยากได้อำนาจของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิหุบเขาอมตะเท่านั้น เบื้องหลังของแคว้นว่านโซ่วมีผู้ที่คอยยุยงปลุกปั่นอยู่

“มีผู้สนับสนุนเป็นเรื่องดี” หลี่ชิเย่ยิ้มกล่าวท่าทีเฉยเมยว่า “ยิ่งคนมากเท่าไร เวลาฆ่าก็จะสนุกมากขึ้นเท่านั้น”

“ท่านพูดได้ง่ายดีนี่” ฟ่านเมี่ยวเจินค้อนขวับหลี่ชิเย่ทีหนึ่งพร้อมกับความงามหยาดเยิ้มของสาวรุ่น กล่าวท่าทางเคืองๆ ว่า “เกรงว่านี่มันจะลากเอาหุบเขาอมตะเข้าไปยังไฟสงครามที่ไม่จบไม่สิ้น”

“ต่อให้หุบเขาอมตะยอมอ่อนข้อถอยให้กับแคว้นว่านโซ่วครั้งแล้วครั้งเล่า หรือแคว้นว่านโซ่วก็จะยอมรามืออย่างนั้นรึ? ทำให้หุบเขาอมตะหลบหนีพ้นจากสงครามได้อย่างนั้นรึ? มันก็แค่ช่วยเพิ่มความฮึกเหิมให้กับแคว้นว่านโซ่วเท่านั้นเอง” หลี่ชิเย่กล่าวท่าทีเมินเฉย

ฟ่านเมี่ยวเจินถึงกับนิ่งเงียบกับคำพูดเช่นนี้ นางเองก็เข้าใจได้ว่าคำพูดนี่ของหลี่ชิเย่เป็นความจริง แคว้นว่านโซ่วต้องการอำนาจของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิหุบเขาอมตะเป็นเวลานานมากแล้ว เพียงแต่พวกเขาไม่มีการเคลื่อนไหวเท่านั้นเอง แต่ไม่ได้หมายความว่าแคว้นว่านโซ่วจะไม่เคลื่อนไหวเช่นนี้ตลอดไป คงมีสักวันที่แคว้นว่านโซ่วจะต้องก่อสงครามขึ้นกับหุบเขาอมตะอยู่แล้ว

หากแคว้นว่านโซ่วต้องการกุมอำนาจปกครองของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิหุบเขาอมตะ ก็ต้องรบชนะหุบเขาอมตะให้ได้ กระทั่งทำลายหุบเขาอมตะเสีย มีเพียงวิธีนี้เท่านั้น แคว้นว่านโซ่วจึงจะกุมอำนาจการปกครองระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิหุบเขาอมตะได้อย่างแท้จริง และบัญชาการทั่วหล้าได้

ดังนั้น ไม่ว่าหุบเขาอมตะจะอ่อนข้อให้อย่างไรก็ตามสงครามก็ต้องเกิด เพียงแต่อยู่ที่ช้าหรือเร็วเท่านั้น

“ข้าต้องการรู้ว่าเป็นใครกันแน่ที่คอยปลุกปั่นยุยงอยู่ข้างหลัง” ฟ่านเมี่ยวเจินถึงกับทอดถอนใจออกมาเบาๆ และกล่าวว่า “นี่เป็นแผนการชั่วอย่างหนึ่ง”

นับตั้งแต่นักพรตฉางเซิน อาจารย์ของนางถูกลอบโจมตี ถึงแคว้นว่านโซ่วมาสู่ขอ กระทั่งทั้งสองฝ่ายปะทะกัน จะต้องมีคนที่คอยวางแผนกำกับอยู่เบื้องหลังอย่างแน่นอนทำนองนั้น

“จะรู้หรือไม่รู้ก็ได้ทั้งนั้น” หลี่ชิเย่พูดออกมาตามอารมณ์ว่า “ภายใต้พลังที่เด็ดขาด จะเป็นแผนชั่วอะไร วางแผนให้ร้ายอะไรมันก็แค่เมฆที่ลอยผ่านไปเท่านั้น ภายใต้พลังที่เด็ดขาด ทุกอย่างที่เรียกว่าเป็นแผนการก็จะต้องถูกสังหารกลายเป็นผุยผงไป”

“ท่านพูดได้ง่ายดายดีนี่” ฟ่านเมี่ยวเจินกล่าวอย่างเคืองๆ แต่ทว่านางเองก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร ถึงได้มีความเชื่อมั่นในคำพูดของหลี่ชิเย่เต็มร้อย

ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร ฟ่านเมี่ยวเจินมักจะรู้สึกว่าหลี่ชิเย่พูดได้ก็ทำได้เสมอ เขาบอกว่าจะสังหารจนกลายเป็นผุยผง ก็ต้องกลายเป็นผุยผง นี่คือศิษย์ที่เป็นกลุ่มคนรุ่นใหม่ของหุบเขาอมตะนะเนี่ย ถึงกับทำให้นางเชื่อในคำพูดของเขาอย่างไม่ลืมหูลืมตา ซึ่งฟ่านเมี่ยวเจินเองก็รู้สึกว่าเรื่องนี้เหลือเชื่อเหลือเกิน

“เจ้าหุบเขาเป็นอย่างไรบ้าง?” หลี่ชิเย่ถามไปตามอารมณ์

ฟ่านเมี่ยวเจินส่ายหน้าเบาๆ และกล่าวว่า “ข้าเองก็ไม่ชัดเจนนัก กระทั่งตอนนี้ข้าเองก็ไม่เคยได้พบเห็นท่านเลย หวังว่าท่านจะไม่เป็นอะไร และเตาบรรพบุรุษสามารถช่วยให้นางฟื้นคืนชีพได้ ต้องสามารถช่วยชีวิตนางได้แน่”

คำพูดประโยคสุดท้าย เป็นการให้กำลังใจตัวเองของฟ่านเมี่ยวเจิน เป็นการปลอบใจตัวเอง

จะอย่างไรเสียกล่าวสำหรับหุบเขาอมตะแล้ว จะไม่นำเอาเตาบรรพบุรุษออกมาใช้ง่ายดาย เวลานี้กระทั่งนำเอาเตาบรรพบุรุษมาใช้ ย่อมสามารถจินตนาการได้ว่าอาการบาดเจ็บของอาจารย์นางนั้นน่ากลัวเพียงใด ดังนั้น จิตใจของนางรู้สึกเป็นกังวลในหลายวันที่ผ่านมา ไม่เพียงแต่นาง ภายในใจของศิษย์ทุกระดับชั้นของหุบเขาอมตะก็ไม่เป็นสุข

Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *