Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล 2278 ว่านโซ่วเหล่าจวิน

Now you are reading Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล Chapter 2278 ว่านโซ่วเหล่าจวิน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตูม…เสียงดังสนั่นหวั่นไหวเสียงหนึ่งดังขึ้น ภายใต้การพุ่งโจมตีของพลังคลื่นกระแทก มองเห็นตำหนักศักดิ์สิทธิ์แต่ละหลังที่ลอยล่องอยู่บนอากาศพลันมลายเป็นเถ้าธุลีไปทันที ต่อให้มีระบบป้องกันที่แข็งแกร่งมากว่านี้ก็ไม่สามารถต้านทานอานุภาพของพลังคลื่นกระแทกนี้เอาไว้ได้

หลังจากที่ตำหนักศักดิ์สิทธิ์กลายเป็นจุณภายใต้การโจมตีของพลังคลื่นกระแทกแล้ว ก็ได้ยิงทะลุภูเขาศักดิ์สิทธิ์ลูกหนึ่งที่อยู่ด้านหลังต่อไป จากนั้นพลังคลื่นกระแทกก็ยังไม่หยุดอยู่เพียงเท่านั้น ได้พุ่งเข้าโจมตีตำหนักศักดิ์สิทธิ์ดึกดำบรรพ์กลุ่มหนึ่งที่ลอยล่องอยู่กลางอากาศ

ตำหนักศักดิ์สิทธิ์ดึกดำบรรพ์กลุ่มนี้ล้อมรอบไปด้วยไอหมอก เสมือนดั่งเป็นตำหนักเทพอันเป็นที่อยู่อาศัยของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ดึกดำบรรพ์อย่างนั้น เปี่ยมด้วยกำลังอำนาจที่ไม่อาจก้าวล่วง ทำให้ผู้พบเห็นถึงกับรู้สึกเคารพยำเกรงขึ้นมา

ขณะที่พลังคลื่นกระแทกยังไม่ทันพุ่งเข้าถึงกลุ่มตำหนักศักดิ์สิทธิ์ดึกดำบรรพ์เหล่านี้ ได้ยินเสียงแว้งค์ดังขึ้น ด้านนอกของตำหนักศักดิ์สิทธิ์ปรากฏแนวป้องกันขึ้นมาเป็นชั้นๆ เพื่อสกัดกั้นพลังคลื่นกระแทกที่ทรงพลังปราศจากผู้เทียบเทียมเช่นนี้ แต่ว่า พลังคลื่นกระแทกมีอานุภาพรุนแรงเหลือเกิน ได้ยินเสียงปัง ปัง ปังดังขึ้น ภายใต้การพุ่งโจมตีของพลังคลื่นกระแทกครั้งแล้วครั้งเล่า แนวป้องกันและละชั้นก็ถูกยิงโจมตีจนทะลุ

พลังคลื่นกระแทกยังไม่แผ่ว หอบเอาอานุภาพที่ทำลายฟ้าดินพุ่งเข้าหากลุ่มของตำหนักศักดิ์สิทธิ์ดึกดำบรรพ์เหล่านั้น

ฮึ…จังหวะที่พลังคลื่นกระแทกพุ่งเข้าโจมตีตำหนักศักดิ์สิทธิ์นั้น เสียงฮึที่เย็นชาดังขึ้นเสียงหนึ่ง แม้จะเป็นเพียงเสียงฮึเบาๆ เท่านั้น มันดังก้องไปทั่วทั้งระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิหุบเขาอมตะ ลำพังแค่เสียงฮึที่เย็นชาเสียงหนึ่งก็สร้างความสะเทือนและสยบสรรพสิ่งมีชีวิตนับล้านล้านได้ แม้แต่กลุ่มของดวงดาวบนท้องฟ้ายังทำท่าสั่นไหวเหมือนจะร่วงหล่นลงมาอย่างนั้น เหมือนว่าแค่เสียงฮึที่เย็นชาเสียงนี้ก็สะเทือนจนจะหล่นลงมา

เสียงปังดังสนั่น เห็นแล้วว่าพลังคลื่นกระแทกกำลังจะพุ่งเข้าไปโจมตีและทำลายกลุ่มของตำหนักศักดิ์สิทธิ์ดึกดำบรรพ์ ทันใดนั้น ปรากฎกำแพงศักดิ์สิทธิ์ด้านหนึ่งลงมาจากท้องฟ้าและขวางอยู่ด้านหน้าของพลังคลื่นกระแทก เสียงจี๊ด จี๊ด จี๊ดที่พุ่งเข้าโจมตีอย่างดุดันดังขึ้นเป็นระลอกไม่ขาดสาย ภายใต้การโจมตีที่พาลและรุนแรงของพลังคลื่นกระแทก เสมือนดั่งสั่นไหวโคลงแคลงไปทั่วทั้งแคว้นว่านโซ่ว แต่ทว่ากำแพงศักดิ์สิทธิ์ด้านนี้ก็ยังคงขวางพลังคลื่นกระแทกที่น่ากลังนี้เอาไว้ได้

สุดท้าย ได้ยินเสียงดังจี๊ดขึ้นมาเสียงหนึ่ง สะเก็ดไฟแตกกระจาย พลังคลื่นกระแทกทั้งหมดที่หลี่ชิเย่ได้ดูดกลืนเข้ามาก็ถูกใช้ไปจนหมดสิ้น แต่ว่ายังคงไม่สามารถยิงทะลุกำแพงศักดิ์สิทธิ์ด้านนั้นไปได้

ไม่รู้ว่ามีผู้คนจำนวนเท่าไรที่ถอนหายใจด้วยความโล่งอกเมื่อเห็นพลังคลื่นกระแทกถูกใช้หมดไปในที่สุด โดยเฉพาะคนของแคว้นว่านโซ่วยิ่งตกใจจนขวัญหนีดีฝ่อกับภัยพิบัติที่ลงมาจากท้องฟ้า เวลานี้ในที่สุดก็สามารถยืนหยัดผ่านไปได้แล้ว ไม่รู้มีผู้คนจำนวนเท่าไรที่ถอนหายใจยาวออกมา

บนแท่นโอสถเงียบสงัดไปทั่วบริเวณ หลี่ชิเย่อาศัยมือเปล่าก็แยกร่างหุ่นมังกรเงินยักษ์ได้ อาศัยหมัดสังหารทำลายกองทัพมังกรเงิน ก็ได้สร้างความสะเทือนหวั่นไหวและสยบผู้คนจำนวนมากจนไม่กล้าแม้จะเอ่ยคำใดๆ ออกมา เวลานี้แค่ขยับตัวก็อาศัยพลังคลื่นกระแทกจัดการทำลายสำนักพระราชวังไปครึ่งค่อน ด้วยฝีมือเช่นนนี้ดูจะอันธพาลใช้อำนาจบาตรใหญ่เกินไป นี่มันออกจากบ้าระห่ำรุนแรงเกินไปแล้วกระมัง เป็นลักษณะของความดุร้ายจนเละเทะไปหมด ไม่สามารถหาคำใดๆ มาเปรียบเปรยตัวเขาได้อีกแล้ว

“สมควรออกมาได้แล้ว ให้ข้าได้พบกับฝีมือที่เข้าท่าหน่อย มิฉะนั้นล่ะก็อาศัยฝีมือเพียงแค่นี้แล้วมาเป็นศัตรูกับข้านับว่าอ่อนเหลือเกิน ทำให้ข้าเวลาที่ฆ่าไปแล้วก็ไร้ความหมายอะไร” หลี่ชิเย่ยืนเอามือไพล่หลัง กล่าวด้วยท่าที่สบายๆ

เวลานี้ หลี่ชิเย่ที่ยืนเอามือไพล่หลัง มองเห็นชุดที่สวมใส่ปลิวไปตามลม ตัวเขาที่ยืนอยู่ตรงนั้นไม่ได้มีกลิ่นอายที่สะเทือนฟ้าดิน ไม่มีชื่อเสียงบารมีที่ปราศจากผู้ต่อกร เป็นเพียงการยืนไปตามอารมณ์เท่านั้นเอง

แต่การยืนตามอารมณ์เช่นนี้แหละ ทุกคนที่มองเห็นเงาหลังของเขาแล้วก็ต้องหวาดกลัวจนขนลุกซู่ ไม่รู้ว่ามีผู้คนจำนวนเท่าไรที่มีความรู้สึกว่าการยืนอยู่ตรงนั้นของหลี่ชิเย่เป็นการสยบหัวใจของทุกคนเอาไว้ ทำให้ทุกคนรู้สึกหายใจด้วยความลำบาก ทำให้ทุกคนรู้สึกว่าตนเองถูกหลี่ชิเย่สยบจนไม่มีความกล้าแม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมา ยิ่งไม่ต้องพูดถึงความกล้าที่จะไปจ้องมองหลี่ชิเย่ตรงๆ อีกเลย

พาลและใช้อำนาจบาตรใหญ่ ปราศจากผู้ต่อกร มีเพียงหนึ่งเดียวในหล้า คำพูดเหล่านี้ไม่พอที่จะไปเปรียบเปรยเขาได้อีกต่อไป นาทีนี้เหมือนว่าเขาได้บงการทั่วทั้งระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิหุบเขาอมตะเอาไว้แล้ว เหมือนว่าเขาคือผู้ที่ดำรงอยู่ในฐานะสูงสุดของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิหุบเขาอมตะ

“เฉกเช่นขณะอยู่ที่ระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงอย่างนั้น” แม้แต่ตันหวังฟงเซี่ยวเฉินที่อยู่ระหว่างการต่อสู้อย่างดุเดือดยังต้องทอดถอนใจออกมาคำหนึ่ง

ครั้งนั้นขณะอยู่ที่ระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงนั้น หลี่ชิเย่ก็ได้ควบคุมไปทั่วทั้งระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหง เวลานี้หลี่ชิเย่ในระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิหุบเขาอมตะก็ได้ทำการควบคุมพลังของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิเอาไว้ทั้งหมด ฟงเซี่ยวเฉินไม่รุ้ว่าหลี่ชิเย่ทำได้อย่างไรกันแน่ แต่เขาชัดเจนมากว่า การที่นักพรตฉางเซินมอบตำแหน่งศิษย์ลำดับที่หนึ่งให้กับหลี่ชิเย่เป็นการกระทำที่ชาญฉลาดมากอย่างไม่ต้องสงสัย

เอี๊ยด…เอี๊ยด…เอี๊ยด…ในเวลานี้เอง กำแพงด้านนั้นที่กั้นขวางอยู่ด้านหน้าของตำหนักศักดิ์สิทธิ์ได้ลอยขึ้นมาอย่างช้าๆ และตำหนักศักดิ์สิทธิ์ได้ปรากฏขึ้นต่อสายตาของทุกคนอีกครั้ง

แว้งค์…หลังจากที่กำแพงศักดิ์สิทธิ์ได้ลอยขึ้นไปอย่างสิ้นเชิงแล้วนั้น ปรากฏประกายศักดิ์สิทธิ์แต่ละสายที่พุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า โดยที่ประกายศักดิ์สิทธิ์แต่ละสายนี้แฝงไว้ซึ่งจิตเทพที่เป็นอมตะ เหมือนว่าจิตเทพลักษณะเช่นนี้สามารถรองรับได้กับการขัดเกลาของวันเวลา สามารถรองรับกับการกัดกร่อนของกาลเวลาได้

หลังจากที่ประกายศักดิ์สิทธิ์แต่ละสายที่พุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าแล้ว ตามติดด้วยวงแหวนศักดิ์สิทธิ์แต่ละวง วงแหวนศักดิ์สิทธิ์แต่ละวงมีการหมุนวนไม่หยุดนิ่ง เหมือนว่าเป็นการวิวัฒนาการโลกธาตุ ท่ามกลางโลกธาตุนี้มีทางช้างเผือกที่กว้างใหญ่ไพศาลไร้ขอบเขต มีสรรพสิ่งมีชีวิตนับหนึ่งล้านล้านล้านชีวิต

ไม่ว่าจะเป็นสรรพสิ่งมีชีวิตจำนวนหนึ่งล้านล้านล้านชีวิต หรือจะเป็นทางช้างเผือกที่กว้างใหญ่ไพศาลไร้ขอบเขตก็ตาม ล้วนแล้วแต่มีศูนย์กลางอยู่จุดหนึ่ง ซึ่งศูนย์กลางนี้คือต้นกำเนิดของโลกธาตุนี้ และเป็นที่พักพิงสุดท้ายของสรรพสิ่ง

เสียงตูม…ดังสนั่น วันเวลารวมตัวกันอย่างฉับพลัน เสมือนหนึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงของยุคสมัยหนึ่ง เสมือนดั่งพันล้านปีได้รวมกันในนาทีนี้ ท่ามกลางแสงที่ที่ละลานตาปรากฏร่างเงาร่างหนึ่งขึ้น

ร่างเงานี้มีขนาดสูงใหญ่สูงสุดปราศจากผู้ใดเทียม ยามที่เขานั่งขัดสมาธิอยู่ตรงนั้น เหมือนว่าเขาก็คือศูนย์กลางของโลกธาตุหนึ่ง ไม่เพียงสรรพสิ่งมีชีวิตนับล้านล้านต้องกราบไหว้เขา แม้แต่ทางช้างเผือกที่กว้างใหญ่ไพศาลไร้ขอบเขตยังต้องล้อมรอบตัวของเขา ท่ามกลางโลกธาตุเช่นนี้ ตัวเขาคือผู้ดำรงอยู่ในฐานะสูงสุด

คนผู้นี้เป็นผู้เฒ่าคนหนึ่ง ผมเผ้ามีสีขาวอยู่บ้าง เมื่อเขาลืมตาทั้งสองขึ้นก็จะส่องสว่างไปทั่วทั้งโลก ทำให้สรรพสิ่งมีชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วนต้องสั่นเทา

“ท่านบรรพบุรุษ…” ภายในพระราชวังของแคว้นว่านโซ่ว ยอดฝีมือจำนวนนับไม่ถ้วน กระทั่งรวมทั้งผู้ยิ่งใหญ่ระดับบรรพบุรุษอยู่บ้าง พากันคุกเข่าเต็มพื้นที่ไปหมดเมื่อได้มองเห็นผู้เฒ่าผู้นี้

“ท่านบรรพบุรุษ…” แม้แต่กษัตริย์แคว้นว่านโซ่วที่อยู่ไกลจนถึงแท่นโอสถก็คุกเข่ากับวพื้น รู้สึกตื่นเต้นยิ่งนัก

‘ว่านโซ่วเหล่าจวิน!’ ผู้พเนจรหยางหมิงถึงกับเพ่งสองตาไปข้างหน้าและมีสีหน้าที่หนักแน่นจริงจังขึ้นมา เมื่อมองเห็นผู้ที่ดำรงอยู่ในฐานะเช่นนี้

‘ว่านโซ่วเหล่าจวิน!’ ผู้แทนของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิแต่ละแห่งต่างเสียวสันหลังวาบเมื่อได้ยินชื่อนี้ มองดูผู้เฒ่าที่อยู่ตรงหน้าแล้วต่างรู้สึกว่าเป็นเรื่องที่ไม่น่าเป็นไปได้

“ว่านโซ่วเหล่าจวินเหอเฉียนหยี่…” มีผู้แทนของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิถึงกับพึมพำออกมาว่า “เขา เขาไม่เพียงยังไม่ตาย ทั้งยังคงรั้งอยู่ในแดนลัทธิพรรษไม่ได้เข้าไปยังแดนลัทธิราชัน แคว้นว่านโซ่วต้อง ต้อง ต้องอาศัยทรัพยากรจำนวนเท่าไรมาเลี้ยงดูเขา”

“ว่านโซ่วเหล่าจวิน…” ไม่รู้ว่ามีระดับบรรพบุรุษของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิหุบเขาอมตะจำนวนเท่าไรที่อยู่ท่ามกลางแท่นโอสถแห่งนี้ต้องตกใจจนวิญญาณแทบออกจากร่าง ถึงกับหวาดผวาจนขนลุกซู่ กล่าวด้วยความหวาดผวาว่า “เขา เขาถึงกับยังมีชีวิตอยู่ และยังคงอยู่ในแดนลัทธิพรรษ!”

เวลานี้ไม่รู้ผู้คนจำนวนเท่าไรถูกทำให้ต้องหวั่นไหว กระทั่งมียอดฝีมือของสำนักที่ยืนหยัดสนับสนุนหุบเขาอมตะรู้สึกสิ้นหวังอยู่บ้าง พึมพำแผ่วเบาว่า “ต้านเขาได้หรือไม่นะ?”

“ว่านโซ่วเหล่าจวิน บรรพบุรุษของแคว้นว่านโซ่วถึงกับยังมีชีวิตอยู่ ย่อมเป็นการดีที่สุดแล้ว” ระดับบรรพบุรษที่หันไปสนับสนุนแคว้นว่านโซ่ว พลันรู้สึกดีใจอย่างยิ่ง

ชื่อของว่านโซ่วเหล่าจวินเหอเฉียนหยี่ อย่าว่าแต่ยอดฝีมือผู้บำเพ็ญตน ของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิหุบเขาอมตะเลย แม้แต่ระดับผู้ยิ่งใหญ่จำนวนมากของแดนลัทธิพรรษเมื่อได้ยินชื่อบุคคลผู้นี้แล้ว ล้วนแล้วแต่ต้องรุ้สึกเย็นวาบบในใจ

ว่านโซ่วเหล่าจวินบุคคลผู้ซึ่งเคยเป็นหนึ่งในระดับบรรพบุรุษที่แข็งแกร่งที่สุดของแคว้นว่านโซ่ว เขาเคยเป็นอาจารย์ของราชันแท้จริงเป่าโซ่วแห่งแคว้นว่านโซ่ว เป็นระดับอมตะคนหนึ่ง ฟังว่าก่อนหน้านี้ก็มีชื่อเสียงบารมีดังก้องแดนลัทธิพรรษมานานมากแล้ว เคยมีศักดิ์ศรีเสมอด้วยราชันแท้จริงจำนวนมาก

สมควรทราบว่า ระดับเทพแท้จริงขั้นขึ้นสู่สวรรค์นั้น ต่อให้เป็นเทพแท้จริงขั้นสวรรค์ชั้นเก้าก็ไม่กล้าบอกว่าสามารถต้านกับราชันแท้จริงได้ หรือต่อให้ทำได้ก็ต้องเป็นราชันแท้จริงระดับล่าง แต่ทว่าเทพแท้จริงขั้นอมตะนั้นแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง เทพแท้จริงระดับนี้สามารถต้านรับเสมอด้วยราชันแท้จริงได้จริง อีกทั้งมักจะไม่ใช่ราชันแท้จริงระดับล่างเสมอๆ

ตัวว่านโซ่วเหล่าจวินเองมีศักยภาพที่น่าสยองขวัญมาแต่เดิมอยู่แล้ว ยิ่งไปกว่านั้นเขายังเป็นถึงอาจารย์ของราชันแท้จริงว่านโซ่ว อาศัยฐานะที่สูงส่งเช่นนี้แล้ว แม้จะเป็นแดนลัทธิพรรษก็สยบมายุคแล้วยุคเล่า

ผู้คนจำนวนมากเข้าใจว่าเฉกเช่นผู้ซึ่งดำรงอยู่ในฐานะอมตะอย่างว่านโซ่วเหล่าจวินนั้น น่าจะไปจากแดนลัทธิพรรษไปอยู่ ณ แดนลัทธิราชันนานแล้ว จะอย่างไรเสียก็เหมือนดั่งราชันแท้จริงก็มักจะไปจากแดนลัทธิพรรษอยู่เสมอๆ เพื่อไปอยู่ที่แดนลัทธิราชัน หรือกระทั่งแดนลัทธิเซียน

ขณะที่เทพแท้จริงเมื่อก้าวไปถึงระดับหนึ่งแล้วก็จะก้าวสูงขึ้นไปเช่นกัน เช่นเดียวกับเทพแท้จริงของแดนลัทธิพรรษ ถ้าหากก้าวจนถึงระดับอมตะไปแล้วก็จะคิดหาหนทางเพื่อเข้าไปยังแดนลัทธิราชัน มีอยู่น้อยมากที่ระดับเทพแท้จริงก้าวจนถึงขั้นอมตะแล้วยังคงรั้งอยู่ในแดนลัทธิพรรษ

เหตุผลนั้นง่ายมาก การไปอยู่ที่แดนลัทธิราชันสามารถมีชีวิตที่ยืนยาวมากกว่าอยู่ในแดนลัทธิพรรษ ขณะที่แดนลัทธิเซียนก็จะมีอายุขัยยืนยาวกว่าแดนลัทธิราชัน และนี่ก็คือเหตุผลว่าเพราะอะไรไม่ว่าจะเป็นราชันแท้จริงหรือเทพแท้จริงก็จะก้าวเดินให้สูงขึ้นๆ เรื่อยๆ ขณะเดียวกันในนี้ราชันแท้จริงยังมีข้อได้เปรียบที่มากยิ่งไปกว่าเทพแท้จิรงอีก เป็นต้นว่าเทพแท้จริงขั้นอมตะที่มีศักยภาพพอๆ กับราชันแท้จริงองค์หนึ่ง แต่ทว่า ย่อมไม่ต้องสงสัยว่า ราชันแท้จริงสามารถเข้าสู่แดนลัทธิราชันได้ง่ายกว่าระดับอมตะ กระทั่งมีความเป็นไปได้ที่ราชันแท้จริงผู้นี้ได้ก้าวสู่แดนลัทธิเซียนแล้ว ขณะที่เทพแท้จริงขั้นอมตะเพิ่งจะก้าวขึ้นสู่แดนลัทธิราชันเท่านั้นเอง

สิ่งนี้ก็คือหนึ่งในข้อได้เปรียบสำคัญที่สุดระหว่างราชันแท้จริงกับเทพแท้จริง

ย่อมไม่ต้องสงสัยเลยว่าว่านโซ่วเหล่าจวินเป็นระดับอมตะที่แข็งแกร่งยิ่งคนหนึ่ง เขาเคยบ่มฟักราชันแท้จริงเป่าโซ่วมาก่อน อาศัยที่เขาเป็นผู้ดำรงอยู่ในฐานะระดับเช่นนี้แล้ว ไม่ว่าจะอย่างไรก็ต้องก้าวขึ้นสู่แดนลัทธิราชัน จะอย่างไรเสียการไปอยู่ที่แดนลัทธิราชันสามารถมีชีวิตอยู่ได้ยืนยาวยิ่งกว่า ต่อให้ทำการผนึกร่างของตนเอาไว้ การไปผนึกร่างตนเองที่แดนลัทธิราชันก็สามารถผนึกร่างอยู่ได้นานกว่าอยู่ที่แดนลัทธิพรรษ การสูญเสียด้านของลมปราณก็ช้ากว่ากันยิ่งกว่า

แต่ทว่า สิ่งที่ทำให้ทุกคนนึกไม่ถึงก็คือ ว่านโซ่วเหล่าจวินถึงกับยังคงรั้งอยู่ในแคว้นว่านโซ่วไม่ได้จากไป ยิ่งกว่านั้นยังไม่ได้เข้าไปยังแดนลัทธิราชัน ช่างเป็นเรื่องที่ไม่ง่ายเลย และสามารถจินตนาการได้ว่าการที่แคว้นว่านโซ่วเลี้ยงดูระดับอมตะเช่นนี้เอาไว้ต้องอาศัยทรัพยากรที่น่าตกใจเพียงใด

แน่นอนที่สุด กล่าวสำหรับแดนลัทธิพรรษแล้ว ระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิๆ หนึ่งหากมีระดับอมตะนั่งบัญชาการอยู่สักคนก็นับว่าน่าตกใจอย่างยิ่งแล้ว ขณะที่แคว้นๆ หนึ่งถึงกับมีระดับอมตะอยู่ มันช่างเป็นเรื่องที่น่ากลัวเพียงใด!

ไม่รู้ว่ามีผู้คนจำนวนเท่าไรที่รู้สึกใจหายใจคว่ำเมื่อมองเห็นว่านโซ่วเหล่าจวิน รู้สึกสะท้านโดยสิ้นเชิง และเป็นที่เข้าใจแล้วว่าเพราะอะไรแคว้นว่านโซ่วจึงหาญกล้าและมั่นใจในการชิงบัลลังก์แย่งอำนาจ การมีระดับอมตะนั่งบัญชาการเช่นนี้ก็คือธาตุแท้ภายในที่สำคัญที่สุดของแคว้นว่านโซ่ว และเป็นความมั่นใจในการท้ารบกับหุบเขาอมตะของพวกเขา

“ถ้าหากหุบเขาอมตะไม่ได้มีระดับอมตะล่ะก็ เกรงว่าคงต้านว่านโซ่วเหล่าจวินไม่ได้จริงๆ เกรงว่าโอกาสที่แคว้นว่านโซ่วจะชิงบัลลังก์แย่งอำนาจได้สำเร็จคงจะสิบเต็มสิบแล้วล่ะ” ระดับบรรพบุรุษตระกูลขุนนางโบราณถึงกับสั่นเทิ้มเมื่อมองเห็นว่านโซ่วเหล่าจวิน

จะอย่างไรเสียทุกคนล้วนแล้วแต่ไม่เคยได้ยินมาก่อนว่าหุบเขาอมตะมีระดับเทพแท้จริงขั้นอมตะคนใดนั่งบัญชาการ แม้จะกล่าวว่าหุบเขาอมตะก็เคยกำเนิดเทพแท้จริงขั้นอมตะมาเหมือนกัน แต่เกรงว่าคงไปจากแดนลัทธิพรรษนานแล้ว เข้าไปยังแดนลัทธิราชันนานแล้ว

…………………………………………………….

Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *