Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล 2181 ทวนราชันขวางตี้

Now you are reading Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล Chapter 2181 ทวนราชันขวางตี้ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

แม้จะกล่าวว่า เทพแท้จริงหลังจากก้าวไปถึงขั้นสูงแล้ว ถ้าไม่บรรลุสัจธรรมเพื่อเป็นราชัน ไม่ก็เลือกก้าวขึ้นสู่สวรรค์เป็นเทพ แต่ทว่ากล่าวสำหรับระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงแล้ว ระดับเทพแท้จริงนับว่ามีความแข็งแกร่งยิ่งนัก ไม่ว่าจะเป็นเทพแท้จริงขั้นสูง เทพแท้จริงขั้นกลาง กระทั่งเทพแท้จริงขั้นต้น

จะอย่างไรเสียระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงได้เสื่อมลงแล้ว กล่าวสำหรับสำนักหรือตระกูลขุนนางโบราณใดๆ ก็ตาม สามารถมีระดับเทพแท้จริงสักคนก็นับว่ายอดเยี่ยมมากแล้ว ส่วนจะขึ้นสู่สวรรค์ หรือบรรลุเป็นราชันนั้น เป็นสิ่งที่สำนักหรือตระกูลขุนนางโบราณจำนวนมากไม่กล้าแม้แต่จะคิด

อย่างไรก็ตาม เวลานี้หลี่ชิเย่กลับชี้หน้าด่าว่าเทพแท้จริงขั้นสูงเป็นสวะ คำพูดที่อันธพาลเช่นนี้พลันสร้างความหวั่นไหวให้กับทุกคน ลองนึกดู ทั่วทั้งระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงมีใครบ้างที่หาญกล้าด่าเทพแท้จริงขั้นสูงว่าเป็นสวะโดยตรง? ไม่ว่าใครก็ไม่มีศักยภาพเช่นนี้ ไม่มีความกล้าที่จะทำเช่นนี้.

แต่ว่า หลี่ชิเย่กลับทำได้แล้วในเวลานี้ ดังนั้น บรรดาผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ทั้งหมดต่างอ้าปากตาค้าง ทำให้ทุกคนต่างงงงัน ทุกคนล้วนแล้วแต่รู้สึกว่าหลี่ชิเย่ช่างพาลเหลือเกิน ความพาลลักษณะเช่นนี้ในระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงไม่มีใครสามารถเทียบเคียงได้

เวลานี้ ไม่ว่าหลี่ชิเย่สามารถเอาชนะเทพแท้จริงทั้งเจ็ดที่อยู่ตรงหน้าได้หรือไม่ ลำพังอาศัยแค่ความพาลเช่นนี้ อาศัยความกล้าหาญเช่นนี้ ก็เพียงพอที่จะให้ผู้คนต้องเลื่อมใสอย่างยิ่งแล้ว

การที่หลี่ชิเย่ด่าว่าพวกเขาตรงๆ ว่าเป็นสวะ พลันทำให้สีหน้าของตรีเทพแห่งหอศักดิ์สิทธิ์ และสี่ปราชญ์แห่งกองกำลังซั่งดูไม่จืดถึงขีดสุด แม้ว่าหลี่ชิเย่จะด่าปราชญ์ภูผาพิโรธเพียงคนเดียวก็จริง แต่ว่าในความเป็นจริงแล้วก็คือเหมารวมพวกเขาทั้งเจ็ดเข้าไปด้วย

พวกเขาคือระดับบรรพบุรุษที่แข็งแกร่งที่สุดของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงในปัจจุบัน มีตำแหน่งและอำนาจสูงส่ง สามารถชี้เป็นชี้ตายได้ ไม่ว่าผู้เยาว์คนใดเมื่ออยู่ต่อหน้าพวกเขาก็ไม่กล้าทำกำเริบเสิบสาน มาวันนี้หลี่ชิเย่กลับด่าต่อหน้าพวกเขาตรงๆ ว่าเป็นสวะ มันเท่ากับเป็นการตบหน้าพวกเขาอย่างแรงเลยทีเดียว

“ผู้เยาว์ วันนี้ข้านี่แหละจะชำระล้างศิษย์ทรยศให้กับระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหง ต้องสับเจ้าให้เป็นหมื่นๆ ชิ้น” เวลานี้แววตาทั้งสองของปราชญ์ภูผาพิโรธพลันจ้องมองด้วยความโกรธ เผยปณิธานการฆ่าที่น่ากลัวที่สุดออกมา น้ำเสียงของเขาเย็นชา ยามที่เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่เย็นชาเช่นนี้ ไม่รู้ว่ามีผู้คนจำนวนเท่าไรที่รู้สึกถึงความเยือกเย็นที่เข้าไปถึงกระดูกดำ ทำให้ถึงกับต้องหวาดกลัวจนขนลุกซู่

ทุกคนสามารถรับรู้ได้ถึงปณิธานการฆ่าที่น่ากลัวของปราชญ์ภูผาพิโรธ ทำให้ผู้คนจำนวนมากต้องสะท้าน ไม่รู้ว่าผู้คนจำนวนเท่าไรที่ต้องทยอยกันถอยหลังเพื่อออกห่างจากสมรภูมิรบให้ไกล ป้องกันไม่ให้ต้องพลอยฟ้าพลอยฝนไปด้วย

“อาศัยพวกเจ้าอย่างนั้นรึ?” หลี่ชิเย่ถึงกับหัวเราะและหลี่ชิเย่ “อาศัยพวกเจ้าก็มีสิทธิ์มาชำระล้างศิษย์ทรยศให้กับระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงรึ? ให้ข้าเป็นผู้ชำระล้างศิษย์ทรยศให้กับระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงยังจะเข้าท่ากว่า”

“ผู้เยาว์ ข้าจะเอาศีรษะของเจ้า!” คำพูดหลี่ชิเย่ที่อวดดีเช่นนี้ ทำเอาสี่ปราชญ์แห่งกองกำลังซั่ง ตรีเทพแห่งหอศักดิ์สิทธิ์โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ เทพฟ้าคะนองผู้นำของตรีเทพแห่งหอศักดิ์สิทธิ์ก้าวออกมาและกล่าวเสียงทุ้มต่ำขึ้นมา

ยามที่เทพฟ้าคะนองผู้นี้ก้าวออกมาตวาดเสียงดังนั้น เสียงฟ้าผ่าดังขึ้นเป็นระลอก เหมือนฟ้าผ่าลงมาจริงๆ อย่างนั้น สามารถสยบจิตใจของผู้คน ทำให้ขาทั้งสองข้างถึงกับอ่อนแรง

“แค่เทพแท้จริงขั้นสูงเท่านั้น อย่าเรียกว่าเป็นเมนูเรียกน้ำย่อยเลย ไม่พอให้ข้าได้อุดขี้ฟันเสียด้วยซ้ำ” หลี่ชิเย่โบกมือเบาๆ กล่าวด้วยท่าทีตามอารมณ์ยิ่งนักว่า “ในเมื่อพวกเจ้าก็มากันแล้ว อย่าทำให้ข้าต้องเสียเวลาเลย พวกเจ้าทั้งเจ็ดเข้ามาพร้อมๆ กันเลย ข้าอาศัยไม่กี่กระบวนท่าก็จัดการได้แล้ว อย่างนี้ก็ดีเหมือนกัน ข้าจะได้ไปทำเรื่องที่เป็นงานเป็นการมากกว่านี้”

เมื่อคำพูดลักษณะเช่นนี้ถูกพูดออกมา เทพแท้จริงทั้งเจ็ดถูกยั่วโมโหจนมีสีหน้าที่ดูไม่จืดถึงขีดสุด ส่วนคนอื่นๆ ที่อยู่ในเหตุการณ์เรียกได้ว่าต้องอึ้งไปโดยสิ้นเชิง ในโลกนี้ไม่สามารถค้นหาคนที่พาลมากกว่าคนโหดอันดับหนึ่งได้อีกแล้ว เขาพาลขึ้นไปถึงบนฟ้าแล้ว

“ดี ดี ดี คนหนุ่มมีพลังที่น่าเคารพเลื่อมใส คนหนุ่มมีพลังที่น่าเคารพเลื่อมใสยิ่งนัก ข้าก็อยากจะรู้นักว่าเจ้าสามารถยืนหยัดได้สักกี่เพลงจากพวกเราทั้งเจ็ด!” เวลานี้เทพฟ้าคะนองโกรธจัดจนต้องหัวเราะออกมา และร้องกล่าวด้วยความโกรธ

เวลานี้ ตรีเทพแห่งหอศักดิ์สิทธิ์ และสี่ปราชญ์แห่งกองกำลังซั่งต่างลุกขึ้นยืนพร้อมกัน พวกเขาต่างยึดกันคนละมุมล้อมหลี่ชิเย่เอาไว้ทุกด้าน กลิ่นอายเทพแท้จริงที่น่ากลัวบนตัวของพวกเขาเข้าสยบโดยตรงต่อหลี่ชิเย่

ในเวลานี้ ทุกคนต่างกลั้นลมหายใจเอาไว้ ทุกคนจ้องมองภาพที่อยู่ตรงหน้าอย่างไม่คลาดสายตา ทุกคนอยากจะเห็นด้วยตาตนเองว่าการลงมือของเทพแท้จริงจะมีอานุภาพเพียงใด แต่ก็มีคนที่เกรงว่าจะถูกลูกหลงจนต้องถอยห่างออกไปให้ไกล

ไม่รู้ว่ามีผู้คนจำนวนเท่าไรที่รู้สึกกังวลใจอย่างยิ่ง ทุกคนต่างรู้สึกว่าอาศัยหลี่ชิเย่ตรงหน้าลำพังคนเดียวไม่สามารถต่อกรกับเทพแท้จริงทั้งเจ็ดได้อยู่แล้ว เกรงว่าจะต้องถูกเทพแท้จริงทั้งเจ็ดสังหารแน่

เวลานี้ทุกคนต่างกลั้นลมหายใจเอาไว้ ด้วยจิตใจที่เป็นกังวลยิ่ง ทุกคนรู้สึกเหมือนรอไม่ไหวแล้วกับศึกที่จะเกิดขึ้นครั้งนี้

เสียงตูม…ดังขึ้นสนั่น ในขณะที่สองฝ่ายกำลังจะปะทะกันนั้น พลันบังเกิดเสียงดังสนั่นทำให้ทั่วทั้งบริเวณสั่นไหวโคลงเคลงทีหนึ่ง

แต่ทว่า เสียงดังสนั่นที่เกิดขึ้นกะทันหันนี้ไม่ได้เกิดจากการลงมือของหลี่ชิเย่ และไม่ได้เกิดจากการลงมือของเจ็ดเทพแท้จริง

เสียงนี้มาจากหลุมขนาดยักษ์ที่อยู่ภายในเขาฟันหลอนั่น จากเสียงที่ดังขึ้นมองเห็นโลหิตที่ดั่งคลื่นยักษ์ ทันใดนั้น ภายในหลุมขนาดยักษ์ได้พวยพุ่งเป็นน้ำเลือดขึ้นมา

ตูม…ตูม…ตูม…ภายในระยะเวลาอันสั้น หลุมขนาดยักษ์ได้พวยพุ่งน้ำเลือดออกมาติดต่อกันรวดเดียวถึงสามครั้ง โดยน้ำเลือดนี้ได้พวยพุ่งขึ้นมาอย่างรุนแรง เสมือนดั่งภูเขาไฟระเบิดอย่างนั้น

แต่ว่า นี่หาใช่เป็นการระเบิดของภูเขาไฟ และที่พวยพุ่งขึ้นมาก็ไม่ใช่ลาวา แต่เป็นน้ำเลือด น้ำเลือดที่พวยพุ่งออกมานั้นมีสีแดงอมดำ คล้ายเป็นเลือดเสียอย่างนั้น ยามที่น้ำเลือดนี้พวยพุ่งขึ้นมา ปรากฎกลิ่นที่แสบจมูกตลบอบอวลไปทั่วเขาฟันหลอ

“นี่ นี่ นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้น?” ทุกคนล้วนแล้วแต่ถูกทำให้ตกใจเมื่อหลุมยักษ์ได้พวยพุ่งเป็นน้ำเลือดออกมา โดยเฉพาะสีของมันที่เป็นแดงอมดำ คล้ายเป็นเลือดเสียอย่างนั้น ยิ่งทำให้ผู้คนจำนวนมากต้องเซ่อไปเลย

ปุ ปุ ปุขณะที่น้ำเลือดพวยพุ่งขึ้นมานั้น ภายในหลุมยักษ์ตลบอบอวลไปด้วยน้ำเลือด กลิ่นที่แสบจมูกยิ่งทำให้ผู้คนจำนวนมากอยากจะอาเจียนออกมา

ทั้งตรีเทพแห่งหอศักดิ์สิทธิ์ และสี่ปราชญ์แห่งกองกำลังซั่งล้วนแล้วแต่หันหลังกลับไปทันที เมื่อมองเห็นน้ำเลือดที่พวยพุ่งออกมากะทันหัน พวกเขาถึงกับจ้องมองดูน้ำเลือดที่พวยพุ่งออกมาอย่างไม่ลดละ

เวลานี้ ทุกคนล้วนแล้วแต่ลืมเรื่องความขัดแย้งระหว่างหลี่ชิเย่กับเทพแท้จริงทั้งเจ็ดไปแล้ว ทุกคนถูกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกะทันหันดึงดูดเอาไว้ ทุกคนต่างอดที่จะหันหลังกลับไปมองดูน้ำเลือดที่อยู่ในหลุมยักษ์ไม่ได้

ทุกคนต่างรู้สึกหวาดกลัวจนขนลุกซู่ ขณะมองดูน้ำเลือดที่เหมือนเลือดเสียปูดเป็นฟองฟอดขึ้นมา ผู้คนจำนวนมากต่างรู้สึกได้ถึงจิตใจที่ไม่สงบ เหมือนมีอะไรบางอย่างที่ไม่เป็นมงคล

“ในครั้งนั้น…ระดับบรรพบุรุษที่มีความอาวุโสยิ่งเมื่อมองเห็นหลุมยักษ์ที่พวยพุ่งเป็นน้ำเลือดออกมาถึงกับมีสีหน้าที่เปลี่ยนไปมากทีเดียว เมื่อหวนนึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงในครั้งนั้น เพียงแต่หลังจากเกิดเรื่องนี้ขึ้นแล้ว ผู้ที่รับรู้ถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในครั้งนั้นต่างไม่ต้องการไปเอ่ยถึงและปิดปากเงียบ ทำให้ชนรุ่นหลังไม่มีผู้ใดรับรู้ถึงเบื้องหลังของเรื่องราวที่เกิดขึ้น!”

เอี๊ยด…เอี๊ยด…เอี๊ยด…ในขณะที่น้ำเลือดกำลังปูดเป็นฟองอยู่นั้น ได้ยินเสียงการเคลื่อนตัวของสิ่งของที่มีน้ำหนักมาก เหมือนว่าภายใต้น้ำเลือดนี้มีสิ่งของบางอย่างจะลอยขึ้นมาอย่างนั้น

“มันคือสิ่งนี่แหละ!” ไม่ว่าจะเป็นตรีเทพแห่งหอศักดิ์สิทธิ์ หรือว่าสี่ปราชญ์แห่งกองกำลังซั่งพลันดวงตาเป็นประกายเมื่อได้ยินเสียงเคลื่อนที่ที่หนักอึ้งเช่นนี้ ต่างก้าวไปข้างหน้าทันที และไม่มีทีท่าที่จะลงมือต่อหลี่ชิเย่อีก

เสียงน้ำดังช่าาาขึ้นมา ในเวลานี้เอง ปรากฏสิ่งของสิ่งหนึ่งค่อยๆ โผล่ขึ้นมาจากน้ำเลือดช้าๆ มันเป็นมือขนาดใหญ่ข้างหนึ่ง ที่ถูกต้องควรเรียกว่าเป็นมือกระดูกขาวมากกว่า ฝ่ามือของมือกระดูกมีขนาดที่ใหญ่มาก กระดูกนิ้วมือล้วนแล้วแต่เหมือนเป็นเสาหินต้นหนึ่งอย่างนั้น

แต่ทว่า ที่ดึงดูดความสนใจผู้คนหาใช่เป็นฝ่ามือกระดูก แต่เป็นอาวุธชิ้นนั้นที่ฝ่ามือกระดูกได้กำเอาไว้แน่นชิ้นนั้น

ฝ่ามือกระดูกข้างนี้กำทวนยาวเล่มหนึ่งเอาไว้แน่น โดยที่ทวนยาวเล่มนี้มีสีทองทั้งเล่ม เหมือนหล่อขึ้นมาจากทองคำทั้งเล่มอย่างนั้น ที่ทำให้ดูน่ากลัวมากกว่านั้นก็คือ พลังทวนที่ปราศจากผู้ต่อกรในหล้าที่พวยพุ่งออกมาจากทวนยาวเล่มนี้ พลังสายนี้กระทั่งเรียกได้ว่าสามารถสยบทุกสิ่งทุกอย่างในหล้าได้ทั้งหมด ถ้าหากพลังทวนในลักษณะเช่นนี้ปะทุขึ้นมาล่ะก็ สามารถสังหารราชันได้ อย่าว่าแต่ยอดฝีมือในหล้าเลย แม้แต่ราชันแท้จริง และหรือผู้เป็นอมตะ เกรงว่าคงยากจะหนีความตายไปได้ ถูกสังหารด้วยพลังทวนเช่นนี้โดยสิ้นเชิง!

ยามที่ทวนยาวเล่มนี้ปรากฏขึ้นมา กลิ่นอายดึกดำบรรพ์พลันตลบอบอวลไปทั่วฟ้าดิน เสมือนดั่งฟ้าดินเพิ่งจะถูกผ่าแยกออกเป็นสองส่วนอย่างนั้น กลิ่นอายปฐมบรรพบุรุษลักษณะเช่นนี้ ทำให้ทุกคนบังเกิดอารมณ์อยากจะคุกเข่าลงกราบ

เอี๊ยด…เสียงสุดท้ายที่ดังขึ้น ฝ่ามือกระดูกข้างนี้ได้โผล่พ้นน้ำเลือดโดยสิ้นเชิง มันคือแขนขาดข้างหนึ่ง โดยมันถูกตัดขาดตั้งแต่ช่วงหัวไหล่เป็นต้นมา แม้ว่าแขนข้างนี้จะถูกตัดขาดไปแล้ว แต่มันยังคงกำทวนยาวเล่มนี้แน่น

ไม่ทราบว่าเวลาได้ผ่านพ้นไปนานเท่าไรแล้ว แขนขาดข้างนี้เหลือไว้เพียงกระดูกขาวเท่านั้น แต่ทว่า ทวนยาวยังคงมีประกายเยือกเย็นที่ข่มขวัญผู้คน ท่าทีที่ปราศจากผู้ต่อกรของมันยังคงไม่ได้ลดทอนลงไป

จังหวะที่ทวนยาวเล่มนี้โผล่ขึ้นมาจากน้ำเลือดนั้น ไม่รู้ว่ามีศิษย์ระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงจำนวนเท่าไรที่ทนต่อความรู้สึกที่ยำเกรงภายในใจไม่ได้ ต่างคุกเข่าลงกับพื้นในเวลานี้

“ปฐมบรรพบุรุษ…” ไม่รู้ว่าเสียงของใครที่ร้องออกมาจากใจ ทำให้คนอื่นๆ ที่คุกเข่ากับพื้นด้วยกันต่างทยอยกันร้องคำว่าปฐมบรรพบุรุษ…เสียงดังออกมา

ไม่มีใครรู้ว่าทวนยาวเล่มนี้ที่อยู่ตรงหน้าคืออะไร แต่ทว่า อำนาจปฐมบรรพบุรุษที่ดึกดำบรรพ์ยิ่งนั้นได้สยบพวเขาเอาไว้โดยพลัน

ใช่มันนี่แหละ…ในเวลานี้เอง ตรีเทพแห่งหอศักดิ์สิทธิ์และสี่ปราชญ์แห่งกองกำลังซั่งต่างได้สติคืนกลับมา พวกเขาดีใจเป็นที่สุด ไม่สนใจต่อหลี่ชิเย่อีกต่อไปแล้ว พลันวิ่งเข้าไปในเขาฟันหลอทันที เข้าไปถึงบริเวณที่เป็นหลุมยักษ์นั่น ไปยืนอยู่ตรงหน้าทวนยาวเล่มนั้น

ทุกคนต่างรู้สึกให้ความยำเกรงยิ่งขณะมองดูทวนยาวเล่มนี้ ศิษย์จำนวนมากถึงกับคุกเข่าลงก้มกราบกับพื้น แม้แต่ความกล้าที่จะลุกขึ้นยืนยังไม่มี

“นี่ นี่ นี่มันคืออะไร?” ศิษย์ของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงถึงกับพึมพำขึ้นมา ขณะจ้องมองดูทวนยาวเล่มนี้

ความจริงแล้วไม่มีใครรู้ว่าทวนยาวเล่มนี้คืออะไร แต่ว่า กลิ่นอายปฐมบรรพบุรุษที่ทะลักออกมาจากทวนยาวเล่มนี้ทำให้ผู้คนรู้สึกยำเกรงยิ่งนัก

“อาวุธปฐมบรรพบุรุษ…ทวนราชันขวางตี้!” แม้แต่หานฟงที่มีชาติกำเนิดมาจากศาลบรรพชนโบราณก็กล่าวด้วยความสะเทือนหวั่นไหวยิ่งนัก

อาวุธปฐมบรรพบุรุษ…ทวนราชันขวางตี้! ไม่รู้ว่ามีผู้คนจำนวนเท่าไรที่ถูกทำให้สะเทือนหวั่นไหวขึ้นมาทันทีที่ได้ยินคำพูดของหานฟง พลันต้องตาค้างลิ้นจุกปากกับสิ่งนี้

“อาวุธปฐมบรรพบุรุษ!” ศิษย์ของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงถึงกับใจหายใจคว่ำ กล่าวด้วยท่าทีตระหนกจนหน้าถอดสีว่า “หรือ หรือ หรือว่านี่ก็คืออาวุธที่ปฐมบรรพบุรุษระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงของพวกเราทิ้งเอาไว้รึ?”

คำพูดเช่นนี้ไม่รู้ทำให้ผู้คนจำนวนเท่าไรต้องตาค้างลิ้นจุกปาก การได้ครอบครองอาวุธราชันก็นับว่ายอดเยี่ยมมากแล้ว ถ้าหากได้ครอบครองอาวุธปฐมบรรพบุรุษล่ะก็ยิ่งน่ากลัวมากกว่าเสียอีก

ไม่เคยได้ยินมาก่อนว่ามีสำนัก หรือตระกูลขุนนางโบราณใดๆ ในระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหง ได้ครอบครองอาวุธที่ปฐมบรรพบุรุษทิ้งเอาไว้!

แต่มาวันนี้ อาวุธปฐมบรรพบุรุษกลับปรากฏอยู่ต่อหน้าคนทุกคน แล้วจะไม่ให้ผู้คนต้องรู้สึกหวั่นไหวได้อย่างไรกันเล่า

………………………………………………….

Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *