Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล 2245 เซ่นไหว้

Now you are reading Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล Chapter 2245 เซ่นไหว้ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

หลังจากผ่านไปครู่ใหญ่ ฟ่านเมี่ยวเจินได้เงยหน้าขึ้นมองหลี่ชิเย่ด้วยสายตาที่จริงจังอย่างยิ่ง

“ถ้าหาก ถ้าหากเกิดเรื่องกับอาจารย์ ท่าน ท่านจะขึ้นดำรงตำแหน่งเจ้าหูบเขาหรือไม่?” ขณะฟ่านเมี่ยวเจินพูดมาถึงตรงนี้ถึงกับลังเลนิดหนึ่ง

แม้ว่าภายในใจของฟ่านเมี่ยวเจินกระหายให้อาจารย์ปลอดภัย แต่ นางจะต้องเตรียมความพร้อมหากเกิดเรื่องขึ้น นางจะต้องมองการณ์ไกลมากกว่านี้ หากเกิดเรื่องขึ้นกับอาจารย์กต้องมีผู้ที่มาสืบทอดตำแหน่งนี้ ตามหลักการแล้ว ตำแหน่งเจ้าหุบเขาจะเป็นศิษย์ลำดับที่หนึ่งเป็นผู้สืบทอด ซึ่งก็คือหลี่ชิเย่

“วางใจเถอะ นักพรตฉางเซินจะต้องปลอดภัยอยู่แล้ว” หลี่ชิเย่หัวเราะและกล่าวปลอบใจนาง

“ข้าหมายถึงถ้าหาก” ฟ่านเมี่ยวเจินสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ทีหนึ่ง ท่าทีหนักแน่จริงจัง นี่แหละคือข้อแตกต่างระหว่างฟ่านเมี่ยวเจิน กับฉินซาวเย่าและมู่หย่าหลัน ทั้งฉินซาวเย่าและมู่หย่าหลันต่างใจจดใจจ่ออยู่กับอาณาจักรของตนเอง มุ่งมั่นกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้า ขณะที่ฟ่านเมี่ยวเจินนางมองได้ไกลกว่า ดังนั้น นางจึงเป็นศิษย์พี่ใหญ่ของพวกนาง

“ต่อให้มีถ้าหากขึ้นมาจริงๆ ก็ไม่เห็นจะถึงตาข้าที่ต้องไปเป็น” หลี่ชิเย่หัวเราะและมองไปยังที่ๆ ห่างไกล แน่นอนเขาไม่ได้อยากได้ตำแหน่งเจ้าหุบเขาเช่นนี้ของหุบเขาอมตะ

“ถ้าหากท่านเป็นได้ล่ะ?” ฟ่านเมี่ยวเจินดูจริงจังมาก จ้องมองหลี่ชิเย่ไม่กะพริบตา

“นังหนู ความคิดเช่นนี้ของเจ้าไม่แน่เสมอไปว่าจะเป็นเรื่องดี” หลี่ชิเย่ดีดจมูกโด่งน้อยๆ ของนางทีหนึ่งและกล่าวเฉยเมยว่า “ศิษย์พี่ใหญ่ถูกๆ อย่างข้า เพิ่งมาถึงหุบเขาอมตะพวกเจ้าได้ไม่นาน หากว่าเจ้าคิดฝากความหวังกับข้าจริงๆ ล่ะก็ นั่นมันไม่ใช่ความหวังเสมอไป ไม่แน่นักอาจเป็นหุบเขาลึกหมื่นจ้าง ก็เหมือนกับที่ข้าได้พูดเอาไว้ก่อนหน้า ไม่แน่นัก เจ้าจะเป็นการมอบระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิหุบเขาอมตะให้กับมารร้ายคนหนึ่งก็เป็นได้”

“ทุกเรื่องราวล้วนมีความเป็นไปได้” ฟ่านเมี่ยวเจินจ้องมองหลี่ชิเย่จริงจังและไม่สะทกสะท้าน กล่าวขึ้นมาช้าๆ ว่า “แต่ ข้าเชื่อในสายตาของอาจารย์มากกว่า และเชื่อท่านมากกว่า ข้าเชื่อว่าสิ่งนี้ไม่ผิดแน่นอน”

หลี่ชิเย่ถึงกับยิ้มเฉยเมยขณะมองดูท่าทางที่จริงจังของฟ่านเมี่ยวเจิน และกล่าวว่า “วางใจเถอะ มีเรื่องที่คึกครื้นเช่นนั้นแล้วข้าไม่ไปร่วมสักหน่อย ไม่ไปเข่นฆ่าครั้งใหญ่ล่ะก็ แล้วมันจะมีความหมายอะไรเล่า”

ย่อมไม่ต้องสงสัยว่า คำพูดเช่นนี้ของหลี่ชิเย่เท่ากับได้ให้คำมั่นบางอย่างกับฟ่านเมี่ยวเจินแล้ว

“เช่นนั้นก็ดี” ฟ่านเมี่ยวเจินมีใบหน้าที่ยิ้มแย้ม ดูงดงามน่าประทับใจอะไรเช่นนั้น ช่างชวนให้หลงใหลอะไรอย่างนั้น แม้จะกล่าวว่าหลี่ชิเย่ นั้นคือศิษย์ลำดับที่หนึ่งของหุบเขาอมตะ แต่ลางสังหรณ์บอกกับนางเองว่า หลี่ชิเย่ไม่ได้ใส่ใจในฐานะความเป็นศิษย์ลำดับที่หนึ่งของหุบเขาอมตะ แม้ว่าเขาจะรั้งอยู่ที่หุบเขาอมตะ แต่เขาเหมือนเป็นแขกที่เดินทางผ่านมามากกว่า เป็นไปได้ว่าพร้อมที่จะไปจากหุบเขาอมตะได้ทุกเมื่อ

แต่ว่า หลี่ชิเย่ได้พูดคำพูดลักษณะเช่นนี้ออกมาในเวลานี้ย่อมแตกต่างกันแล้ว ทำให้ฟ่านเมี่ยวเจินฝากความหวังไว้กับหลี่ชิเย่เป็นอันมาก

“อีกไม่กี่วันก็จะเป็นวันเซ่นไหว้เรือนโอสถ หุบเขาอมตะของพวกเราเป็นผู้จัดงานนี้มาโดยตลอด”

“มาคราวนี้เดิมอาจารย์เป็นผู้ดำเนินการจัด แต่เวลานี้อาจารย์ไม่สามารถมาด้วยตนเอง ข้าได้แต่ไปพร้อมกับศิษย์พี่ศิษย์น้อง บรรดาเรื่องจิปาถะต่างๆ ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของข้าและเหล่าศิษย์พี่ศิษย์น้องไปจัดการก็พอ แต่ด้านสถานการณ์โดยรวมยังคงต้องอาศัยศิษย์พี่ใหญ่มาดำเนินการ และจำเป็นต้องอาศัยศิษย์พี่ใหญ่เช่นท่านมานั่งคุมสถานการณ์เช่นนี้” ฟ่านเมี่ยวเจินเผยรอยยิ้มออกมาท่าทีดูลิงโลดยิ่งนัก

“พูดไปครึ่งค่อนวัน ยังคงให้ข้าเป็นผู้เสียสละ” หลี่ชิเย่ตบเข้าให้ที่ก้นของนางอย่างแรง และกล่าวว่า “คราวหน้าหากยังคงอวดฉลาดต่อหน้าข้าอีก จะไม่มีจุดจบที่ดีนัก”

ฟ่านเมี่ยวเจินรีบกระโดดหนี ใบหน้าแดงก่ำ ค้อนขวับเข้าให้ทีหนึ่ง ส่งเสียงเชอะและกล่าวว่า “ไอ้บ้ากาม!”

หลี่ชิเย่เพียงยิ้มเฉยเมยเท่านั้นเอง

ฟ่านเมี่ยวเจินกล่าวขึ้นมาว่า “เกรงว่าบรรดาบรรพบุรุษทั้งหลายคงไปจากหุบเขาอมตะไม่ได้ หากเป็นสถานการณ์ทั่วไป ข้ากับเหล่าศิษย์พี่ศิษย์น้องและผู้อาวุโสยังสามารถรับมือได้ แต่ เกรงว่าแคว้นว่านโซ่วจะไม่ยอมเลิกราง่ายๆ ดังนั้นยังคงต้องการให้ศิษย์พี่ใหญ่มาเป็นผู้ดำเนินการในสถานการณ์โดยรวม”

“เอาเถอะ ข้ารู้แล้ว” หลี่ชิเย่กล่าวไปตามอารมณ์ “ไหนๆ ก็ได้เข่นฆ่าครั้งใหญ่ไปแล้ว ก็ทำให้มันเด็ดขาดไปหน่อยก็แล้วกัน ถือโอกาสจัดการให้มันสิ้นซากไปเลย”

หลี่ชิเย่พูดเสียเอ้อละเหยเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เหมือนว่าที่เขาทำลายทิ้งนั้นเป็นเพียงรังมดรังหนึ่งเท่านั้น ไม่เหมือนสำนักขนาดใหญ่ของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิๆ หนึ่ง

คำพูดที่เปี่ยมด้วยความพาลเช่นนี้ของหลี่ชิเย่ ทำให้ฟ่านเมี่ยวเจินอุ่นใจมากขึ้น ทำให้นางมีความมั่นใจกับการเซ่นไหว้ครั้งนี้มากขึ้น ไม่ต้องเกรงว่าแคว้นว่านโซ่วจะมาขัดขวาง

วันเซ่นไหว้มาถึงเร็วมาก ฟ่านเมี่ยวเจินได้พาฉินซาวเย่า และมู่หย่าหลันออกเดินทางไปยังเรือนโอสถ แน่นอนหลี่ชิเย่ก็ติดตามไปด้วย

ตลอดเวลาที่ผ่านมา พิธีเซ่นไหว้ที่เป็นงานใหญ่เช่นนี้ล้วนแล้วแต่ดำเนินการโดยรุ่นอาวุโสของหุบเขาอมตะ แต่มาคราวนี้เรียกได้ว่าฟ่านเมี่ยวเจินได้รับบัญชากะทันหัน ให้แบกรับภาระหน้าที่อันหนักหน่วงเช่นนี้

เนื่องจากความเป็นความตายของนักพรตฉางเซินไม่ชัดเจน โดยมีบรรดาบรรพบุรุษของหุบเขาอมตะให้การช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน! อีกทั้งยังได้เกิดเหตุการณ์มาสู่ขอของแคว้นว่านโซ่ว ทำให้หุบเขาอมตะระมัดระวังตัวอย่างเต็มที่ ในเวลานี้หุบเขาอมตะเองก็เป็นกังวลว่าแคว้นว่านโซ่วจะฉวยโอกาสนี้บุกโจมตีหุบเขาอมตะ

ถ้าหากว่า เวลานี้หุบเขาอมตะยังคงส่งบรรพบุรุษที่ยังเหลืออยู่ไปเรือนโอสถเพื่อประกอบพิธีเซ่นไหว้ เช่นนั้นเท่ากับหุบเขาอมตะไม่มีการป้องกัน ซึ่งจะเป็นช่วงเวลาที่อ่อนแอมากที่สุด ทำให้หุบเขาอมตะอาจถูกข้าศึกตีแตกได้

ดังนั้น หุบเขาอมตะจึงจำเป็นต้องมอบพิธีใหญ่เช่นนี้ให้กับกลุ่มคนรุ่นใหม่ไปดำเนินการ โดยมอบให้พวกของฟ่านเมี่ยวเจินไปจัดการ

เรียกได้ว่า การถูกลอบโจมตีของนักพรตฉางเซินถือเป็นช่วงเวลาที่บังเอิญมากที่สุด นางถูกลอบโจมตีในจังหวะที่ไม่ช้าไม่เร็ว โดยถูกโจมตีช่วงก่อนที่จะมีพิธีเซ่นไหว้จะถึง แลดูออกจะบังเอิญมากเกินไปเหลือเกิน

สมควรทราบว่า ทุกครั้งที่ระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิหุบเขาอมตะมีการประกอบพิธีเซ่นไหว้นั้นล้วนแล้วแต่มีความสำคัญอย่างยิ่ง กล่าวได้ว่า แคว้นเจ้าลัทธิ สำนัก และตระกูลขุนนางโบราณส่วนใหญ่ภายใต้ระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิหุบเขาอมตะ ก็จะต้องเข้าร่วมพิธีเซ่นไหว้ดังกล่าวนี้

แม้จะกล่าวว่าพิธีการเซ่นไหว้นี้เป็นการเซ่นไหว้บรรพบุรุษ แต่ในบางแง่มุมของความหมายเป็นประกาศฐานะและอำนาจของหุบเขาอมตะต่อสำนักทั้งหมดที่อยู่ภายใต้ระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิหุบเขาอมตะ

พิธีเซ่นไหว้ลักษณะเช่นนี้มีเพียงหุบเขาอมตะที่อยู่ในฐานะสายตรงเท่านี้ที่ดำเนินการได้ สามารถเป็นผู้นำได้ ดังนั้น ท่ามกลางพิธีการใหญ่เช่นนี้ หุบเขาอมตะทั้งเป็นการแสดง และประกาศให้สำนักทั้งหมดภายใต้ระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิหุบเขาอมตะทราบว่า อำนาจการปกครองของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิหุบเขาอมตะยังคงอยู่ในมือของหุบเขาอมตะ พวกเขาเท่านั้นที่เป็นผู้กุมอำนาจที่ถูกต้องของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิหุบเขาอมตะ

แต่ว่า ช่วงจังหวะหัวเลี้ยวหัวต่อนักพรตฉางเซินที่จะเป็นผู้ดำเนินการพิธีนี้ถูกลอบโจมตี ช่างเป็นเรื่องที่บังเอิญเหลือเกิน ถ้าหากแคว้นว่านโซ่วต้องการแทนที่หุบเขาอมตะ การเริ่มต้นจากพิธีเซ่นไหว้ก็นับเป็นแทรกเข้าไปที่เหมาะสมมากอย่างหนึ่ง

ภายในงามพิธีเซ่นไหว้ หากหุบเขาอมตะไม่สามารถเป็นผู้ดำเนินการจัดได้ล่ะก็ แคว้นว่านโซ่วจะต้องเป็นผู้ที่มาดำเนินการจัดแทน อาศัยกำลังของแคว้นว่านโซ่ว เกรงว่าคงไม่มีสำนักใดๆ ภายใต้ระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิหุบเขาอมตะกล้าคัดค้าน เมื่อถึงเวลานั้นแล้ว เส้นทางก้าวไปสู่อำนาจที่ถูกต้องก็คืบหน้าใกล้เข้าไปอีกก้าวหนึ่ง ส่วนเรื่องที่จะแทนหุบเขาอมตะนั้นเป็นเรื่องช้าหรือเร็วในอนาคตเท่านั้น

ดังนั้น ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นตรงนี้ล้วนแล้วแต่บังเอิญเกินไป เหมือนดั่งที่ฟ่านเมี่ยวเจินพูดเอาไว้อย่างนั้น เบื้องหลังของเรื่องนี้มีผู้คอยวางแผนการเอาไว้แต่แรกอยู่แล้ว

เรือนโอสถคือสถานที่ศักดิ์สิทธิ์สำคัญแห่งหนึ่งของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิหุบเขาอมตะ และเป็นสถานที่ที่แสวงบุญของผู้บำเพ็ญตนทั้งหมดของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิหุบเขาอมตะ ในบางแง่มุมนั้น เรือนโอสถไม่เป็นของผู้ใดผู้หนึ่งเฉพาะ มันไม่ได้เป็นของหุบเขาอมตะ และไม่ได้เป็นของสำนักใดสำนักหนึ่ง เรือนโอสถถือเป็นของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิหุบเขาอมตะทั้งหมด ทุกคนล้วนมีสิทธิ์

เนื่องจากเรือนโอสถคือสถานที่ถือกำเนิดของเซียนโอสถ ปฐมบรรพบุรุษระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิหุบเขาอมตะ และเป็นสถานที่ที่บรรลุสัจธรรม สถานที่ปรุงกลั่นยาเม็ด เล่าลือกันว่า ชั่วชีวิตของเซียนโอสถส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในเรือนโอสถแห่งนี้

ดังนั้น จึงกล่าวได้ว่า มีผู้ถือเอาเรือนโอสถของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิหุบเขาอมตะเป็นพื้นที่บรรพชน แต่ละปีที่ผ่านมาก็จะมีผู้บำเพ็ญตน และหรือหมอโอสถของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิหุบเขาอมตะจำนวนนับไม่ถ้วนมาจาริกแสวงบุญที่เรือนโอสถแห่งนี้

แน่นอนที่สุด เรือนโอสถไม่ได้มีลักษณะของกระท่อมอะไรทำนองนั้น เรือนโอสถคือเทือกเขาที่ยาวต่อเนื่องแห่งหนึ่ง ที่ตรงนี้เป็นภูเขาที่ขึ้นลงสลับ มียอดเขาที่เขียวชอุ่ม มีน้ำตกน้ำพุ มีต้นไม้วิเศษหาได้ยาก

ที่อลังการมากกว่านั้นก็คือ ลึกเข้าไปในชีพจรเขาของเรือนโอสถถึงกับมีภูเขาแต่ละลุกที่แขวนห้อยอยู่กลางท้องฟ้า ภูเขาแต่ละลูกมีความสูงที่แตกต่างกันไป มีบันไดหินที่คดเคี้ยวเชื่อมขึ้นไปบนจักรวาล

ด้วยภูเขาแต่ละลูกที่ลอยล่องอยู่เหนือท้องฟ้า ปกคลุมไปด้วยเมฆหมอก เสมือนดั่งภูเขาศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ในตำนานอย่างนั้น ภูเขาแต่ละลูกเหล่านี้ล้อมรอบภูเขาที่มีขนาดใหญ่โตมโหฬารลูกหนึ่ง โดยที่ภูเขาลูกนี้สูงเสียดขึ้นไปบนจักรวาล เสมือนดั่งเป็นเสาของสวรรค์อย่างนั้น มีตะวันจันทราที่ผุดโผล่อยู่ในนั้น ยิ่งไปกว่านั้นยังมีน้ำตกที่มาจากสวรรค์ สามารถมองเห็นน้ำตกที่เป็นสีขาวได้อย่างชัดเจนแม้ห่างไกลนับพันลี้

เคยมีผู้กล่าวเอาไว้ว่า เรือนโอสถไม่ได้หมายถึงเทือกเขาลูกนี้ แต่หมายถึงภูเขาแต่ละลูกที่ลอยอยู่เหนือท้องฟ้านั่น โดยเฉพาะลูกที่สูงที่สุดที่ทะลุขึ้นไปบนจักรวาล มันนั่นแหละคือแกนกลางของเทือกเขาทั้งลูกนั่น

เกี่ยวกับเรือนโอสถนั้นมีกลอนที่มีชื่อเสียงมากเป็นพิเศษอยู่บทหนึ่ง ซึ่งเขีวนเอาไว้ว่า ‘เอ่ยถามเด็กน้อยใต้ต้นสน ความว่าอาจารย์ไปเก็บสมุนไพร ท่ามกลางขุนเขาแห่งนี้แหละ แต่เมฆหนาจนไม่รู้อยู่ที่ใด‘

ในบทกลอนบทนี้ ‘ขุนเขาแห่งนี้’ หมายถึงยอดเขาที่สูงที่สุดที่ทะลุไปยังจักรวาลที่อยู่ตรงหน้านั่นเอง

เล่าลือกันว่า ในยุคสมัยที่เนิ่นนานมานั้น เซียนโอสถเคยมาบำเพ็ญเพียรอยู่ที่ตรงนี้ ปรุงกลั่นโอสถที่ตรงนี้ ยิ่งกว่านั้นยังเก็บสมุนไพรจากที่ตรงนี้ เมื่อชื่อเสียงของเซียนโอสถดังก้องไปทั่วแดนสามเซียน กระทั่งมีราชันแท้จริง ปฐมบรรพบุรุษลงมาจากแดนลัทธิเซียนเพื่อขอยาสมุนไพรจากเซียนโอสถ

แต่ว่า ผู้ที่มาขอยาสมุนไพรไม่ได้มีเพียงราชันแท้จริง หรือปฐมบรรพบุรุษเท่านั้น ยังมีเทพแท้จริง มีระดับอมตะ และหรือผู้ที่อยู่ในลัทธิเต๋าด้วยกัน ดังนั้น บ่อยครั้งที่เซียนโอสถหลีกเลี่ยงไม่ต้องการพบ จึงบอกว่าออกเดินทางไปเก็บสมุนไพร ทำให้ผู้ที่มาขอยาสมุนไพรต้องกลับไป

ด้วยเหตุนี้เอง กลอนบทนี้จึงมีชื่อเสียงมากในยุคสมัยของเซียนโอสถ ผู้ที่คิดจะมาขอยาสมุนไพรต่อเซียนโอสถต่างก็จะรู้จักกลอนบทนี้กันดี

เวลาผ่านไป ไม่หลงเหลือความคึกคักในครั้งนั้นอีกแล้ว ที่เรือนโอสถไม่มีเซียนโอสถอาศัยอยู่ และไม่มีราชันแท้จริง ปฐมบรรพบุรุษที่มาขอยาสมุนไพร เรือนโอสถวันนี้เทียบกับยุคสมัยนั้นแล้วเงียบเหงากว่ากันเยอะมาก

แม้จะเป็นเช่นนี้ก็ตาม ในความรู้สึกของผู้บำเพ็ญตนในระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิหุบเขาอมตะแล้ว เรือนโอสถยังคงเป็นพื้นที่บรรพชนของพวกเขา โดยเฉพาะกล่าวสำหรับหมอโอสถแล้ว สถานที่แห่งนี้คือสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ในมุมมองของพวกเขา หมอโอสถจำนวนมากล้วนแล้วแต่ต้องมาจาริกแสวงบุญที่เรือนโอสถในชีวิตของเขาสักครั้ง จะอย่างไรเสีย นับแต่อดีตถึงปัจจุบัน ผู้ที่สามารถล้ำหน้าเซียนโอสถในด้านวิชาโอสถนั้นหาได้ยากยิ่ง

ปรกติแล้วเรือนโอสถจะมีสภาพที่เงียบเหงา แต่เมื่อพิธีเซ่นไหว้กำลังจะเริ่มขึ้น ทำให้เรือนโอสถกลับมาคึกคักอีกครั้ง บรรดาศิษย์ของแคว้นเจ้าลัทธิ สำนัก และตระกูลขุนนางโบราณจำนวนไม่น้อยได้รุดมาที่เรือนโอสถแต่วันแล้ว

ก่อนเริ่มพิธีเซ่นไหว้นั้น ทางหุบเขาอมตะก็ได้มีการเตรียมความพร้อม มีศิษย์ของหุบเขาอมตะได้มารออยู่ที่เรือนโอสถก่อนหน้านั้นแล้ว เพื่อต้อนรับบรรดายอดฝีมือผู้บำเพ็ญตนที่มาจากสถานที่ต่างๆ

ขณะที่พวกของฟ่านเมี่ยวเจินมาถึงเรือนโอสถแล้วนั้น เรื่องต่างๆ ก็ได้มีการดำเนินการอย่างเป็นระบบ จะอย่างไรเสียหุบเขาอมตะไม่ได้จัดงานนี้ขึ้นเป็นครั้งแรก เวลานี้เมื่อต้องดำเนินการจัดงานเซ่นไห้วอีกครั้ง กล่าวสำหรับศิษย์ของหุบเขาอมตะแล้ว เรียกได้ว่ามีประสบการณ์อยู่แล้ว

……………………………………………..

Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *