Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล 2062 ความสงบเงียบก่อนพายุฝนฟ้าคะนอง

Now you are reading Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล Chapter 2062 ความสงบเงียบก่อนพายุฝนฟ้าคะนอง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

จอมทระนงอเวจีมีชื่อเสียงโด่งดัง เป็นผู้มีชื่อในด้านความร้ายกาจ หนึ่งในจอมเทพที่แข็งแกร่งที่สุดของทวีปเจียวเหิงโจว ย่อมสามารถจินตนาการได้ถึงความแข็งแกร่งของเขาได้แล้ว

สิ่งนี้หาใช่เป็นเพราะเหรินเซิ่นใจเสาะ เว้นแต่เป็นจอมราชันเซียนหวังระดับสูงแล้ว มิฉะนั้นหละก็หากจอมราชันเซียนหวังอื่นๆ เมื่อเจอะเจอกับจอมทระนงอเวจีแล้วก็ต้องขนลุกซู่ในใจ และต้องหลบหลีกไปให้ไกลเช่นกัน

บรรดานักศึกษาของสถาบันศึกษาเทพเจ้าล้วนแล้วแต่ใจหายใจคว่ำ และหวาดกลัวจนขนลุกซู่เช่นกัน ไม่มีใครเคยเห็นการลงมือของจอมทระนงอเวจี ไม่มีใครรู้ถึงรายละเอียดว่าเขามีความแข็งแกร่งเพียงใด แต่ว่า การที่เขามีสิทธิ์ต่อสู่กับเทพโบราณกุยฝาน มีสิทธิ์รอดชีวิตมาได้จากน้ำมือของเทพโบราณกุยฝาน เพียงพอที่จะยืนยันถึงศักยภาพของเขาแล้ว

“ที่แท้คือผู้อาวุโสจอมทระนงอเวจี ข้าน้อยเลื่อมใสในชื่อของผู้อาวุโสมานานแล้ว” เหรินเซิ่นสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ทีหนึ่ง แสดงคารวะแบบจีนต่อจอมทระนงอเวจี และกล่าวว่า “ข้าน้อยมีตาหามีแววไม่ ไม่ทราบว่าผู้อาวุโสมา ล่วงเกินแล้ว”

เวลานี้การพูดการจาของเหรินเซิ่นนับว่ามีความภูมิฐาน ไม่หยิ่งยโส และไม่ทำตัวให้ดูต่ำต้อย ท่วงท่าเซียนหวังเขาคนนี้นับว่าไม่แย่นัก ทำให้ผู้คนต้องเคารพเลื่อมใสอยู่สามส่วน

“แก่แล้ว กระดูกคงรับการทรมานไม่ไหวแล้ว” จอมทระนงอเวจีเพียงยิ้มเฉยเมย และกล่าวว่า “ไม่เท่าคนหนุ่ม มีจิตที่ไม่หวั่นเกรงต่อสิ่งใด เย้ยหยันต่อเก้าชั้นฟ้าสิบแดนดิน”

“ก็ดี กระดูกแก่ๆ อย่างข้าไม่ได้ยืดเส้นยืดสายมานานมากแล้ว ทดสอบท่วงท่าที่ยอดเยี่ยมปราศจากผู้ต่อกรของชนรุ่นหลังก็ดีเหมือนกัน” จอมทระนงอเวจีพูดขึ้นมาช้าๆ ว่า “คนหนุ่มมีพลังที่น่าเคารพเลื่อมใส อย่าได้หักกระดูกแก่ๆ ของข้าก็นับว่าโชคดีที่สุดแล้ว”

จอมทระนงอเวจีในวันนี้นับว่าพูดดีกว่าเดิมมากแล้ว เมื่อเทียบกับจอมทระนงอเวจีสมัยที่ยังหนุ่ม จอมทระนงอเวจีในวันนี้เรียกว่าเป็นผู้เฒ่าใจดี ถ้าหากด้วยอารมณ์ที่ทระนงในอดีต การที่เซียนหวังอย่างเช่นเหรินเซิ่นที่ท้าสู้กับเขา เขาจะต้องตบไปหนึ่งฝ่ามือเสียก่อนแล้วค่อยว่ากันด้านเหตุผล

จอมทระนงอเวจีในเวลานี้เรียกได้ว่าไม่มีอารมณ์ร้อนสมัยหนุ่มๆ แล้ว น้ำเสียงการพูดการจาที่ซื่อตรงอ่อนโยน และลงมือน้อยมาก คล้ายดั่งเป็นคุณตาข้างบ้านที่อ่อนโยนมีอัธยาศัยไมตรี อย่างน้อยเมื่อเทียบกับความทระนงสมัยหนุ่มๆ ของเขาก็จะเป็นเช่นนี้

เมื่อถูกจอมทระนงอเวจีพูดออกมาเช่นนี้ ทำให้ใบหน้าของเหรินเซิ่นพลันแดงก่ำ เวลานี้เขาอยู่ในฐานะขี่หลังเสือกลืนไม่เข้าคายไม่ออก สู้ก็ไม่ใช่ ไม่สู่ก็ไม่ใช่

เขาคือเซียนหวังที่มีชะตาฟ้าสี่สาย แต่ว่าเมื่อเทียบกับจอมทระนงอเวจีแล้ว ชะตาฟ้าสี่สายของเขาไม่สามารถต้านกับจอมทระนงอเวจีที่มีดวงตราสัญลักษณ์สิบเอ็ดดวงได้อยู่แล้ว

ต่อให้เขาแข็งแกร่งมากไปกว่านี้ ต่อให้เขาเพิ่มศักยภาพขึ้นไปอย่างบ้าคลั่ง เมื่อต่อสู้กับจอมทระนงอเวจีแล้วก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของจอมทระนงอเวจีแน่นอน เมื่อถึงที่สุดแล้ว เกรงว่าจอมทระนงอเวจีต้องสังหารเขาได้แน่

สิ่งนี้แหละทำให้เหรินเซิ่นรู้สึกผะอืดผะอมยิ่งนัก เขาทุ่มเต็มความสามารถก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของจอมทระนงอเวจี แต่หากยอมอ่อนข้อให้หละก็ ยอมจำนนหละก็ จะทำให้เซียนหวังอย่างเขาแทบจะรับไม่ไหวแล้ว จะอย่างไรเสียเขาก็คือเซียนหวังองค์หนึ่ง เป็นผู้ที่มีชื่อเสียงโด่งดังในยุคนี้ หลังจากได้เป็นเซียนหวังแล้ว ศึกแรกก็ยอมจำนนมิเท่ากับทำให้ชื่อเสียงของเขาป่นปี้ ไม่เหลือซึ่งบารมีเซียนหวัง

“ลงไปเถอะ” ในขณะที่เหรินเซิ่นกำลังกลืนไม่เข้าคายไม่ออกอยู่นั้น ผู้อำนวยการของสถาบันศึกษาเทพเจ้านับว่าได้พูดออกมาแล้ว โดยกล่าวว่า “เวลานี้เป็นเวลาที่ไม่ปรกติ เจ้าก็อย่าได้ทำอะไรเอาแต่อารมณ์ ไปอยู่ข้างนอกนั้นเสียดีๆ อย่าได้มาวุ่นวายอยู่ในสถาบันศึกษาเทพเจ้า ทำให้สถาบันศึกษาเทพเจ้ายุ่งเหยิงไปหมด”

เวลานี้ผู้อำนวยการของสถาบันศึกษาเทพเจ้าเหมือนว่าได้ออกปากด่าว่าเหรินเซิ่น แต่กลับให้ทางลงกับเขาแล้ว อาศัยเหรินเซิ่นยังไม่มีคุณสมบัติเพียงพอที่จะไปท้าสู้กับจอมทระนงอเวจีได้ เวลานี้ผู้อำนวยการสถาบันดุด่าเขา ไม่ยอมให้เขาท้าสู้กับจอมทระนงอเวจีภายในสถาบันศึกษาเทพเจ้า ก็แค่ต้องการให้เขามีบันไดก้าวลง

กล่าวสำหรับ ผู้อำนวยการของสถาบันศึกษาเทพเจ้าแล้ว ชั่วดีอย่างไรเหรินเซิ่นก็คือลูกศิษย์ของเขา ชั่วดีอย่างไรกเขาก็เคยสอนเหรินเซิ่นมาก่อน ดังนั้นในช่วงจังหวะสำคัญนี้เขายังคงช่วยลูกศิษย์ของตนได้อีกครั้งหนึ่ง เรียกได้ว่าที่ผู้อำนวยการของสถาบันศึกษาเทพเจ้าทำถึงขั้นนี้แล้ว นับว่าถึงซึ่งความเมตตาและคุณธรรมแล้ว ถือเป็นความรักความห่วงใยที่เขามีต่อผู้เยาว์แล้ว

เหรินเซิ่นก็รู้ว่านี่คือโอกาสก้าวลงบันไดที่ดีที่สุดแล้ว ถ้าหากเวลานี้ยังไม่ลงก็จะไม่มีโอกาสอีกแล้ว เขาจึงรีบก้มกราบและกล่าวว่า “อาจารย์สั่งสอนได้ถูกต้องแล้ว เป็นศิษย์เองที่บุ่มบ่ามไป ศิษย์ไม่ควรก่อเรื่องในสถาบัน ศิษย์รู้ความผิดแล้ว”

กล่าวจบ เหรินเซิ่นได้แสดงคารวะแบบจีนต่อจอมทระนงอเวจี และกล่าวว่า “ผู้น้อยล่วงเกินแล้ว วันหน้ายังต้องให้ผู้อาวุโสสอนสั่ง” กล่าวจบ คำนับแล้วก็ล่องลอยจากไป ล่าถอยออกจากสถาบันศึกษาเทพเจ้า

จอมทระนงอเวจีไม่ได้พูดอะไรทั้งสิ้น เพียงหันหลังมองดูหลี่ชิเย่ หลี่ชิเย่เพียงยิ้มๆ เท่านั้นเอง และไม่ได้พูดอะไรเช่นกัน
..Aileen-novel

ในเมื่อหลี่ชิเย่ไม่ได้ออกปากเอาชีวิตของเหรินเซิ่น จอมทระนงอเวจีก็ไม่กล้าตัดสินใจเอง กลับเข้าไปอยู่ด้านหลังของหลี่ชิเย่ตามเดิม เวลานี้หลี่ชิเย่ก็ได้ค่อยๆ ลดระดับลงถอยกลับไปเรือนตำราเหมือนเดิม

ในเวลานี้ นักศึกษาของสถาบันศึกษาเทพเจ้าต่างรู้สึกใจหายใจคว่ำ พวกเขาต่างจ้องมองกันและกัน ในใจของทุกคนล้วนแล้วแต่รู้สึกเย็นวาบ แม้แต่ผู้ซึ่งดำรงอยู่ในฐานะจอมทระนงอเวจียังอยู่รับใช้ข้างกายหลี่ชิเย่ หลี่ชิเย่คนนี้มีประวัติความเป็นมาอย่างไรกันแน่ และมีความแข็งแกร่งเพียงใดเล่า?

แน่นอน สำหรับการถอนตัวของเหรินเซิ่นนั้น นักศึกษาของสถาบันศึกษาเทพเจ้าก็เป็นที่เข้าใจได้ เกรงว่าไม่ว่าเป็นใครก็ตามก็ไม่กล้าท้าสู้กับจอมทระนงอเวจีจอมเทพผู้มีดวงตราสัญลักษณ์สิบเอ็ดดวง ซึ่งหาใช่เป็นผู้ที่มีชื่อเสียงจอมปลอม

แม้ว่าสถาบันศึกษาเทพเจ้ายังคงอยู่ในโลกดึกดำบรรพ์ แต่หลายวันมานี้สถาบันศึกษาเทพเจ้ายังคงเงียบสงบมาก และไม่มีสัตว์ดุวิหคร้ายใดๆ เข้ารุกรานต่อสถาบันศึกษาเทพเจ้าอีก ดังนั้น จึงทำให้นักศึกษาจำนวนมากของสถาบันศึกษาเทพเจ้ารู้สึกโล่งอก นักศึกษาจำนวนมากต่างเข้าใจว่าภัยพิบัติได้ผ่านพ้นไปแล้ว ต่อจากนี้สมควรได้เวลาที่สถาบันศึกษาเทพเจ้าออกจากโลกดึกดำบรรพ์ กลับไปยังทวีปเจียวเหิงโจวอีกครั้งแล้ว

จากนี้เป็นต้นมาอีกหลายวัน สถาบันศึกษาเทพเจ้าดูจะเงียบสงบเป็นพิเศษ ไม่เพียงแต่สถาบันศึกษาเทพเจ้าที่เงียบสงบเป็นพิเศษเท่านั้น กระทั่งโลกดึกดำบรรพ์ก็เงียบสงบเป็นพิเศษเช่นกัน เงียบสงบจนไม่ได้ยินเสียงใดๆ เลย

นักศึกษาจำนวนมากทันสังเกต แต่ว่า บรรดาอาจารย์ที่มีทักษะแข็งแกร่งกลับรับรู้ได้แล้ว เนื่องจากในขณะนี้สัตว์ดุวิหคร้ายจำนวนไม่น้อยของโลกดึกดำบรรพ์ต่างทยอยกันล่าถอยออกไป สัตว์ขนาดยักษ์ที่เคยเฝ้าสังเกตสถาบันศึกษาเทพเจ้ามาโดยตลอดก็ล่าถอยไปเงียบๆ กลับเข้าไปยังส่วนที่ลึกเข้าไปของโลกดึกดำบรรพ์

สัตว์ดุวิหคร้ายมีความรู้สึกที่ไวที่สุด พวกมันก็ได้กลิ่นว่าพายุฝนฟ้าคะนองมาแล้ว ผู้ที่ดำรงอยู่ในฐานะที่น่ากลังปราศจากผู้เทียบเทียมกำลังมาถึง ด้วยเหตุนี้เอง พวกมันจึงละทิ้งความคิดที่จะต้องการสถาบันศึกษาเทพเจ้า ทยอยกันล่าถอยออกไป

เวลานี้สถาบันศึกษาเทพเจ้าดูเงียบสงบเป็นพิเศษ แต่ว่า ครั้นสัตว์ดุวิหคร้ายได้ถอนตัวออกไปแล้ว มีผู้เฒ่าของสถาบันศึกษาเทพเจ้าพลันลืมตาทั้งสองขึ้น เนตรฟ้าได้ส่องท้องฟ้าจนสว่างไสว

ภายในสถาบันศึกษาเทพเจ้า อย่าว่าแต่นักศึกษาของสถาบันเลย แม้แต่อาจารย์บางคนก็ไม่ทันสังเกตเห็น แต่บรรดาผู้เฒ่าของสถาบันศึกษาเทพเจ้ากลับสังเกตเห็นแล้ว เนื่องจากมีผู้ที่เข้ามาอยู่ในโลกดึกดำบรรพ์และเริ่มทำการสอดแนมต่อสถาบันศึกษาเทพเจ้า

ด้านนอกของสถาบันศึกษาเทพเจ้า ในส่วนที่ไกลออกไปในจักรวาล ในที่มืดมีผู้ที่มาถึงแล้ว บางทีอาจเป็นจอมราชันเซียนหวัง และหรืออาจเป็นจอมเทพปราศจากผู้ต่อกร สรุปก็คือมีผู้ที่มาอยู่ด้านนอกของสถาบันศึกษาเทพเจ้าแล้ว พวกเขาต่างแอบสอดส่องสถาบันศึกษาเทพเจ้ากันเงียบๆ เฝ้าสังเกตทุกๆ ความเคลื่อนไหวของสถาบันศึกษาเทพเจ้า สนใจทุกๆ การเปลี่ยนแปลงของสถาบันศึกษาเทพเจ้าแม้เพียงน้อยนิดก็ตาม

บรรดาจอมราชันเซียนหวัง หรือจอมเทพปราศจากผู้ต่อกรที่ได้มาถึงแล้ว พวกเขาต่างแอบซ่อนตัวอยู่ในที่มืด พวกเขากระทั่งปิดบังซ่อนเร้นทุกสิ่งทุกอย่างของตน พวกเขาไม่เพียงปกปิดกลิ่นอายของตน ปิดบังโฉมหน้าที่แท้จริงของตน กระทั่งอาศัยอภินิหารเปลี่ยนแปลงซ่อนเร้น ไม่ให้ผู้อื่นสามารถคาดเดาถึงชาติกำเนิดของตน

เนื่องจากพวกเขาต่างมีความหวั่นเกรง จะอย่างไรเสียธาตุแท้ภายในของสถาบันศึกษาเทพเจ้าลึกล้ำยากจะหยั่งถึง หากสถาบันศึกษาเทพเจ้าสามารถอดทนจนผ่านภัยพิบัติครั้งนี้ไปได้ ขณะที่พวกเขาเหล่านี้เคยลงมือต่อสถาบันศึกษาเทพเจ้า หากแม้นเปิดเผยตัวตนพวกเขาออกมา เกรงว่าไม่เพียงตัวของพวกเขาเองจะมีอันตราย กระทั่งนำมาซึ่งภัยอันตรายถึงสำนักของพวกเขาอีกด้วย

บรรดาจอมราชันเซียนหวัง จอมเทพปราศจากผู้ต่อกรที่สอดส่องสถาบันศึกษาเทพเจ้าอยู่ ในจำนวนนี้มีทั้งผู้ที่มีชาติกำเนิดมาจากร้อยชาติพันธุ์ กระทั่งอาจเป็นไปได้ว่าเคยเป็นนักศึกษาของสถาบันศึกษาเทพเจ้ามาก่อน พวกเขายิ่งไม่สามารถเปิดเผยตัวตน มิฉะนั้นหละก็จะต้องถูกผู้อื่นเขาทอดทิ้ง

จอมราชันเซียนหวัง และจอมเทพปราศจากผู้ต่อกรที่แอบสอดส่องสถาบันศึกษาเทพเจ้ามีจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ บรรดาผู้เฒ่าของสถาบันศึกษาเทพเจ้าก็รับรู้ถึงแรงกดดันต่างมีท่าทีที่หนักแน่นจริงจัง การเผชิญหน้ากับจอมราชันเซียนหวัง และจอมเทพปราศจากผู้ต่อกรจำนวนมาก ต่อให้สถาบันศึกษาเทพเจ้าของพวกเขามีธาตุแท้ภายในที่ลึกเพียงใดก็ไม่กล้าประมาท ภัยพิบัติในครั้งนี้เกี่ยวพันถึงความเป็นความตายของสถาบันศึกษาเทพเจ้าของพวกเขา

ตึง ตึง ตึงในขณะที่นักศึกษาของสถาบันศึกษาเทพเจ้าทั้งหมดต่างเข้าใจว่า ในที่สุดก็ได้กลับคืนสู่ความเงียบสงบนั้น สัญญาณเตือนสถานการณ์คับขันของสถาบันศึกษาเทพเจ้าได้ดังขึ้นมาอีกครั้ง เสียงของสัญญาณเตือนสถานการณ์คับขันดังไปทั่วสถาบันศึกษาเทพเจ้า

“นักศึกษาทั้งหมดรีบกลับเข้าไปยังป้อมปราการนิรภัย มิฉะนั้นจะต้องรับผิดชอบในสิ่งที่เกิดขึ้นเอง เป็นการเตือนครั้งสุดท้าย” เสียงของผู้อำนวยการสถาบันศึกษาเทพเจ้าดังก้องไปทั่วสถาบันศึกษาเทพเจ้า

นักศึกษาจำนวนมากต่างมองหน้ากันและกัน เมื่อได้ยินเสียงประกาศจากผู้อำนวยการสถาบัน นักศึกษาจำนวนมากล้วนแล้วแต่ไม่รู้ว่าได้เกิดเรื่องอะไรขึ้นมา ทุกคนต่างเข้าใจว่าภัยพิบัติได้ผ่านพ้นไปแล้ว

บรรดานักศึกษาจำนวนมากต่างทยอยกันเข้าไปหลบอยู่ในป้อมปราการนิรภัยอีกครั้ง หลังจากได้รับการประกาศเตือนจากผู้อำนวยการสถาบัน แต่ก็มีนักศึกษาที่แอบรั้งอยู่ต่อไป บรรดานักศึกษาที่รั้งอยู่ด้านนอก มีบางส่วนที่มีทักษะยุทธสูงและใจกล้า มั่นใจว่าตนเองสามารถรับมือกับภัยพิบัติได้ และมีบางส่วนที่จิตใจยากจะคาดเดาได้ เนื่องจากนักศึกษาเหล่านี้ก็รู้เบื้องหลังอะไรบางอย่าง พวกเขาไม่ต้องการกลับเข้าไปอยู่ในป้อมปราการนิรภัย ต้องการฉวยโอกาสหาผลประโยชน์ยามชุลมุน

เมื่อมีจอมราชันเซียนหวัง จอมเทพปราศจากผู้ต่อกรบางส่วนมาถึงแล้ว ต่อให้หลบซ่อนตัวอยู่ในความมืด แต่ยังคงไม่สามารถรอดพ้นสายตาของหลิวจินเซิ่นไปได้ จะอย่างไรเสียเขาก็คือจอมเทพที่มีดวงตราสัญลักษณ์ในครอบครองถึงสิบเอ็ดสาย

หลิวจินเซิ่นมองไปบนท้องฟ้า ถึงกับกล่าวขึ้นมาด้วยความตระหนกว่า “มีจอมราชันเซียนหวัง และจอมเทพมากันไม่น้อยเลยทีเดียวนะ”

แม้ว่าธาตุแท้ภายในของสถาบันศึกษาเทพเจ้ามีความแข็งแกร่งมาก แต่ว่า หากมีจอมเทพและจอมราชันเซียนหวังจำนวนมากลงมือพร้อมกันหละก็ เกรงว่าสถาบันศึกษาเทพเจ้าก็ยากจะยืนหยัดต่อไปได้

“ยามที่ช้างเชือกหนึ่งล้มลง ฝูงมดก็ต้องเฮโลกันเข้ามา ทุกคนล้วนแล้วแต่ต้องการได้ส่วนแบ่งชิ้นเนื้อสักชิ้นหนึ่ง” หลี่ชิเย่ไม่ได้ประหลาดใจ กล่าวเฉยเมยว่า “แน่นอน ช้างก็ไม่แน่ว่าจะต้องล้มลง และไม่แน่ว่าจะกลายเป็นชิ้นปลามัน ใครเป็นเหยื่อที่แท้จริง ก็ต้องดูว่าใครเป็นผู้ที่หัวเราะจนถึงสุดท้าย”

“จอมราชันเซียนหวังที่มีชะตาฟ้าสิบสองสายจะมาไหม?” หลิวจินเซิ่นที่จ้องมองดูท้องฟ้า กล่าวด้วยความหวั่นเกรง

สิ่งนี้ใช่ว่าเป็นเพราะหลิวจินเซิ่นใจเสาะ ในโลกนี้จะมีสักกี่คนที่ไม่หวั่นเกรงต่อจอมราชันเซียนหวังที่มีชะตาฟ้าสิบสองสายกันเล่า นี่คือจอมราชันเซียนหวังที่อยู่ในระดับสูงที่สุดและปราศจากผู้ต่อกรมากที่สุด กระทั่งอาจกล่าวได้ว่า เมื่อจอมราชันเซียนหวังชะตาฟ้าสิบสองสายลงมือ ทุกอย่างก็ถูกลิขิตเอาไว้แล้ว

“แน่นอน” หลี่ชิเย่ยิ้มจางๆ และเอ่ยขึ้นมาช้าๆ ว่า “ขึ้นอยู่กับว่าคนที่มาคือใครเท่านั้น หากจอมราชันเซียนหวังที่มีชะตาฟ้าสิบสองสายไม่มา ดูจะไม่คึกครื้นพอแล้ว”

คำพูดลักษณะเช่นนี้ของหลี่ชิเย่ ทำให้ภายในใจของหลิวจินเซิ่นต้องสะดุ้งทีหนึ่ง

Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *