Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล 1988 เต้าฮวยของเหล่ามอ

Now you are reading Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล Chapter 1988 เต้าฮวยของเหล่ามอ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

เมืองเล็กๆ เมืองนี้ไม่ได้ใหญ่โตอะไรนัก แต่มีความเก่าแก่โบราณและเรียบง่ายยิ่งนัก มันถูกสร้างขึ้นโดยอาศัยหินก่อขึ้นมา ถนนหนทางภายในเมืองก็อาศัยหินแต่ละก่อนปูทับขึ้นมา ไม่รู้ว่าเมืองนี้ได้สร้างขึ้นมานานเท่าไรแล้ว มองเห็นกำแพงเมืองที่เต็มไปด้วยหลุมบ่อ และยังเต็มไปด้วยร่องรอยของธนูและอาวุธต่างๆ ที่ฝากแผลแหว่งไว้ขณะที่มีการบุกตีเมือง

กาลเวลาผ่านไป แต่ละรุ่นแต่ละยุคที่หมุนเวียนสับเปลี่ยนกันไป ผู้คนที่ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป เมืองเล็กๆ แห่งนี้ได้เป็นประจักษ์พยานมายุคแล้วยุคเล่า หินที่ใช้ปูเป็นถนนหนทางถูกผู้คนที่ก้าวเดินเหยียบจนสึกไม่เหลือเหลี่ยมมุมให้เห็น กลายเป็นกลมกลึงยิ่งนัก ถนนบางสายถึงกับถูกขัดเกลาจนขึ้นเงา

ขนาดของเมืองไม่ได้ใหญ่โต มีความโบราณเรียบง่าย มีสะพานและสายน้ำไหล และมีบ้านและทางเดินทรงโบราณ เป็นสถานที่เล็กๆ ที่มีความสงบเงียบแห่งหนึ่ง บรรดาผู้คนที่อาศัยอยู่ที่แห่งนี้ล้วนแล้วแต่มีชีวิตความเป็นอยู่ที่เรียบง่ายและสงบ เนื่องจากประชากรของเมืองนี้มีอยู่ไม่มาก ดังนั้น จึงรู้จักกันเสียเป็นส่วนใหญ่

หากจะกล่าวว่าเจ้าเพิ่งจะเดินทางมาถึงเมืองเล็กๆ แห่งนี้ แล้วถามผู้คนที่อาศัยอยู่ในเมืองนี้ว่า อะไรคือสิ่งที่มีชื่อเสียงมากที่สุดของเมืองนี้ ผู้คนในเมืองนี้สามารถตอบได้ทันทีโดยไม่ต้องคิด และหลุดปากออกมาว่า “เต้าฮวยของเหล่ามอ”

หากจะกล่าวว่าเจ้าเพิ่งจะเดินทางมาถึงเมืองเล็กๆ แห่งนี้ แล้วถามผู้คนที่อาศัยอยู่ในเมืองนี้ว่า อะไรคือของกินที่อร่อยที่สุดของเมืองนี้ผู้คนในเมืองนี้สามารถตอบได้ทันทีโดยไม่ต้องคิด และหลุดปากออกมาว่า “เต้าฮวยของเหล่ามอ”

หากว่ามีการถามผู้คนที่อาศัยอยู่ในเมืองนี้อีกว่า ในเมืองนี้ เรื่องที่ทำให้รู้สึกมีความสุขมากที่สุดคืออะไร เกรงว่าผู้คนในเมืองนี้ยังคงตอบโดยไม่ต้องคิด และหลุดปากออกมาว่า “เข้าแถวรอซื้อเต้าฮวยของเหล่ามอ”

เมื่อมายังเมืองเล็กๆ แห่งนี้ บางทีอาจจำชื่อเมืองๆ นี้ไม่ได้ และหรือบางทีอาจจำไม่ได้ว่าเมืองเล็กๆ เมืองนี้มีสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญอะไรบ้าง แต่ว่า สิ่งหนึ่งจะต้องจำได้อย่างแน่นอนก็คือเต้าฮวยของเหล่ามอ ถ้าหากมีโอกาสได้กินเต้าฮวยของเหล่ามอล่ะก็ เกรงว่าจะไม่มีวันลืมเลือนไปชั่วชีวิต แน่นอน ขึ้นอยู่กับว่าเจ้าสามารถซื้อหามาได้หรือไม่

เหล่ามอเป็นคนเช่นใดกันเล่า ผู้คนที่อาศัยอยู่ในเมืองบอกไม่ถูก ต่อให้ผู้เฒ่าที่มีอายุมากที่สุดของเมืองนี้ก็บอกไม่ถูก ทุกคนต่างมีความทรงจำต่อเหล่ามออยู่อย่างเดียว นั่นคือเต้าฮวย

ภาพลักษณ์ของเหล่ามอก็คือเต้าฮวย ทุกคนเมื่อมีการพูดถึงเหล่ามอก็จะนึกถึงเต้าฮวย พูดถึงเต้าฮวยก็จะนึกถึงเหล่ามอ

ส่วนที่ว่าเหล่ามอแซ่อะไร มาจากที่ใด เป็นคนอย่างไร ไม่มีใครในเมืองสามารถบอกได้ เนื่องจากทุกกคนล้วนแล้วแต่จำไม่ได้แล้วว่าเหล่ามอเป็นคนเช่นใดกันแน่ นอกเหนือจากเต้าฮวยของเหล่ามอที่ผู้คนสามารถจดจำได้แล้ว อย่างอื่นไม่สามารถจำได้อีก

“เต้าฮวยของเหล่ามอ” เมื่อหลี่ชิเย่ก้าวเดินเข้ามาภายในเมืองเล็กแห่งนี้แล้ว ถึงกับเผยรอยยิ้มที่จางๆ ออกมา

อ๊าท อ๊าท อ๊าทในเวลานี้เอง ภายในตรอกเล็กของถนนสายหนึ่งปรากฎเสียงของไม้คานดังเอี๊ยดอ๊าทขึ้นมา สองฟากฝั่งซ้ายขวาของถนนต่างรู้สึกมีชีวิตชีวาขึ้นมาเมื่อได้ยินเสียงของไม้คานนี้แล้ว

เหล่ามอมาแล้ว…ไม่รู้ว่าใครส่งเสียงตะโกนขึ้นมา เสียงดังโหวกแวกดังขึ้นมาจากรอบด้านของถนน เสียงหัวเราะดีใจอย่างมีความสุขของเด็กๆ เสียงสาวน้อยที่ร้องเรียกกัน ยังมีเสียงของถ้วยชามที่กระทบกันปึงปัง

ท่ามกลางเสียงหัวเราะอย่างมีความสุขของเด็กและผู้ใหญ่ ด้านข้างของถนนปรากฏแถวยาวขึ้นมาแถวหนึ่ง

ท่ามกลางเสียงของไม้คานที่ดังเอี๊ยดอ๊าท มองเห็นผู้เฒ่าผู้หนึ่งหาบเอาถังไม้มาสองใบ ผู้เถ้ามีวงหน้าสี่เหลี่ยม บนใบหน้าเต็มไปด้วยรอยเหี่ยวย่น กาลเวลาได้ทิ้งร่องรอยที่ไม่สามารถลบเลือนไปได้เอาไว้ ผู้เฒ่าสวมชุดสำหรับคิมหันตฤดู มีผ้าขนหนูพาดพาดบ่าอยู่ผืนหนึ่ง แม้ว่าไหล่ทั้งสองข้างจะหาบเต้าฮวยมาสองถังเต็ม แต่เขายังสามารถก้าวเดินได้อย่างคล่องแคล่วรวดเร็ว แสดงถึงความปราดเปรียวและแข็งแรงยิ่ง ให้ความรู้สึกถึงอายุยิ่งมากยิ่งแข็งแรงสำหรับผู้คน

เมื่อเดินมาถึงด้านหน้าของแถวแล้ว เหล่ามอได้วางสิ่งที่หาบลง จัดเรียงถังไม้ให้เข้าที่ มือกำทัพพี เปิดผ้าบางๆ ที่คลุมอยู่บนถังไม้ออก ร้องเสียงดังออกมาว่า “เปิดถังแล้ว รีบเข้าแถวเร็วไว”

ทุกๆ ความเคลื่อนไหวเหล่านี้ของเหล่ามอล้วนแล้วแต่เป็นไปในขั้นตอนเดียวลื่นไหลไม่มีติดขัด ทุกๆ ขั้นตอนล้วนแล้วแต่พอเหมาะพอเจาะ มีความแม่นยำสูงยิ่ง

เหล่ามอตักเต้าฮวยใส่ในถ้วยของเด็กผู้หญิงที่อยู่แถวหน้าสุด เด็กผู้หญิงนำเหรียญใส่ไว้ในกระเป๋าผ้าที่อยู่บริเวณเอวของผู้เฒ่าถือชามเต้าฮวยเต็มชามจากไปด้วยความดีใจ

“เหล่ามอขอข้าชามหนึ่ง เมื่อวานเข้าแถวก็ยังซื้อไม่ได้” ไม่รู้ว่ามีผู้คนจำนวนเท่าไรที่อยู่ในแถวมองดูเต้าฮวยสีขาวแล้วอดที่จะกลืนน้ำลายลงคอไม่ได้ โดยเฉพาะเมื่อได้กลิ่นหอมของถั่วที่ซึมซาบเข้าไปในจิตใจของผู้คน ยิ่งทำให้อดที่จะได้มาอย่างยิ่ง

ดังนั้น เวลานี้ไม่รู้ว่ามีผู้คนจำนวนเท่าไรที่อยู่ในแถวต้องยืดคอจนยาวมาก เพื่อให้มองเห็นเต้าฮวยที่อยู่ภายในถังไม้ ทุกคนต่างกลัวที่จะได้เห็นก้นถัง เมื่อถึงคิวของตัวเองก็หมดเสียก่อนแล้ว

แต่ทว่า เต้าฮวยทั้งสองถังสามารถมองเห็นก้นถังได้อย่างรวดเร็ว และหลังจากที่เหล่ามอได้ตักเต้าฮวยช้อนสุดท้ายขายออกไปแล้ว เขาใช้มือตบไปที่กระเป๋าผ้าที่พันอยู่กับเอว ได้ยินเสียงเหรียญกษาปณ์ทองแดงที่ดังตึงตึงตึง โดยเขาไม่ได้ไปนับจำนวน ยิ้มแต้และกล่าวว่า “เต้าฮวยขายหมดแล้ว พรุ่งนี้พบกันแต่เช้า” ขาดคำลงมือเก็บของในทันที

“เหล่ามอทำไมถึงทำมาแค่วันละสองถัง ผู้คนรู้สึกไม่พอใจกันมากเลยทีเดียว นี่มิเท่ากับเป็นการยั่วน้ำลายพวกเรากันหรอกรึ? ตามความเห็นของพวกเรา อย่างไรเสียวันหนึ่งก็ต้องมีสักสี่ถัง” ชาวบ้านที่ซื้อเต้าฮวยไม่ได้ถึงกับบ่นอุบกันขึ้นมา

แต่ว่าเหล่ามอแค่ยิ้มแต้โดยไม่ได้ตอบคำถามและการบ่นว่าของผู้คน หลังจากเก็บของเสร็จแล้ว สอดไม้คานแล้วก็แบกขึ้นบ่าส่งเสียงดังออกมาว่า “ไปหละ” จากนั้นหาบถังไม้เดินกลับไปทางเดิมอย่างเชื่องช้า

หลี่ชิเย่มองดูเหล่ามอแล้วถึงกับยิ้มๆ เขาก้าวเดินไปช้าๆ อย่างมีความสุข เดินตามหลังเหล่ามอเอย่างเอ้อระเหย

สำหรับชาวบ้านที่เป็นเพื่อนบ้านซึ่งซื้อเต้าฮวยไม่ได้ ได้แต่บ่นพึมพำหลายคำ จากนั้นทยอยกันแยกย้ายจากไป เนื่องจากเหล่ามอมาขายเต้าฮวยอยู่ที่ตรงนี้ และเป็นเช่นนี้ในหลายสิบปีที่ผ่านมา ไม่ว่าจะฝนตกแดดออกอย่างไรก็ไม่เปลี่ยนแปลง จะมีอยู่แค่สองถังไม่ขาดไม่เกินทุกวัน บรรดาเพื่อนบ้านที่ไม่ทันซื้อได้แต่มาให้เร็วขึ้นกว่าเดิมในวันพรุ่งนี้แล้ว

บ้านที่เหล่ามอพักอาศัยอยู่ไม่ห่างจากที่ที่เขาขายเต้าฮวย ห่างกันแค่ถนนอีกสายหนึ่งเท่านั้น ที่ที่เหล่ามออาศัยอยู่นั้นเป็นบ้านที่มีสวนซึ่งไม่ใหญ่โตมากนัก แต่เป็นแบบซื่อเหอย่วน[1] กำแพงที่ก่อด้วยดินขนาดเล็กได้ล้อมรอบบ้านหลังนี้เอาไว้

บ้านหลังนี้เก่าแก่มากแล้ว ไม่รู้ว่าสร้างขึ้นมาตั้งแต่ปีไหน แม้แต่ธรณีประตูยังถูกเหยียบจนบุ๋มลึกลงไป หลังจากที่เหล่ามอกลับถึงบ้านแล้ว วางถังไม้ลง บิดขี้เกียจทีหนึ่ง หลังจากนั้นได้ยกเอาถั่วเหลืองออกมาหนึ่งตะกร้าใหญ่ คว้าถั่วเหลืองมากำมือหนึ่ง ค่อยๆ ทำการคัดแยกท่ามกลางแสงแดด

ยืมคำพูดของเหล่ามอที่พูดเอาไว้ว่า เต้าฮวยจะอร่อยหรือไม่นั้น คุณภาพของถั่วเหลืองมีความสำคัญอย่างยิ่ง ดังนั้น เต้าฮวยของเหล่ามอล้วนแล้วแต่อาศัยเม็ดถั่วเหลืองที่สมบูรณ์อวบอิ่มแต่ละเม็ดมาผ่านการโม่ออกมา อีกทั้ง ถั่วเหลืองแต่ละเม็ดล้วนแล้วแต่ผ่านการเลือกด้วยมือของเขาเอง ไม่เพียงเลือกเอาเม็ดถั่วเหลืองที่แห้งจนแฟบออกทิ้งไป อีกทั้งยังต้องลอกเอาเปลือกที่หลงเหลืออยู่ออกไปอีกด้วย

เหล่ามอนั่งเลือกถั่วเหลืองภายใต้แสงอาทิตย์ทีละกำมือ ท่าทางจริงจังอย่างยิ่ง แม้แต่เม็ดถั่วเหลืองที่มีรูหนอนเจาะเล็กๆ ก็จะถูกเขาเลือกทิ้งไป

เหล่ามอรวบรวมสมาธินั่งคัดเลือกถั่วเหลือง นาทีนี้เขาเหมือนลืมโลกทั้งโลกใบนี้ไปแล้ว ในสายตาของเขามีเพียงเม็ดถั่วเหลืองแต่ละเม็ดเหล่านั้นเท่านั้น นอกจากเม็ดถั่วเหลืองแต่ละเม็ดเหล่านี้แล้ว ไม่มีสิ่งใดในโลกสามารถเข้าตาของเขาได้อีกแล้ว

หลังจากที่หลี่ชิเย่ได้เดินตามเข้ามาแล้วก็ไปยืนพิงอยู่กับต้นหวายแก่ต้นหนึ่ง มองดูเหล่ามอที่นั่งคัดเลือกถั่วเหลืองทีละเม็ดๆ โดยที่หลี่ชิเย่ไม่ได้ไปรบกวนเขา แค่นั่งมองเขาเงียบๆ เท่านั้นเอง

ในที่สุด ครั้นพระอาทิตย์ค่อนไปทางตะวันตก เหล่ามอก็ทำการคัดแยกถั่วเหลืองหนึ่งตะกร้าใหญ่จนเสร็จสิ้น เขาบิดขี้เกียจยืดเส้นยืดสายทีหนึ่ง หรี่ตาทั้งสองข้างที่เริ่มฝ้าฟางอยู่บ้างจ้องมองไปที่หลี่ชิเย่ และกล่าวว่า “น้องชายท่านนี้มีเรื่องอะไรรึ?”

หลี่ชิเย่ยิ้มเฉยเมย กล่าวขึ้นช้าๆ ว่า “ข้าแค่มาเยี่ยมเจ้าเท่านั้น มาดูฟ้าดินแห่งนี้สักนิด ดูโลกนี้สักหน่อย”

“ตาแก่อย่างข้า กับร่างกายที่ไม่สมประกอบ มีอะไรน่าดู” เหล่ามอพูดขึ้นมา พร้อมกับหัวเราะและส่ายหน้า

“ทุกๆ อาชีพล้วนแล้วแต่มีสัจธรรมอยู่” หลี่ชิเย่พูดทอดถอนใจออกมาว่า “เพียงแต่อยู่ที่เจ้าสามารถตั้งอกตั้งใจไปทำหรือไม่เท่านั้นเอง ขอเพียงเจ้าทำอย่างตั้งอกตั้งใจ จะขายเต้าฮวยก็ดี สานเสื่อก็ช่าง และหรือจะเป็นไก่ขอทาน ล้วนแล้วแต่เป็นสัจธรรมแต่ละสายทั้งสิ้น ยามที่เจ้าก้าวเดินถึงสุดปลายทางของสัจธรรมแต่ละสายเหล่านี้…”

“…สิ่งที่เจ้าค้นพบไม่ใช่ความลึกซึ้งพิสดารอะไร ที่เจ้าค้นพบคือจิตแห่งการบำเพ็ญเพียรที่มุ่งมั่นไม่มีผ่อนคลายดวงหนึ่ง ความหมายเช่นนี้จะมีกี่คนที่เข้าใจกันเล่า” เมื่อหลี่ชิเย่กล่าวมาถึงตรงนี้ได้ทอดถอนใจออกมาเบาๆ ทีหนึ่ง

เหล่ามอมีทีท่าที่แปลกใจระคนความตกใจ กระทั่งรู้สึกหนักแน่นจริงจังอยู่หลายส่วน เขาได้แสดงคารวะต่อหลี่ชิเย่ และกล่าวว่า “ไม่ทราบว่าสหายมาจากที่ใด”

“ข้าแค่คนที่เดินทางผ่านมายังโลกใบนี้เท่านั้นเอง มาจากดินแดนที่ห่างไกล” หลี่ชิเย่หัวเราะและเดินเข้าไปใกล้ ใช้ปากเป่าลมใส่เปลือกถั่วเหลืองที่อยู่บนพื้นทีหนึ่ง

ได้ยินเสียงตูมดังขึ้นเสียงหนึ่ง เปลือกถั่วเหลืองทั้งหมดล่องลอยขึ้นมาและปลิวอยู่บนท้องฟ้า เพียงชั่วพริบตาเดียวเท่านั้น บรรดาเปลือกถั่วเหลืองเหล่านั้นถึงกับรวมตัวกันกลายเป็นอีกาตัวหนึ่ง อีกาตัวนี้กางปีกบินร่อน บินวนอยู่เหนือศีรษะของเหล่ามอไปรอบหนึ่ง สุดท้าย ได้ยินเสียงตูมดังขึ้น อีการ่อนลงพื้น ยังคงเป็นเปลือกถั่วเหลืองที่กระจายอยู่เต็มพื้นเท่านั้น

ร่างกายของหล่ามอมองสั่นไหว และมีสีหน้าที่เปลี่ยนไปเมื่อมองเห็นอีกาตัวนี้แล้ว เพียงชั่วครู่ก็ได้สติกลับคืนมา เขาโค้งคำนับให้กับหลี่ชิเย่อย่างลึกซึ้ง และกล่าวว่า “ที่แท้ปรมาจารย์ท่านมาเยือน ไม่ทันได้ออกไปต้อนรับ โปรดอภัยด้วย”

“ไม่ต้องเกรงใจเช่นนี้” หลี่ชิเย่หัวเราะและกล่าวว่า “แม้ว่าเจ้ากับข้าจะอยู่คนละฝ่าย แต่จะอย่างไรเสียก็กำเนิดจากสายเดียวกัน ทั่วทั้งสิบสามทวีปจะมีสักกี่คนที่สามารถเป็นเหมือนดั่งเจ้า”

“ท่านปรมาจารย์ชมเกินไปแล้ว เชิญท่านปรมาจารย์ด้านใน” เหล่ามอเผยรอยยิ้มออกมา และเชื้อเชิญหลี่ชิเย่ให้เข้าไปในบ้าน

ขณะที่นั่งอยู่ภายในห้องโถง หลี่ชิเย่เพียงมองดูแค่แวบเดียวเท่านั้น ภายในบ้านเรียบง่ายยิ่งนัก ยกเว้นโต๊ะเก้าอี้ที่ควรต้องมีแล้วก็ไม่มีสิ่งอื่นใดอีก แต่ทว่า ทั่วทั้งบริเวณบ้านถูกทำความสะอาดเสียจนไม่มีฝุ่นแม้แต่นิดเดียว

“ถ้าหากการมาของข้าที่นี่มีจุดประสงค์อะไรล่ะก็ ดีแล้วหละ ชาตินี้เจ้าถนัดในการปรุงเต้าฮวยมากที่สุดแล้ว ข้าก็อยากจะได้ชิมเต้าฮวยสักถ้วยหนึ่ง” หลังจากที่หลี่ชิเย่ได้นั่งลงแล้วยิ้มกล่าวขึ้นมาโดยไม่เกรงใจ

“ท่านปรมาจารย์มาได้ประจวบเหมาะ ข้ามีอยู่ถ้วยหนึ่งพอดี” เหล่ามอก็เผยรอยยิ้มออกมา กล่าวออกมาตรงๆ

ผ่านไปชั่วครู่ เหล่ามอได้ยกเสริฟด้วยเต้าฮวยที่ส่งไอร้อนลอยขึ้นมา วางลงบนโต๊ะตรงหน้าของหลี่ชิเย่ ขณะที่หลี่ชิเย่ก็ไม่เกรงใจหยิบช้อนขึ้นมาตักกินทีละคำๆ ทุกๆ คำก็จะกินอย่างช้าๆ ด้วยท่าทีที่เป็นการเสพสุขยิ่งนัก เสมือนหนึ่งสิ่งที่กินอยู่นั้นคือน้ำทิพย์เซียนอะไรอย่างนั้น

หลังจากเวลาผ่านไม่นาน เต้าฮวยร้อนๆ ถ้วยหนึ่งปรากฏก้นถ้วยให้เห็นแล้ว และหลี่ชิเย่ดูจะพึงพอใจยิ่ง เช็ดปากทีหนึ่งแล้วกล่าวว่า “แค่อาหารธรรมดาที่สุดของโลกมนุษย์เท่านั้นเอง เมื่อออกมาจากฝีมือเจ้า กลับกลายเป็นอาหารเลิศรสของโลกมนุษย์ เมื่อว่ากันถึงที่สุดแล้ว ยังคงเป็นปัญหาของความตั้งใจ ใส่ใจลงไปย่อมสามารถแปรเปลี่ยนสิ่งไร้ค่าให้เป็นสิ่งมหัศจรรย์ได้เสมอ”

…………………………………………………..

[1] ซื่อเหอย่วน(四合院)เป็นบ้านแบบเก่าสมัยก่อนที่สร้างเป็นบ้านชั้นเดียวสี่หลังหันหน้าเข้าหากัน เชื่อมด้วยสวนที่อยู่ตรงกลาง มีกำแพงล้อมรอบทุกด้าน หลังที่อยู่ตรงข้ามกับประตูใหญ่ทางเข้าคือหลังของเจ้าของบ้านที่เป็นหัวหน้าครอบครัว

Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *