Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล 1699 พร้อมหน้าพร้อมตา

Now you are reading Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล Chapter 1699 พร้อมหน้าพร้อมตา at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 1699 พร้อมหน้าพร้อมตา
ผู้ที่มาถึงสำนักโบราณสี่เหยียนเป็นคนแรกก็คือหลันหยุนจู้ หลังจากที่นางพบเห็นหลี่ชิเย่แล้วจึงยิ้มแต้และกล่าวว่า “ว้าว ท่านอา ไม่รู้นะเนี่ยท่านถึงกับแอบซ่อนอีหนูเอาไว้ ในนี้ได้ซ่อนสาวงามเอาไว้มากมายถึงเพียงนี้!”

“อะไรเรียกว่าแอบ นี่เรียกว่าสง่าผ่าเผย” หลี่ชิเย่กล่าวเฉยเมยว่า “ดังนั้น จะว่าไปแล้วความงามของเจ้ามาเป็นนังหนูอุ่นเตียงให้กับข้ายังฝืนๆ อยู่เลย”

“อย่าได้ฝันกลางวันเลย!” หลันหยุนจู้แสดงอาการไม่พอใจด้วยจริตจะก้านและค้อนขวับให้ ท่วงท่าของเด็กสาวเผยออกมาให้เห็นเต็มที่ แน่นอน เมื่ออยู่ต่อหน้าหลี่ชิเย่แล้วนางก็ไม่สามารถวางมาดอะไรได้

ในแดนวิญญาณศักดิ์สิทธิ์นั้น หลันหยุนจู้นับว่าร้อนแรง และชื่อเสียงโด่งดังมาก ไม่รู้ว่าเป็นเทพธิดาในทัศนะคติของยอดฝีมือกลุ่มคนรุ่นใหม่อยู่จำนวนเท่าไร เป็นนางในฝันของดาวรุ่งกลุ่มคนรุ่นใหม่เท่าไร เวลานี้ นางกลับกลายเป็นนังหนูที่เข้ากับคนง่ายเมื่ออยู่ต่อหน้าหลี่ชิเย่

“ในเมื่อมาถึงแล้ว งั้นก็เตรียมตัวให้ดีก็แล้วกัน” หลี่ชิเย่กล่าวเรียบเฉยออกมา

“ตกลง เจ้าไปถึงไหนข้าก็จะติดตามไปถึงนั่น” หลันหยุนจู้ตอบอย่างตรงไปตรงมา ไม่มีการแสดงท่าทางที่ออดอ้อนแต่อย่างใด

หลันหยุนจู้มาถึงได้ไม่นาน หลงจิงเซียนและเจี้ยนอู๋ซวงก็มาถึงสำนักโบราณสี่เหยียนเช่นกัน หลังจากที่พวกนางมาถึงแล้ว เจี้ยนอู๋ซวงพูดน้อยมาก แต่หลงจิงเซียนพลันเสมือนหนึ่งเปิดเครื่องเสียงขึ้นทันที

“เจ้าชิเย่เหม็น ข้าจะสยบเจ้า!” พลันที่หลงจิงเซียนเห็นหน้าหลี่ชิเย่ คำพูดคำแรกก็ออกมาทันที

“อาศัยเจ้าน่ะรึ?” หลี่ชิเย่ถึงกับหัวเราะออกมาเมื่อได้ยินคำพูดเช่นนี้ของหลงจิงเซียน “อาศัยเจ้า เกรงว่ายังคงอ่อนไปนิดทักษะด้อยไปหน่อย”

หลงจิงเซียนใช่จะไม่มีเหตุผล จึงเปิดลัคนาของตนออกมา ปล่อยให้สิบสองลัคนาเรียงรายอยู่เหนือศีรษะของนาง ดูน่าเกรงขาม เปี่ยมด้วยกลิ่นอายเซียน

ถ้าหากบุคคลภายนอกเห็นสิบสองลัคนาของหลงจิงเซียนแล้วคงต้องตระหนกตกใจ นับแต่อดีตถึงปัจจุบัน ผู้ที่มีสิบสองลัคนาในครอบครองนับว่ามีเพียงไม่กี่คนเท่านั้น เวลานี้หลงจิงเซียนกลับมีสิบสองลัคนาอยู่ในครอบครอง

“อึม ในที่สุดเจ้าก็ทำได้สำเร็จแล้ว” หลี่ชิเย่ไม่ได้รู้สึกตกใจ พยักหน้ากล่าวว่า “สิบสองลัคนาสำเร็จแล้ว เพียงแต่ทักษะยังไม่เพียงพอ ฐานเต๋าของเจ้าแน่นมากยากจะหาข้อตำหนิ ฝึกอีกนิด เจียระไนอีกหน่อยก็จะสมบูรณ์ยิ่งขึ้น”

หลี่ชิเย่ไม่ได้รู้สึกแปลกใจกับการฝึกจนสำเร็จสิบสองลัคนาของหลงจิงเซียนแม้แต่น้อยนิด จะอย่างไรเสียหลงจิงเซียนคือผู้ที่มีชะตาเซียนแต่กำเนิด พรสวรรค์ที่ปราศจากผู้เทียบเทียมเช่นชะตาเซียนแต่กำเนิดนี้ นับว่าพบเห็นได้ยากยิ่งนับแต่อดีตถึงปัจจุบัน หาได้ยากยิ่งกว่าสิบสองลัคนาเสียอีก

หลงจิงเซียนรื้อทั้งหมดแล้วเริ่มต้นนับหนึ่งฝึกใหม่ นางพยามยามอดทนหมั่นฝึกวิชา ในที่สุดความพยายามอยู่ที่ไหนความสำเร็จอยู่ที่นั่น หลงจิงเซียนได้ก้าวทะลุขีดจำกัดของตน สำเร็จสิบสองลัคนาได้ในที่สุด

“ฮึ เจ้าจะชมข้าสักหลายๆ คำนี่จะตายหรือไง?” หลงจิงเซียนพูดขึ้นมาอย่างเผ็ดร้อนว่า “ชั่วดีอย่างไรข้าก็ได้สู้อดทนฝึกจนได้สิบสองลัคนาอย่างยากลำบาก ครั้งนั้นเป็นเจ้าที่ยุยงให้ข้าทำลายฐานเต๋าแล้วเริ่มต้นใหม่นะ เจ้ารู้หรือไม่ว่าการทำลายฐานเต๋าและเริ่มต้นนับหนึ่งใหม่มันเป็นเรื่องที่เจ็บปวดแค่ไหนหรือไม่? ข้าน่ะต้องทนทุกข์ทรมานมาครั้งแล้วครั้งเล่า ถูกขังเอาไว้แต่ในบ้านห้ามก้าวออกนอกบ้านแม้เพียงครึ่งก้าว…”

ลักษณะการพูดของหลงจิงเซียนทั้งเร็วและเร่งรีบ แสดงถึงความไม่พอใจอย่างยิ่งต่อปฏิกิริยาของหลี่ชิเย่ แน่นอนที่สุด กล่าวสำหรับนางแล้วการล้มเลิกสิ่งที่มีอยู่เดิมแล้วเริ่มต้นใหม่ใช่เป็นเรื่องง่ายดายนัก จะอย่างไรเสียก่อนหน้านี้นางนับว่าประสบความสำเร็จมาแล้วไม่น้อยแลย ทั้งยังมีถึงสิบเอ็ดลัคนา ด้วยผลงานเช่นนี้หากเปลี่ยนเป็นผู้อื่นล่ะก็ ใครที่ไหนจะยอมล้มเลิกสิ่งที่มีอยู่เดิมแล้วมาเริ่มต้นใหม่!

“อึม ยอดเยี่ยมมาก” หลี่ชิเย่พยักหน้าและยิ้มกล่าวว่า “พยายามสู้ๆ ไม่แน่นักเจ้าอาจจะได้เป็นราชันเซียนเจียวเหิงคนที่สองเลยนะ”

“ฮึ แสดงละครตบตา!” หลงจิงเซียนรู้สึกไม่พอใจอย่างยิ่งกับท่าทีของหลี่ชิเย่ที่ทำแบบขอไปที ส่งเสียงแสดงความไม่พอใจออกมา แต่ว่า นังหนูผู้นี้อารมณ์แปรปรวนง่ายและรวดเร็ว นางยิ้มแต้กล่าวว่า “ข้านี่แหละเป็นผู้ใหญ่ย่อมใจกว้างไม่ถือสาหาความกับเจ้า รีบบอกมาเร็วไวแดนมนุษย์กษัตราพวกเจ้ามีสถานที่อะไรน่าเที่ยว ข้าจะไปเที่ยวให้หนำใจ ข้าไม่ได้เที่ยวมานานมากแล้วนะ”

“ใครบอกว่าจะไปเที่ยวกัน?” หลี่ชิเย่มองหน้านางทีหนึ่ง กล่าวเฉยเมยว่า “วันที่จะต้องขึ้นไปบนเก้าชั้นฟ้าใกล้เข้ามาแล้ว พวกเจ้าต้องพยายามมากไปกว่านี้ พวกของซวงเหยียนกำลังฝึกค่ายกลพิฆาตราชันเซียนอยู่ พวกเจ้าก็ไปร่วมด้วย อาศัยพรสวรรค์ของเจ้าสามารถช่วยพวกนางได้อีกแรง ในอนาคตพวกเจ้าจะต้องร่วมมือกันขับเคลื่อนค่ายกลนี้”

หลี่ชิเย่ได้มอบค่ายกลพิฆาตราชันเซียนให้กับพวกหลี่ซวงเหยียนได้ฝึกซ้อม หลี่ซวงเหยียนชื่นชอบเรื่องค่ายกลมาแต่เยาว์วัย จึงมีการศึกษาทางด้านนี้ที่ลึกซึ้งมาก ดังนั้น หลี่ชิเย่จึงมอบหมายให้นางเป็นผู้ดำเนินการควบคุมค่ายกลนี้ โดยมีพวกของเฉินเป่าเจียวคอยช่วยเหลือ

“ฮึ ฝึกอีกแล้วหรือ” หลงจิงเซียนเมื่อได้ยินคำพูดเช่นนี้แล้วรู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างยิ่ง ถึงกับพูดขึ้นมาพร้อมกับส่งเสียงแสดงความไม่พอใจออกมา

หลี่ชิเย่กล่าวท่าทีเฉยเมยว่า “เจ้าคิดว่าขึ้นไปข้างบนเป็นการไปชมนกชมไม้อย่างนั้นรึ? ถ้าหากเจ้าเป็นเพียงมดปลวกตัวหนึ่งคงไม่มีอะไร จะอย่างไรเสียมดเปลวกอยู่ที่ตรงไหนก็ไม่ต่างกัน แต่ว่า หากเจ้าคิดจะยืนอยู่บนจุดสูงสุดมันจะโหดร้ายทารุณยิ่งกว่าเก้าแดนเสียอีก ต่อให้เป็นราชันเซียนก็มีสิทธิ์ถูกสังหารได้เหมือนกัน ณ สถานที่เช่นนั้นแม้แต่ราชันเซียนยังคงต้องพยายามฝึกฝนต่อไป กระทั่งราชันเซียนปรคาศจากผู้ต่อกรยังคงต้องพยายาม แล้วเจ้ายังจะมีข้ออ้างใดไม่พยายามกันเล่า?”

“รู้แล้วหน่ะ พวกเราไปก็ได้ เจ้าจะได้ไม่ต้องพร่ำบ่นไม่หยุดเหมือนยายแก่” หลงจิงเซียนส่งเสียงฮึออกมา แม้ว่านางจะไม่สบอารมณ์และยังคงตกลง

“มอบนางให้กับเจ้าแล้วล่ะ” หลี่ชิเย่พยักหน้าและกล่าวต่อเจี้ยนอู๋ซวง แม้ว่านิสัยของเจี้ยนอู๋ซวงจะเย่อหยิ่งสักหน่อย แต่เมื่อเปรียบเทียบกับหลงจิงเซียนที่เอาแต่เล่นนับว่ามีความสุขุมและจิตสงบกว่ากันมาก

เจี้ยนอู๋ซวงไม่ได้กล่าวมากความ เพียงพยักหน้าเงียบๆ เท่านั้นเอง

เจี้ยนอู๋ซวงกับหลงจิงเซียนมาแล้ว หมิงเย่เสวี่ยก็แค่มาถึงช้ากว่าก้าวเดียวเท่านั้นเอง

หลังจากที่หมิงเย่เสวี่ยพบกับหลี่ชิเย่แล้วก็เอ่ยถามขึ้นมาเบาๆ ว่า “พวกเราจะขึ้นไปจริงๆ รึ? บรรดาบรรพบุรุษของแดนอสูรปีอานต่างรู้สึกกังวลอยู่บ้าง เล่าลือกันว่าตลอดเวลาที่ผ่านมามีเพียงราชันเซียนเท่านั้นที่ขึ้นไปบนนั้นได้”

การมาของหมิงเย่เสวี่ยไม่เพียงมาด้วยเรื่องส่วนตัวเท่านั้น นางยังนำคำพูดของแดนอสูรปีอานมาด้วย เนื่องจากไม่เพียงแต่นางที่จะติดตามหลี่ชิเย่ขึ้นไป แม้แต่แดนอสูรปีอานทั้งหมดก็จะติดตามขึ้นไปด้วย

“นั่นมันอดีต เวลานี้ต่างกันแล้ว” หลี่ชิเย่กล่าวเฉยเมยว่า “ในเมื่อข้ากล้ารับปากบรรดาตาเฒ่าของแดนอสูรปีอานก็ต้องมีความมั่นใจเต็มเปี่ยม ข้าน่ะเตรียมการเสร็จแล้ว ไม่รู้ว่าทางด้านแดนอสูรปีอานพวกเจ้าเตรียมตัวพร้อมแล้วยัง เมื่อไปถึงข้างบนแล้ว แดนอสูรปีอานพวกเจ้าต้องเผชิญกับเหตุการณ์ที่ยุ่งยากมากมายนัก! ”

“เตรียมพร้อมแล้วล่ะ” หมิงเย่เสวี่ยพยักหน้าและกล่าวว่า “สำหรับเรื่องที่ว่ามีความแข็งแกร่งแค่ไหนนั้น รายละเอียดเรื่องนี้ข้าคงพูดยาก แต่ว่า แดนอสรูปีอานพวกเราจะต้องอาศัยท่วงท่าที่ดีที่สุดรับมือกับความท้าทายทุกอย่าง บรรดาบรรพบุรุษของแดนอสูรปีอานก็ได้กล่าวเอาไว้แล้วว่า นี่เป็นเพียงโอกาสเดียวของแดนอสูรปีอานพวกเรา ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม ก็จะทุ่มเทเต็มที่!”

“งั้นก็ดี บอกพวกเขาว่า เมื่อถึงเวลานั้นพวกเจ้าไม่เพียงต้องเผชิญกับแรงกดดันที่มาจากเหล่าเทพและราชันเซียนเท่านั้น ยังจะต้องเผชิญกับศัตรูที่ดำรงอยู่ในสถานะเช่นพวกเขา แดนอสูรปีอานของพวกเจ้าคือเนื้อหวานมันชิ้นหนึ่งเลยหละ เกรงว่าเมื่อไรที่ไปปรากฎตัวยังแดนที่สิบจะมีคนจำนวนมากล้วนแล้วแต่ต้องการกัดกินสักคำ” หลี่ชิเย่เอ่ยขึ้นมาช้าๆ

“ข้าเข้าใจ” หมิงเย่เสวี่ยก็พยักหน้าและกล่าวด้วยความหนักแน่นจริงจัง แม้ว่านางไม่เคยไปแดนที่สิบมาก่อน แต่จากปากคำของบรรดาบรรพบุรุษแดนอสูรปีอานรู้ว่า สถานที่แห่งนั้นคือโลกที่เสมือนดั่งคลื่นที่โหมสาดซัดและขยายเป็นวงกว้างออกไป ขณะเดียวกันก็เป็นโลกที่ทารุณโหดร้ายมาก

หลังจากที่หมิงเย่เสวี่ยพักอยู่ที่สำนักโบราณสี่เหยียนหลายวันก็ได้จากไป นางไม่เหมือนเช่นพวกของเจี้ยนอู๋ซวง นางไม่ได้ติดตามหลี่ชิเย่ไปเพียงลำพัง นางต้องไปพร้อมกับแดนอสูรปีอานทั้งหมด ดังนั้น นางจึงต้องมีการเตรียมการที่มากกว่า

หลังจากที่พวกของเจี้ยนอู๋ซวงต่างมาถึงกันแล้ว หลี่ชิเย่ได้เริ่มลงมือวางแผนเดินทางไปยังแดนที่สิบแล้ว ขณะเดียวกัน เขายังได้แจ้งข่าวไปยังพวกเทพมารวัวโลหิต

หลังจากได้รับการแจ้งข่าวจากหลี่ชิเย่แล้ว คนแรกที่รุดมาก็คือราชันทักษิณกู่กัว การพบเห็นราชันทักษิณกู่กัวอีกครั้งเขาได้ให้ความรู้สึกเหมือนกลับสู่ความเป็นตัวตนดั้งเดิม เป็นความรู้สึกที่ผสานเข้ากับฟ้าดิน เหมือนว่าการยืนอยู่ที่ตรงนั้นของเขาได้ล่องหนไปอย่างนั้น ทำให้ผู้คนไม่ได้ใส้ใจกับการคงอยู่ของเขา

“นับว่าเจ้าไม่เสียชื่อสิบยอดอัจฉริยะบุคคลนับแต่อดีตถึงปัจจุบัน มาคราวนี้เจ้าเปลี่ยนแปลงการฝึกแล้วถึงกับก้าวหน้าได้รวดเร็วเพียงนี้ ด้วยพรสวรรค์เช่นนี้ จิตแห่งการบำเพ็ญเพียรเช่นนี้ เจ้าคิดจะไม่เป็นราชันเซียน ไม่เป็นเซียนหวาง (เซียนอ๋อง) ก็คงยาก” หลี่ชิเย่ถึงกับยิ้มและออกปากชื่นชมหลังจากได้เห็นราชันทักษิณกู่กัวแล้ว

ราชันทักษิณกู่กัวไม่ได้มีอาการลำพองใจเมื่อถูกหลี่ชิเย่กล่าวชื่นชมเช่นนี้ ท่าทีของเขาเป็นไปตามธรรมชาติ ยิ้มกล่าวว่า “ทั้งหมดล้วนแล้วแต่เป็นเพราะการชี้แนะของท่านปรมาจารย์ หากไม่ได้รับการชี้แนะจากท่านปรมาจารย์ข้าก็คงได้แต่ค่อยๆ คลำหาไปช้าๆ ท่ามกลางความมืดมิดเท่านั้นเอง”

“ถ้าหากไม่มีพรสวรรค์เช่นเจ้า ไม่มีการตัดสินใจเด็ดขาดของเจ้า ต่อให้ข้าชี้แนะไปก็ไม่แน่จะมีประโยชน์” หลี่ชิเย่ส่ายหน้าและยิ้มกล่าว

ราชันทักษิณกู่กัวยิ้มกล่าวว่า “การบุกขึ้นไปบนนั้นในครั้งนี้ของท่านปรมาจารย์จะต้องเล่นหนักแน่ ได้ยินมาว่าอาวุธบนนั้นแตกต่างจากอาวุธของเก้าแดนพวกเรา ไม่ทราบว่าอาวุธของข้าต้องมีการเปลี่ยนหรือไม่หละ?”

“เป็นความจริงที่ต่างกัน” หลี่ชิเย่หัวเราะและกล่าวว่า “แต่ว่าทวนฟางเทียนฮว่าจี๋ของเจ้าแตกต่างจากบุคคลอื่น หาใช่เป็นสัจอาวุธชีพแท้ที่เป็นไปตามความหมายที่สืบทอดกันมา เจ้านำมันติดตัวไปได้โดยไม่จำเป็นต้องเปลี่ยน แม้ว่าบนนั้นจะต่างจากเก้าแดน แต่ก็มีที่ร่วมกันได้ ความจริงแล้วอาวุธบางอย่างของเก้าแดนก็สามารถใช้บนนั้นได้เช่นกัน เช่นระฆังเขาถัวซาน ประตูเบญจทวารกั้นฟ้าเป็นต้น ซึ่งไม่ได้รับผลกระทบเมื่อนำไปใช้ข้างบน”

“งั้นดีเลย” ราชันทักษิณยิ้มกล่าวว่า “อาวุธนี้ติดตามข้ามาครึ่งค่อนชีวิตแล้ว เวลาใช้มันเหมาะมือเหลือเกิน ถ้าหากจะต้องเปลี่ยนอาวุธใหม่ต้องบอกว่าไม่คุ้นชินจริงๆ”

หลี่ชิเย่หัวเราะและกล่าวว่า “เตรียมตัวสู้ให้มันเต็มที่เลยสักครั้ง เมื่อขึ้นไปบนนั้นแล้ว อาศัยคุณสมบัติที่แฝงอยู่ในกายเจ้า เจ้าจะต้องได้เป็นเซียนหวางเป็นคนแรกในบรรดาพวกเราแน่ การสืบทอดชะตาฟ้าไม่มีใครมีคุณสมบัติมากไปกว่าเจ้าอีกแล้ว ให้ดาวรุ่งในแดนที่สิบได้รับรู้ถึงท่วงทีที่มีความสง่างามของสุดยอดดาวรุ่งของเก้าแดน จะได้บั่นทอนความฮึกเหิมของพวกเขาลงไปบ้าง”

“ข้าจะไม่ให้คำพูดของท่านปรมาจารย์ต้องผิดหวังแน่นอน” ราชันทักษิณไม่หยิ่งและไม่ร้อนรน มีความอดกลั้นที่สูงมาก

สิบสุดยอดอัจฉริยะบุคคลตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบันใช่ว่าจะมีเพียงชื่อเสียงที่จอมปลอม ขอเพียงยืนหยัดไปได้ มีจิตแห่งการบำเพ็ญเพียรที่มั่นคง ไม่หลงเดินเข้าไปยังแนวทางที่ผิด รับรองว่าต้องมีอนาคตที่ไร้ขอบเขตแน่นอน สามารถสร้างผลงานได้มาก เพียงแต่น่าเสียดาย พวกเจ้าสิบสุดยอดอัจฉริยะบุคคลตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบันล้วนหยิ่งผยองมากเกินไป หลงคิดไปเองว่าอาศัยพรสวรรค์ของตนก็สามารถกวาดทุกสิ่งทุกอย่างจนสิ้นมัก แข็งเกินมักเปราะหักง่าย และด้วยสาเหตุนี้เอง ทำให้สุดยอดอัจฉริยะบุคคลตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบันพวกเจ้าต้องร่วงหล่นลงมาไม่น้อยทีเดียว” หลี่ชิเย่ยิ้มกล่าวขึ้นมา

เมื่อราชันทักษิณได้ยินคำกล่าวเช่นนี้แล้วถึงกับทอดถอนใจออกมา ความจริงก่อนหน้านี้เขาเองใช่จะไม่เป็นดังที่กล่าวมานั่น

ไม่ว่าใครที่อยู่ในฐานะที่เป็นสิบสุดยอดอัจฉริยะบุคคลตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบันก็ตาม ย่อมต้องมีความหยิ่งทะนงตนอยู่บ้าง จะอย่างไรเสีย การมีพรสวรรค์สูงส่งถึงเพียงนี้ โดยเฉพาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ย่อมอดที่จะหยิ่งทะนงตนไม่ได้ โดยไม่เห็นผู้อื่นอยู่ในสายตา และจะไม่ไปพึ่งพาผู้อื่นอยู่แล้ว

Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *