Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล 1656 ชะตาฟ้าใกล้ก่อตัวสำเร็จ

Now you are reading Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล Chapter 1656 ชะตาฟ้าใกล้ก่อตัวสำเร็จ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 1656 ชะตาฟ้าใกล้ก่อตัวสำเร็จ
ทั่วทั้งแดนมนุษย์กษัตราต่างกลั้นลมหายใจเอาไว้กับความสงบเงียบก่อนศึกใหญ่จะเกิดขึ้น โดยเฉพาะกับมหาสมุทรอุดรยิ่งเงียบสงัดวังเวงจนถึงที่สุด แคว้นเจ้าลัทธิจำนวนมากในมหาสมุทรอุดร เรียกได้วาหวาดระแวงยิ่งนัก ผู้บำเพ็ญตนและยอดฝีมือต่างกังวลและหวาดกลัวเป็นอันมาก

เมื่อสงครามเริ่มต้นขึ้น มหาสมุทรอุดรต้องกลายเป็นสมรภูมิสู้รบอย่างแน่นอน ไฟสงครามย่อมเผาผลาญลามไปถึงสำนักกต่างๆ จำนวนมาก เมื่อถึงเวลานั้นแล้ว ไม่รู้ว่าสรรพชีวิตจำนวนเท่าไรที่ต้องสังเวยไปกับสิ่งนี้

อย่างไรก็ตาม ผู้คนใต้หล้ายังไม่ทันได้เห็นสงครามครั้งยิ่งใหญ่แห่งยุค แต่ เก้าแดนกลับมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น เป็นการเปลี่ยนแปลงที่สะเทือนฟ้ายิ่งนัก

“แว้งค์” เสียงสั่นสะเทือนที่ไพเราะน่าฟังดังขึ้น เสียงนี้ไม่ได้ดังกังวานมากนัก แต่ว่าสรรพชีวิตนับล้านล้านชีวิตในเก้าแดนล้วนแล้วแต่ได้ยินเสียงนี้ได้อย่างชัดเจน ต่อให้บุคคลผู้นั้นไม่สามารถได้ยินได้ด้วยหู หรือต่อให้เป็นคนหูหนวก ยังคงสามารถได้ยินเสียงนี้ได้อย่างชัดเจน เพราะเสียงนี้ดังขึ้นมาจากภายในใจของคนผู้นั้น

เก้าแดนพลันเดือดพล่านขึ้นมาในค่ำคืนนี้นี่เอง สรรพชีวิตในเก้าแดนไม่ว่าจะเข้านอนแล้วหรือยังล้วนแล้วแต่ตกใจตื่นขึ้นมา ต่อให้เป็นเฒ่าประหลาดที่หลับไหลอยู่ใต้พื้นดินยังคงสะดุ้งตื่นขึ้นมาเพราะเสียงที่ไพเราะน่าฟังเสียงนี้

ยามค่ำคืนของเก้าแดนในค่ำคืนนี้กลับกลายเป็นสวยพร่างพรายยิ่งนัก เสียง “แว้งค์ แว้งค์ แว้งค์” ดังขึ้นมาเป็นระลอกกังวานก้องอยู่ท่ามกลางยามค่ำคืน ดังก้องทุกซอกทุกมุมของเก้าแดน

ไม่ว่าบุคคลผู้นั้นจะอยู่ ณ ที่ราบกว้างใหญ่ หรือจะลึกลงไปในซอกเหลือบของหุบเขา และหรือเป็นทะเลทรายที่แห้งเหือด และหรืออยู่ท่ามกลางผู้คนที่แออัดยัดเยียด…

ทุกสรรพชีวิตล้วนแล้วแต่ได้ยินเสียงที่ไพเราะน่าฟังนี้ มันดังก้องสะท้อนอยู่ท่ามกลางฟ้าดิน ดังก้องสะท้อนอยู่ในเก้าชั้นฟ้าสิบแดนดิน ทุกๆ มุมโลกล้วนแล้วแต่สามารถได้ยินเสียงนี้กันทั้งสิ้น

เดิมท้องฟ้ายามค่ำคืนที่เงียบสงบพลันปรากฎประกายแวบวับขึ้นมา มองเห็นสัจธรรมแต่ละสายที่คล้ายดั่งเป็นทางช้างเผือกรินไหลอยู่บนท้องฟ้า สัจธรรมลักษณะเช่นนี้ถูกปูลาดมาจากทุกทิศทุกทางของเก้าชั้นฟ้าสิบแดนดิน สัจธรรมแต่ละสายเคลื่อนไหวอยู่บนท้องฟ้าและไหลรินท่ามกลางฟ้าดิน โดยที่สัจธรรมแต่ละสายแลดูคล้ายเป็นแม่น้ำแต่ละสายที่ไหลรินอย่างนั้น จากไกล้ไกลไหลไปยังที่ที่ห่างไกลออกไป ไหลไปเรื่อยๆ กระทั่งถึงส่วนที่ลึกที่สุดของจักรวาล ไหลไปจนกระทั่งถึงแหล่งต้นกำเนิดหมื่นสัจธรรมของฟ้าดิน

ขณะที่สัจธรรมแต่ละสายที่ไหลรินอยู่ท่ามกลางฟ้าดินนั้น มันมีความบริสุทธิ์และพร่างพราว เหมือนว่าที่ไหลรินอยู่นั้นไม่ใช่น้ำในแม่น้ำ แต่เป็นเศษของดวงดาวที่ส่งประกายระยิบระยับออกมา เป็นประกายของเพชรที่เจิดจ้าแวบวับ และหรือเป็นกาลเวลาที่ไหลริน…

แม้ว่าทุกๆ สัจธรรมจะมีสีสันที่แตกต่างกัน และหลากหลายรูปแบบ แต่ว่า ทุกๆ สัจธรรมล้วนแล้วแต่บริสุทธิ์อะไรอย่างนั้น ทุกๆ สัจธรรมล้วนแล้วแต่สะอาดเอี่ยมอย่างนั้น นี่คือพลังที่บริสุทธิ์ที่สุดของฟ้าดิน เป็นพลังงานที่บริสุทธิ์ที่สุดของฟ้าดิน

สัจธรรมลักษณะเช่นนี้หาใช่เกิดจากการฝึกฝน ใช่เกิดจาการบ่มฟัก มันคือพลังของแหล่งต้นกำเนิด เป็นพลังสืบทอดที่เกิดจขึ้นในแต่ละยุคสมัย พลังลักษณะเช่นนี้ สัจธรรมเช่นนี้ จะปรากฎออกมาให้เห็นเฉพาะจุดเริ่มต้นแห่งยุคสมัยเท่านั้น

เมื่อพลังลักษณะเช่นนี้จากเก้าแดนรวมตัวขึ้นมา เมื่อสัจธรรมลักษณะเช่นนี้ของเก้าแดนรวมตัวกันขึ้นมา ภายใต้การวิวัฒนาการของฟ้าดิน ในที่สุดก็สำเร็จกลายเป็นสิ่งที่ผู้บำเพ็ญตนทุกยุคทุกสมัยใฝ่ฝันตลอดเวลา นั่นก็คือชะตาฟ้า!

สัจธรรมที่ไหลรินอยู่บนท้องฟ้า หลากหลายสารพัน บ้างเหมือนสายธารที่ไหลเอื่อยๆ บ้างเหมือนแม่น้ำที่พลุ่งพล่านไม่หยุด และบ้างเหมือนทางช้างเผือกบนจักรวาลที่แผ่ขยายออกไป…

มองดูสัจธรรมแต่ละสายที่ไหลรินอยู่ท่ามกลางฟ้าดิน ทำให้สรรพชีวิตของเก้าแดนล้วนแล้วแต่ตะลึง สิ่งนี้กล่าวสำหรับสรรพชีวิตจำนวนมากแล้ว มันเป็นภาพที่ชั่วชีวิตก็ไม่แน่ว่าจะได้พบเห็น ความวิจิตรตระการตาเช่นนี้ทุกๆ ยุคสมัยมีให้เห็นเพียงครั้งเดียวเท่านั้น!

“นั่นคืออะไร” ผู้เยาว์ที่มองเห็นสัจธรรมแต่ละสายที่ไหลรินอยู่เป็นครั้งแรกในชีวิต ชี้ไปที่ท้องฟ้าและเอ่ยถามขึ้นมา

“การรวมตัวของชะตาฟ้า พลังแห่งยุคสมัยยุคหนึ่ง การสืบทอดของเก้าแดน จะไหลมาชุมนุมด้วยกัน ท้ายสุดจะกลับกลายเป็นชะตาฟ้า” ผู้อาวุโสที่เคยเห็นภาพเช่นนี้มาก่อนแล้วกล่าวว่า “ชะตาฟ้าจะถือกำเนิดขึ้นมาแล้ว ยุคสมัยหนึ่งเริ่มต้นขึ้น ราชันเซียนในอนาคตก็จะถือกำเนิดขึ้นแล้ว”

“ชะตาฟ้า” เมื่อผู้เยาว์ได้ยินคำพูดของผู้อาวุโสแล้วมีสีหน้าที่แสดงถึงความประทับใจ กระทั่งตื่นเต้นยิ่งนัก กล่าวสำหรับผู้บำเพ็ญตนทุกคนแล้ว ชั่วชีวิตของพวกเขากระหายอยากได้ครอบครองชะตาฟ้าอย่างยิ่ง

เมื่อได้ครอบครองชะตาฟ้าแล้ว ก็บ่งบอกว่าปราศจากผู้ต่อกรไปทั้งชาติ บ่งบอกว่าสามารถบงการยุคนี้ และบ่งบอกว่าจะได้เป็นราชันเซียนของยุคสมัยนี้

การสืบทอดชะตาฟ้าเป็นสิ่งที่มุ่งมาดปรารถนาสุดท้ายของบรรดาผู้บำเพ็ญตนทั่วหล้า ไม่รู้มีผู้บำเพ็ญตนจำนวนเท่าไรที่ปรารถนาสิ่งนี้อย่างขะมักเขม้นไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ไม่รู้ว่ามีผู้บำเพ็ญตนจำนวนเท่าไรที่ต้องกลายเป็นโครงกระดูก กลายเป็นธุลีดินไป

ไม่ว่าเส้นทางสายนี้จะยากลำบากแสนเข็ญเพียงใด ไม่ว่าเส้นทางสายนี้จะอันตรายเท่าไร แต่ทว่า นับแต่อดีตกาลเป็นต้นมาถึงปัจจุบันไม่เคยมีใครหยุดการก้าวเดินต่อความปรารถนาเช่นนี้ ทุกคนต่างกระหายเป็นผู้ที่สามารถครอบครองชะตาฟ้าสักวัน และได้เป็นราชันเซียน!

“นี่มันเชื่อมต่อไปยังที่ใดกันนะ?” ผู้เยาว์ที่มองเห็นสัจธรรมแต่ละสายที่ไหลรินอยู่บนท้องฟ้าแล้ว ถึงกับเอ่ยถามผู้อาวุโสขึ้นมาด้วยความสงสัย

ผู้อาวุโสก็มองดูสัจธรรมแต่ละสายที่ไหลรินอยู่ ส่ายหัวและกล่าวว่า “ไม่มีใครรู้ มีบางคนบอกว่าเชื่อมต่อไปยังสวรรค์ และมีบางคนบอกว่าเชื่อมไปยังต้นกำเนิดฟ้าดิน และมีผู้ที่บอกว่ามันเชื่อมต่อไปถึงจิตแห่งการบำเพ็ญเพียรของทุกๆ คน ส่วนรายละเอียดว่ามันไหลไปที่ใดนั้น ไม่มีใครรู้”

พลังของชะตาฟ้ามันทรงพลังแค่ไหนกันหละ?” ผู้เยาว์เอ่ยถามขึ้นกับผู้อาวุโส ขณะมองดูสัจธรรมที่ไหลรินแต่ละสายซึ่งแบกรับพลังที่บริสุทธิ์ที่สุด และพลังงานที่บริสุทธิ์ที่สุดนั่น

“เรื่องนี้คงต้องถามกับราชันเซียนแล้ว เล่าลือกันว่า หลังจากที่ราชันเซียนได้สืบทอดชะตาฟ้าแล้ว ชั่วชีวิตของเขาน้อยครั้งนักที่จะได้ใช้พลังเต็มกำลัง กระทั่งมีผู้แก่ผู้เฒ่าบอกว่า ราชันเซียนจะไม่สำแดงพลังสูงสุดออกมา เท็จจริงอย่างไรพวกเราก็ไม่รู้” ผู้อาวุโสส่ายหน้า และกล่าวว่า “แต่ว่า พลังของฟ้าดินต่อให้เจ้าไม่รู้ก็สามารถจินตนาการได้ การที่มันรวบรวมสั่งสมของทั้งเก้าแดนมาเป็นยุคสมัย เจ้าสามารถประเมินได้ว่าพลังของเก้าแดนมันทรงพลังแค่ไหน”

เมื่อผู้เยาว์ได้ยินคำพูดเช่นนี้ของผู้อาวุโสแล้ว เวลานี้ถึงกับคิดจนเพ้อเจ้อ พลังของเก้าแดน พลังของหนึ่งยุคสมัย มันเป็นพลังที่ทำให้ผู้คนต้องคลั่งไคล้เพียงใดนะเนี่ย จะไปโทษว่าผู้คนจำนวนนับไม่ถ้วนที่ต้องการสืบทอดชะตาฟ้า ต้องการกลายเป็นราชันเซียนนับแต่อดีตจนถึงปัจจุบันก็ไม่ถูก

ขณะที่สัจธรรมแต่ละสายกำลังอยู่ระหว่างไหลรินอยู่นั้น ในส่วนที่ไกลของจักรวาลปรากฎประตูมิติค่อยๆ เปล่งประกายออกมา แท่นบูชาที่เก่าจนฝุ่นจับก็ถูกปัดเป่าเอาฝุ่นผงที่เกาะติดอยู่ให้ออกไป เริ่มสว่างไสวขึ้นมา

ระดับจักรพรรดิเทพเมื่อเห็นภาพที่เกิดขึ้นบนจักรวาลก็เข้าใจแล้วว่ากำลังจะเกิดอะไรขึ้น กล่าวขึ้นช้าๆ ว่า “ยามเมื่อชะตาฟ้าปรากฏเป็นรูปเป็นร่างแล้ว เก้าแดนจะเชื่อมถึงกันอีกครั้ง ถึงเวลานั้นโลกก็จะเปิดออกอย่างแท้จริงแล้ว ประตูมิติของเก้าแดนที่ถูกปิดผนึกมาหลายหมื่นปีก็จะเปิดขึ้นอีกครั้ง โลกนี้จะกลับกลายเป็นคลื่นที่โหมสาดซัดและขยายวงกว้างออกไป จะมีความเจริญมากยิ่งขึ้น ขณะเดียวกันก็กลับกลายเป็นโหดร้ายทารุณมากขึ้น”

ครั้งนั้น ศึกระหว่างราชามังกรดำ กับราชันเซียนท่าคง ราชามังกรดำได้ฉีกชะตาฟ้าจนขาดกระจุย นับจากนั้นเป็นต้นมาสัจธรรมสลดลง ทั่วทั้งเก้าแดนได้เข้าสู่ยุควิบากแห่งเต๋า เส้นทางเชื่อมถึงกันระหว่างเก้าแดนถูกปิดกั้น ผู้บำเพ็ญตนไม่สามารถไปมาหาสู่ระหว่างเก้าแดนได้อย่างอิสระเสรีอีกต่อไป

เวลานี้ มองเห็นบริเวณที่ไกลและลึกเข้าไปในจักรวาล ประตูมิติของเก้าแดนเริ่มส่งประกายขึ้นมา ทุกคนต่างรู้ว่าการเชื่อมถึงกันและกันระหว่างเก้าแดนกำลังจะเปิด เมื่อถึงเวลานั้น ขอเพียงบุคคลผู้นั้นมีศิลาแกร่งที่เพียงพอ ก็สามารถท่องไปยังเก้าแดนได้อย่างสะดวก ไปได้ทุกๆ ที่ของเก้าแดน

ผู้คนจำนวนเท่าไรที่อยากจะลองดูเป็นอันมาก เมื่อเห็นประตูมิติของเก้าแดนกำลังจะเปิด รุ่นอาวุโสที่ถูกกักขังเอาไว้ให้อยู่แต่แดนใดแดนหนึ่ง กระหายอยากจะไม่เที่ยวดูชมยังที่อื่นๆ ในเก้าแดนนานแล้ว กระทั่งไปพบกับคนที่เคยรู้จัก ขณะที่กลุ่มคนรุ่นใหม่ยิ่งไม่ต้องพูดถึง พวกเขาไม่เคยได้ออกจากที่ที่ตนเองอาศัยอยู่มาชั่วชีวิต เวลานี้มีโอกาสเชื่อมถึงเก้าแดน สิ่งนี้กล่าวสำหรับพวกเขาแล้วย่อมเป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้นดีใจยิ่งนัก

ยอดฝีมือบางส่วนต่างทยอยกันกระโดดเหินฟ้าขึ้นไป เมื่อเห็นสัจธรรมแต่ละสายที่ไหลรินอยู่ พวกเขาหยิบเอาขวดวิเศษ บางคนควักเอาของวิเศษศักดิ์สิทธิ์ บางคนสำแดงสุดยอดเคล็ดวิชาปราศจากผู้เทียบเคียงออกมา…พวกเขามีเป้าหมายเดียวคือ ต้องการยึดเอาสัจธรรมที่กำลังไหลรินอยู่

เสียดาย ไม่ว่าพวกเขาจะใช้ของวิเศษเช่นใด ใช้สุดยอดเคล็ดวิชาเช่นใด ก็ไม่สามารถดักจับเอาพลังจากสัจธรรมที่ไหลรินได้แม้แต่น้อยนิด สัจธรรมแต่ละสายยังคงไหลรินอยู่ต่อไป ไม่มีการหยุดยั้งแม้แต่นิดเดียว

“มันไม่มีประโยชน์หรอก ต่อให้เจ้าแข็งแกร่งมากไปกว่านี้ก็สู้ฟ้าดินไม่ได้” ผู้อาวุโสที่มีประสบการณ์เมื่อมองเห็นยอดฝีมือที่คิดจะแย่งชิงพลังจากสัจธรรมส่ายหัวและยิ้มกล่าวว่า “ถ้าหากแม้นเจ้ายังสามารถดักชิงเอาพลังจากสัจธรรมแต่ละสายได้ ย่อมบ่งบอกว่าเจ้าสามารถทำลายฟ้าดินได้แล้วหละ ในเมื่อเจ้าสามารถกระทั่งทำลายฟ้าดิน ทำลายเก้าแดนได้อยู่แล้ว เจ้าก็ไม่จำเป็นต้องอาศัยพลังเหล่านี้อีกต่อไป แค่เจ้าอ้าปากก็สามารถกลืนกินเก้าแดนได้อยู่แล้ว นับแต่อดีตถึงปัจจุบัน ยังมีใครสามารถทำได้ถึงเพียงนี้”

บรรดายอดฝีมือที่ทำการทดลองได้แต่ทยอยกันละทิ้ง เมื่อทำอย่างสุดความสามารถแล้วก็ไม่สามารถดักชิงเอาพลังสัจธรรมได้แม้แต่น้อยนิด คำพูดของผู้อาวุโสไม่ผิดแม้แต่น้อย ถ้าหากพวกเข้าล้วนแล้วแต่สามารถต่อต้านฟ้าดินล่ะก็ พวกเขาแข็งแกร่งยิ่งกว่าราชันเซียนเสียอีก เมื่อถึงขั้นนี้แล้วพวกเขาสามารถกระทั่งกลืนกินเก้าแดนได้ ไหนเลยจำเป็นต้องแย่งชิงเอาพลังอันน้อยนิดเช่นนี้กันอยู่อีก

ค่ำคืนนี้ที่เมืองหมิงจู หลี่ชิเย่ยืนอยู่ภายใต้ท้องฟ้ายามราตรี มองดูสัจธรรมแต่ละสายที่ไหลริน มองดูพลังที่บริสุทธิ์ มองดูพลังงานที่บริสุทธิ์ ถึงกับเผยรอยยิ้มออกมาให้เห็น

“ทุกๆ ยุคสมัยมีเพียงนาทีนี้ที่สามารถทำให้ข้าเฝ้าปรารถนากับมันแล้ว สามารถทำให้หัวใจที่ด้านชาของข้าเต้นกระตุกทีหนึ่ง” หลี่ชิเย่ถึงกับพึมพำออกมาเมื่อมองเห็นสัจธรรมแต่ละสายที่ไหลริน

เทพแท้จริงสยบโลกาและยวีไท่จวินอยู่เป็นเพื่อนกับเขาซ้ายขวา และจ้องมองดูสัจธรรมที่ไหลรินแต่ละสายด้วยกัน “ภาพเช่นนี้นับว่างดงามยิ่งนัก ชั่วชีวิตของผู้คนจำนวนมากมายไม่เคยได้เห็นแม้แต่ครั้งเดียวหน่ะ” ยวีไท่จวินที่มองดูสัจธรรมแต่ละสายที่ไหลรินแล้วพูดทอดถอนใจออกมา

“นั่นน่ะสิ ในหนึ่งยุคสมัยก็มีเพียงครั้งเดียวเท่านั้น หลังจากค่ำคืนแห่งความงดงามนี้ไปแล้ว ก็จะตามติดมาด้วยการแย่งชิงชะตาฟ้าที่โหดร้ายทารุณยิ่งนัก การปรากฎของชะตาฟ้าย่อมทำให้ตื่นเต้นเป็นธรรมดา แต่ว่า ก็เป็นการส่งสัญญาณที่มีต่อเหล่าดาวรุ่งทั้งหลายของเก้าแดนแล้ว” หลี่ชิเย่ยิ้มกล่าวว่า “ไม่ว่าจะพูดอย่างไร ภาพเช่นนี้ก็ดูไม่รู้จักเบื่อ ทุกๆ ยุคสมัยก็จะมีความหมายที่แตกต่างกันออกไป การที่สามารถมองเห็นภาพนี้ได้ อย่างน้อยที่สุดเป็นการบ่งบอกว่าตัวเองยังคงมีชีวิตอยู่ หัวใจยังเต้นได้”

“คราวนี้ดูเหมือนไม่ค่อยจะเหมือนเดิม” หลังจากที่เทพแท้จริงสยบโลกามองอยู่นาน มองอย่างละเอียด สุดท้ายจึงได้พูดคำคำนี้ออกมา

เทพแท้จริงสยบโลกามีชีวิตอยู่นานกว่ายวีไท่จวินเสียอีก ประสบการณ์ของเขาจึงมากกว่ายวีไท่จวิน ดังนั้น หลังจากที่มองดูอย่างละเอียดแล้ว เขามองออกถึงบางอย่างที่แตกต่างไป

Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *