Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล 1745 สำนักต้นไม้เหล็ก

Now you are reading Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล Chapter 1745 สำนักต้นไม้เหล็ก at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 1745 สำนักต้นไม้เหล็ก
เสิ่นเสี่ยวซันโกรธจนกัดฟันกรอด นางในฐานะศิษย์เอกของสำนักต้นไม้เหล็กถึงกับต้องขับรถม้าให้กับมนุษย์ปุถุชนธรรมดาที่เหมือนขอทานคนหนึ่ง ต่อให้นางไม่ใช่องค์หญิง แต่นางได้รับความโปรดปรานราวกับองค์หญิงภายในสำนักต้นไม้เหล็ก แล้วเป็นไงหละเวลานี้ กลับต้องมาทำงานที่ลำบากเพื่อคนต่ำต้อยที่เป็นมนุษย์ปุถุชนธรรมดาคนหนึ่ง

แม้ว่าเสิ่นเสี่ยวซันจะโกรธจนกัดฟันกรอดอยากจะอัดมนุษย์ปุถุชนธรรมดาที่อยู่ตรงหน้าคนนี้ให้หนัก แต่เมื่ออาจารย์มีคำสั่งนางไม่อาจขัดคำสั่งได้ ท่าทีของอาจารย์ที่ขึงขังนางเองก็ไม่กล้าทำกำเริบเสิบสาน

เปรียบเทียบกับศิษย์ทั้งสองของตนที่ไม่คิดเช่นนั้น ตัวเถี่ยซู่องดูจะให้ความเคารพยิ่งนัก เขามีเรื่องที่ต้องการขอร้องต่อหลี่ชิเย่ ในสายตาของเขามองว่า หลี่ชิเย่ที่เป็นมนุษย์ปุถุชนธรรมดาคนนี้อาจส่งผลให้สำนักต้นไม้เหล็กของพวกเขาเจริญก้าวหน้าขึ้นไปโดยไม่ต้องเปลืองแรงก็ได้

ดังนั้น เถี่ยซู่องจึงตั้งความหวังเอาไว้กับหลี่ชิเย่สูงมาก แม้ว่าเถี่ยซู่องไม่กล้าบอกว่าจะสามารถทำให้สำนักต้นไม้เหล็กแข็งแกร่งยิ่งใหญ่ขึ้นมาได้อย่างไร แต่เขาคาดหวังว่าอย่างน้อยที่สุดระหว่างที่เขายังคงมีชีวิตอยู่สามารถสั่งสมต้นทุนให้กับสำนักต้นไม้เหล็ก และนี่ก็คือสาเหตุที่เพราะเหตุใดเขาถึงได้ให้ความเคารพนอบน้อมต่อหลี่ชิเย่ยิ่งนัก

ในสายตาของเถี่ยซู่องมองว่า บางทีมนุษย์ปุถุชนธรรมดาเช่นหลี่ชิเย่อาจจะกลายเป็นสะพานไม้เดี่ยวที่นำพาให้สำนักต้นไม้เหล็กประสบความสำเร็จในชั่วข้ามคืนก็เป็นได้

สำนักต้นไม้เหล็กเป็นสำนักขนาดเล็กที่ตั้งอยู่ติดพรมแดนทางด้านทิศตะวันตกของชิงโจว เรียกได้ว่าสำนักต้นไม้เหล็กมีขนาดเล็กจนกระทั่งสามารถละเลยไปได้ ทั้งสำนักมีศิษย์อยู่ไม่กี่พันคนเท่านั้นเอง อีกทั้งผู้ที่มีทักษะสูงสุดก็คือเถี่ยซู่องนั่นเอง

เถี่ยซู่องที่อยู่ในระดับราชาสัจธรรมมีฐานะเป็นทั้งเจ้าสำนัก และยอดฝีมืออันดับหนึ่งของสำนักต้นไม้เหล็ก แม้ว่าเถี่ยซู่องจะเป็นยอดฝีมืออันดับหนึ่งของสำนักต้นไม้เหล็ก ก็นับว่ามีชื่อเสียงในระแวกนี้เช่นกัน

แต่ทว่า อาศัยเพียงแค่ระดับราชาสัจธรรม อย่าว่าแต่สิบสามทวีปเลย ต่อให้ทอดสายตาไปทั่วชิงโจว ก็ไม่นับเป็นบุคคลสำคัญอะไรได้ ในสายสำนักราชันเซียนของชิงโจว ศิษย์ที่อยู่นระดับราชาสัจธรรมนั้นบางทีอาจเป็นได้แค่ศิษย์ที่ธรรมดาจนไม่รู้จะธรรมดาอย่างไรแล้ว

ในพื้นที่ที่ติดพรมแดนทางด้านทิศตะวันตกของชิงโจวเป็นเขตอิทธิพลของตระกูลราชันของฉีหลิน ขณะที่สำนักต้นไม้เหล็กเป็นเพียงสำนักขนาดเล็กที่อยู่บริเวณพรมแดนด้านทิศตะวันตกเท่านั้น ซึ่งสำนักขนาดเล็กเช่นนี้มีมากมายจนนับไม่ถ้วน

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าบริเวณพรมแดนด้านตะวันตกจะเป็นเขตอิทธิพลของตระกูลราชันฉีหลิน ขณะที่สำนักต้นไม้เหล็กมีขนาดเล็กจนไม่มีคุณสมบัติพอที่จะขึ้นตรงกับตระกูลราชันฉีหลิน เป็นได้แค่อาศัยอยู่กับแคว้นๆ หนึ่งที่ขึ้นตรงอยู่กับตระกูลราชันฉีหลินอีกที โดยแคว้นที่ว่ามีชื่อว่าแคว้นซีถัว

ขณะที่เฉกเช่นแคว้นซีถัวที่ขึ้นตรงอยู่กับตระกูลราชันฉีหลินนั้นมีมากถึงสามร้อยกว่าแคว้น ย่อมสามารถประเมินได้ว่า สำนักต้นไม้เหล็กมีขนาดที่เล็กมากเพียงใดบนผืนแผ่นดินแห่งนี้ และสามารถประเมินได้ว่าตระกูลราชันฉีหลินมีขนาดใหญ่โตเพียงใดแล้ว

รถม้าที่ลากโดยม้าวิเศษวิ่งด้วยความเร็วที่สูงมาก ภายหลังออกจากผาไหม้ไฟแล้วไม่ถึงครึ่งวันก็ถึงยังสำนักต้นไม้เหล็กแล้ว

หลังจากไปถึงสำนักต้นไม้เหล็กแล้ว เถี่ยซู่องได้เชื้อเชิญให้หลี่ชิเย่เข้าไปภายในสำนักต้นไม้เหล็กอย่างเคารพนอบน้อม และจัดให้เข้าพักอาศัยอยู่ภายในเรือนรับรองแขกผู้มีเกียรติ

บรรดาผู้คนทุกระดับชั้นของสำนักต้นไม้เหล็กต่างรู้สึกแปลกใจ เหตุใดเจ้าสำนักจึงได้ให้ความเคารพต่อมนุษย์ปุถุชนธรรมดาที่เป็นเหมือนดั่งขอทานคนหนึ่งเช่นนี้เล่า? ศิษย์ภายในสำนักรู้สึกแปลกใจยิ่ง กระทั่งมีศิษย์ที่ต้องการสอบถามจากเสิ่นเสี่ยวซันที่เป็นศิษย์พี่ใหญ่ แต่ว่าในขณะนี้เสิ่นเสี่ยวซันกำลังมีความอัดอั้นอยู่เต็มอก ไหนเลยอยากจะพูดมากความเล่า

หลังจากเข้าไปภายในห้องโถงใหญ่แล้ว หลี่ชิเย่นั่งลงด้วยท่าทางไม่เกรงใจ สะบัดมือและกล่าวกับเถี่ยซู่องว่า “ไปหยิบสิ่งที่เจ้าต้องการให้ข้าช่วยออกมาเลย”

“เรื่องนี้” เถี่ยซู่องตะลึงงันนิดหนึ่ง กล่าวว่า “ท่านเดินทางมาเหน็ดเหนื่อย มิสู้พักผ่อนเสียก่อน รอให้ท่านได้พักจนหายเหนื่อยแล้วค่อยว่ากันก็ยังไม่สาย ไม่ถึงกับต้องรีบร้อนในขณะนี้”

หลี่ชิเย่เหลือบมองเขาทีหนึ่ง เอ่ยขึ้นมาช้าๆ ว่า “ทำไม เจ้าคิดว่าข้าไม่มีความสามารถเช่นนั้นรึ?”

“เหอะ เหอะ เหอะ ไม่ ไม่ ไม่ใช่” เถี่ยซู่องรีบเร่งกล่าวว่า “ข้าไม่ได้หมายความอย่างนั้น เพียงแต่ท่านอาจจะเหนื่อย พักสักครู่ก็ไม่เป็นไร”

“ไม่ต้องแล้ว หยิบมาเลย หากไม่ได้เป็นปัญหายุ่งยากอะไร ข้าจัดการเดี๋ยวเดียวก็จบแล้ว อย่าให้เสียเวลาข้า” หลี่ชิเย่โบกมือ

เมื่อเถี่ยซู่องเห็นหลี่ชิเย่ยืนหยัดเช่นนี้จึงไม่พูดให้มากความอีก รีบเร่งไปหยิบสิ่งนั้นทันที หลังจากผ่านไปชั่วครู่ใหญ่ เถี่ยซู่องได้ถือกล่องเล็กมากล่องหนึ่ง กล่องเล็กใบนี้มีการล๊อคเอาไว้อย่างแน่นหนา ทั้งยังมีการลงยันต์เล็กๆ ปิดผนึกเอาไว้

ท่าทางของเถี่ยซู่องดูระมัดระวังมาก และดูหนักแน่นจริงจัง กระทั่งเรียกได้ว่าระมัดระวังเป็นพิเศษ อาศัยท่าทีของเถี่ยซู่องก็สามารถดูออกว่า สิ่งที่อยู่ภายในกล่องใบนี้ต้องไม่ธรรมดาแน่นอน

เถี่ยซู่องเปิดกุญแจทองแดงและยันต์ผนึก จากนั้นหยิบเอาม้วนผ้าไหมออกมาวางไว้ตรงหน้าหลี่ชิเย่อย่างระมัดระวัง ค่อยๆ กางออกมาอย่างแผ่วเบา กล่าวว่า “ท่าน บนผ้าไหมนี้ได้บันทึกอักขระยันต์โบราณที่ยากจะรู้ได้ ขอเชิญท่านพิจารณา เพื่อไขปริศนาที่ลึกซึ้งภายใน”

เห็นได้ว่าบนม้วนผ้าไหมได้จารึกอักขระยันต์ที่แปลกประหลาดเอาไว้ อักขระยันต์เหล่านี้สับสนไม่เป็นระเบียบ ไม่สามารถดูรู้ถึงความลึกซึ้งของมันได้อยู่แล้ว ลองมองดูให้ละเอียด ตัวอักขระยันต์เหล่านี้มีส่วนคล้ายกับรอยสลักที่อยู่บนหลุมสวรรค์ แต่ว่าจะใช่อย่างนั้นหรือไม่ก็ไม่มีใครสามารถดูรู้ได้

พลันที่หลี่ชิเย่มองเห็นอักขระยันต์ที่อยู่บนม้วนผ้าไหมได้เงยหน้าขึ้นจ้องมองเถี่ยซู่อง กล่าวขึ้นมาช้าๆ ว่า “ของสิ่งนี้เจ้าไปคัดลอกมาจากที่ใด!”

หลี่ชิเย่ที่เป็นเพียงมนุษย์ปุถุชนธรรมดาคนหนึ่งเวลานี้ แต่ยามที่แววตาของเขาดูเข้มและน่าเกรงขามขึ้นมา เถี่ยซู่องที่ถูกเขาจ้องมองพลันรู้สึกอกสั่นขวัญแขวน ชายที่อยู่ตรงหน้าเป็นเพียงมนุษย์ปุถุชนธรรมดาแท้ๆ ไม่มีเรี่ยวแรงแม้แต่จะทำอะไรได้ แต่เมื่อถูกเขาจับจ้องด้วยแววตาที่เข้มและน่าเกรงขามแล้ว พลันทำให้รู้สึกหนาวสะท้านกระทั่งขาทั้งสองข้างอ่อนแรง ความรู้สึกเช่นนี้แม้แต่เถี่ยซู่องเองยังไม่อยากจะเชื่อว่าตัวเองที่อยู่ในระดับราชาสัจธรรมกลับต้องตระหนกตกใจกับการจ้องมองของมนุษย์ปุถุชนธรรมดาคนหนึ่ง

“เรื่องนี้ เรื่องนี้” เถี่ยซู่องหัวเราะแห้งๆ ตอบคำถามของหลี่ชิเย่ไม่ถูก

“ของเช่นนี้ใช่ว่าเจ้าสมควรมีไว้ในครอบครอง! และไม่ใช่สำนักเช่นสำนักต้นไม้เหล็กจะพึงมี!” หลี่ชิเย่พูดน้ำเสียงแฝงด้วยเหน็บแนม

ภายใต้แววตาที่เข้มและน่าเกรงขามของหลี่ชิเย่ เถี่ยซู่องถึงกับสะท้านภายในใจ เขาได้แต่บอกตามความเป็นจริงว่า “ไม่ขอปิดบังท่าน เป็นความจริงที่ของสิ่งนี้หาใช่ของสำนักต้นไม้เหล็กพวกเรา มันถูกคัดลอกมาจากที่อื่น ข้ามีสหายผู้หนึ่งอยู่ที่แคว้นซีถัว อักขระยันต์นี้ข้า ข้าคัดลอกมาจากแคว้นซีถัวนั่น”

“แค้วนซีถัว แคว้นลักษณะเช่นนี้ก็ไม่มีสิทธิ์ครอบครองสิ่งของเช่นนี้!” หลี่ชิเย่กล่าวน่าเกรงขามขึ้นมา

คำพูดของหลี่ชิเย่ทำเอาเถี่ยซู่องตกใจสุดขีด เขากล่าวด้วยความหวาดผวาว่า “ท่าน ท่านทราบได้อย่างไร?”

“เหตุใดเจ้าจึงได้ติดตามถึงตัวข้าได้?” หลี่ชิเย่กล่าวน้ำเสียงเย็นชาว่า “ก็แค่เจ้าเห็นข้ากำลังพินิจพิเคราะห์บรรดารอยสลักที่อยู่ที่หลุมสวรรค์เหล่านั้น ขณะที่เพราะอะไรราชันเทพจงหนานที่เป็นจอมราชันระดับเหนือสุดยอดจึงได้ไปที่หลุมสวรรค์? สิ่งที่อยู่ภายในหาใช่สำนักต้นไม้เหล็กหรือแคว้นซีถัวที่มีสิทธิ์ไปศึกษาและลักลอบแอบดูได้! ดังนั้น สิ่งที่อยู่ภายในล้วนแล้วแต่ไม่ใช่สำนักต้นไม้เหล็กของพวกเจ้า หรือแคว้นซีถัวสามารถครอบครองมันได้!”

คำพูดของหลี่ชิเย่ทำเอาเถี่ยซู่องอ้าปากค้าง ลำพังแค่คำพูดนี้ของหลี่ชิเย่ก็เป็นการบ่งบอกว่าเขามึความรู้ที่กว้างขวางปราศจากผู้เทียบเทียม ต่อให้เขาไม่ใช่ผู้บำเพ็ญตนคนหนึ่ง เกรงว่าก็คงเป็นผู้มีสติปัญญาไม่ธรรมดา ต้องเป็นมนุษย์ปุถุชนธรรมดาที่ไม่ธรรมดาคนหนึ่งอย่างแน่นอน!

“ท่านมีความรู้ที่กว้างขวาง ทำให้ผู้บำเพ็ญตนอย่างพวกเราต้องละอาย เทียบกับความรู้ที่กว้างไกลของท่านแล้วผู้บำเพ็ญตนพวกเราเป็นเพียงกบในกะลาเท่านั้น” เถี่ยซู่องในเวลานี้ได้คารวะต่อหลี่ชิเย่ และกล่าวด้วยท่าทีสยบทั้งกายและใจ

เวลานี้ เถี่ยซู่องโบกมือส่งสัญญาณให้เฮ่อเฉินและเสิ่นเสี่ยวซันให้ออกไป แม้แต่ศิษย์ที่เขาถ่ายทอดวิชามากับมือก็ไม่สามารถรับรู้เรื่องนี้ได้

หลังจากที่เฮ่อเฉินและเสิ่นเสี่ยวซันล่าถอยออกไปแล้ว เถี่ยซู่องทำท่าลังเลขึ้นมา

หลี่ชิเย่มองดูเขาทีหนึ่ง กล่าวเฉยเมยว่า “ถ้าหากเจ้าไม่ยอมบอก ข้าก็ช่วยอะไรเจ้าไม่ได้ ข้าดูออกว่าเจ้าอยากจะเป็นเจ้าสำนักที่มีผลงาน เกรงว่านี่คงเป็นโอกาสเดียวที่สำนักต้นไม้เหล็กของเจ้าจะได้เลื่อนอันดับขี้นได้โดยไม่ต้องเปลืองแรงมาก”

เถี่ยซู่องมีท่าทีลังเลอยู่นิดหนึ่ง สุดท้ายกัดฟันกล่าวเสียงแผ่วเบาออกมาว่า “ท่านอย่าได้บอกกล่าวต่อบุคคลภายนอก อักขระยันต์ที่อยู่บนผ้าไหมม้วนนี้มาจากตระกูลราชันฉีหลิน ทุกๆ ช่วงระยะเวลาหนึ่ง ตระกูลราชันฉีหลินก็จะรับสมัครผู้บำเพ็ญตนผู้ที่มีความรู้ หรือมนุษย์ปุถุชนธรรมดาผู้เชี่ยวชาญด้านดาราศาสตร์เข้ารับการคัดเลือก การสอบทุกครั้งล้วนแล้วแต่ห้ามเปิดเผย อักขระยันต์ที่อยู่ในผ้าไหมม้วนนี้มีผู้เผยแพร่ออกมา”

ครั้นเถี่ยซู่องเอ่ยมาถึงตรงนี้แลดูระมัดระวังยิ่งนัก เนื่องจากเรื่องนี้หากไม่ระวังแพร่งพรายออกไป เป็นไปได้ที่อาจนำมาซึ่งภัยสำนักต้นไม้เหล็กถูกฆ่าล้างสำนักได้ แต่ทว่า เถี่ยซู่องต้องการขอความช่วยเหลือจากหลี่ชิเย่ ดังนั้นจึงเสี่ยงกับมันสักครั้ง

หลี่ชิเย่พลันลุกขึ้นยืนทันทีเมื่อได้ยินคำพูดของเถี่ยซู่อง สีหน้าเปลี่ยนไปด้วยอาการโกรธ ในเวลานี้หลี่ชิเย่ยืนอยู่ข้างหน้าต่างมองไปบนท้องฟ้า ไม่พูดไม่จาเป็นเวลานาน

ขณะที่เถี่ยซู่องเวลานี้หวาดกลัวด้วยความระแวง ผู้ชายที่อยู่ตรงหน้าแค่มนุษย์ปุถุชนธรรมดาผู้หนึ่งโดยแท้ แต่ในเวลานี้เหมือนว่าเขามีอำนาจบารมีที่สยบวิญญาณผู้คนได้ ทำให้ไม่กล้าล่วงเกินต่อเขา

หลังจากผ่านไปนานมาก หลี่ชิเย่จึงได้กลับไปนั่งยังที่เดิมของตน และมีท่าทีที่ผ่อนคลายลง ในเวลานี้หลี่ชิเย่จ้องมองเถี่ยซู่องแล้วกล่าวขึ้นช้าๆ ว่า “การเดินทางไกลเพื่อปราบปรามครั้งสุดท้ายที่จัดขึ้นเป็นครั้งที่หก เซียนหวางของตระกูลราชันฉีหลินองค์ไหนที่เข้าร่วม?”

“ท่านไม่ทราบ?” เถี่ยซู่องรู้สึกตะลึงนิดหนึ่ง เมื่อหลี่ชิเย่เอ่ยถามขึ้นมาเช่นนี้

“ข้าเป็นประเภทมีความรู้ ขี้คร้านไปยุ่งเรื่องราวเกี่ยวกับการฆ่าฟัน” หลี่ชิเย่แสดงปฏิกิริยาเรียบเฉยและกล่าวอย่างเชื่องช้า

เถี่ยซู่องเกาศีรษะและกล่าวว่า “เล่าลือกันว่า การเดินทางไกลเพื่อปราบปรามครั้งสุดท้ายที่จัดขึ้นเป็นครั้งที่หก ตระกูลราชันฉีหลินมีเซียนหวางเย่หลินเข้าร่วม! นี่เป็นเพียงคำเล่าลือ ข้าน้อยเองก็ไม่รู้แน่ชัดนัก และไม่กล้าถามมากความ”

เกี่ยวกับการเดินทางไกลเพื่อปราบปรามครั้งสุดท้ายที่จัดขึ้นเป็นครั้งที่หกนั้น เป็นเรื่องที่มีการลือกันนานแล้วในสิบสามทวีป เพียงแต่รายละเอียดปลีกย่อยบุคคลภายนอกไม่สามารถล่วงรู้ได้ มีเพียงจอมราชันและเซียนหวางที่รู้

สำหรับชนรุ่นหลังนั้น สิ่งที่พวกเขาได้รับรู้มาก็แค่คำเล่าลือเท่านั้น ส่วนจะจริงหรือเท็จอย่างไรนั้น ชนรุ่นหลังยากที่จะพิสูจน์ได้

โดยเฉพาะบรรดาสำนักขนาดเล็กเช่นสำนักต้นไม้เหล็ก เช่นเถี่ยซู่องที่เป็นบุคคลระดับปลายแถว ยิ่งไม่กล้าไปเอ่ยถามเรื่องเช่นนี้ ได้แต่แอบฟังเวลาที่บรรดายอดฝีมือของสำนักใหญ่เขาพูดคุยถึงเรื่องนี้เท่านั้น

ดังนั้นสำหรับเรื่องนี้เถี่ยซู่องก็แค่ได้ยินคนอื่นเขาพูดถึงเท่านั้น ส่วนรายละเอียดจะเป็นอย่างไรนั้น เขาไม่รู้อะไรเลย

เฉกเช่นเรื่องที่ว่าตระกูลราชันฉีหลินมีเซียนหวางเย่หลินเข้าร่วมในการเดินทางไกลเพื่อปราบปรามครั้งสุดท้ายที่จัดขึ้นเป็นครั้งที่หก และเป็นเรื่องราวที่ถ่ายทอดกันมารุ่นสู่รุ่น ผู้คนในยุคหลังไม่สามารถรู้ได้เลยว่าเท็จจริงเป็นอย่างไร และไม่มีใครกล้าถามเรื่องนี้กับตระกูลราชันฉีหลิน

“เซียนหวางเย่หลิน!” หลี่ชิเย่ถึงกับนิ่งเงียบเมื่อได้ยินชื่อนี้

เซียนหวางเป็นวิธีการเรียกจอมราชันที่ได้สืบทอดชะตาฟ้าแล้วของร้อยชาติพันธุ์ เดิมทีบรรดารัชทายาทของเผ่ามนุษย์ เผ่ามนุษย์ศิลา เผ่าวิญญาณสวรรค์…ต่างๆ หลังจากได้สืบทอดชะตาฟ้าแล้วควรจะถูกขนานนามว่าเป็นราชันเซียน แต่เพื่อให้แยกออกจากกันระหว่างราชันเซียนของเก้าแดน ดังนั้นจึงถูกเรียกว่าเซียนหวาง

Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *