Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล 1739 จับชะตาฟ้า

Now you are reading Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล Chapter 1739 จับชะตาฟ้า at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 1739 จับชะตาฟ้า
ก่อนเกิดศึกล่าสังหารราชัน ฐานะของเผ่ามนุษย์ เผ่ามนุษย์ศิลา เผ่าวิญญาณเทพ…ต่างๆ สารพัดชาติพันธุ์ในแดนสิบนั้นอ่อนแอมาก แม้ว่าปรัชญาเมธีราชันเซียนได้พยายามแย่งชิงให้ได้มาซึ่งสถานที่ต่างๆ จำนวนไม่น้อย เช่น ทวีปเจียวเหิงโจว ทวีปชิงโจวเป็นต้น

แต่ ฐานะของบรรดาสารพัดชาติพันธุ์ที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ส่วนใหญ่ในสิบสามทวีปล้วนแล้วแต่ต่ำมาก ต้องอาศัยเผ่าเทพ เผ่ามาร และเผ่าสวรรค์สามเผ่า กระทั่งภายใต้การปกครองของเผ่าเทพ เผ่ามาร และเผ่าสวรรค์ ชาติพันธุ์เหล่านี้จะไม่ได้รับอนุญาตให้มีการเคลื่อนย้ายถิ่นฐาน ภายใต้การปกครองของเผ่าเทพ เผ่ามาร และเผ่าสวรรค์ ชาติพันธุ์เหล่านี้ไม่ได้รับอนุญาตให้ครอบครองชะตาฟ้าได้ กระทั่งบางแห่งไม่อนุญาตให้ชาติพันธุ์เหล่านี้ฝึกบำเพ็ญเพียร

หลังจากศึกล่าสังหารราชันแล้ว ต่อให้จอมราชันที่หยิ่งยโสยิ่งของเผ่าเทพ เผ่ามาร และเผ่าสวรรค์สามเผ่าต้องนั่งลงเจรจาด้วย สุดท้าย ทั้งสองฝ่ายได้ลงนามในข้อตกลง

สืบเนื่องจากศึกล่าสังหารราชันในครั้งนั้น ทำให้สารพัดชาติพันธุ์ได้รับสิทธิทั้งหมดในสิบสามทวีป ทุกชาติพันธุ์มีฐานะที่เท่าเทียมกับเผ่าเทพ เผ่ามาร และเผ่าสวรรค์ อย่างน้อยในข้อตกลงเป็นเช่นนี้!

ทุกคนต่างรู้ว่า ศึกล่าสังหารราชันนั้นมีราชันเซียนฉวี่เจินเป็นผู้อำนวยการรบ โดยมีราชันเซียนแต่ละองค์ของเก้าแดน อาทิราชันเซียนหมิงเหริน ราชันเซียนเยี่ยนซื่อ และเซียนหวางของชาติพันธุ์ต่างๆ ทยอยเข้าร่วมการศึกในครั้งนี้ สุดท้าย นำมาซึ่งสารพันชาติพันธุ์สามารถมีฐานะที่ทัดเทียมกับเผ่าเทพ เผ่ามาร และเผ่าสวรรค์ทั้งสามเผ่า

ดังนั้น บรรดาราชันเซียนที่เข้าร่วมต่อสู้ในครั้งนั้นล้วนแล้วแต่กลายเป็นปรัชญาเมธี กระทั่งวีรบุรุษมุมมองของลูกหลานสารพัดชาติพันธุ์ยุคหลัง

แต่มีน้อยคนนักในลูกหลานรุ่นหลังที่รับรู้ว่า เบื้องหลังศึกล่าสังหารราชันในครั้งนั้นมีมือมืดที่ดำรงอยู่โดยตลอด ซึ่งมือมืดดังกล่าวก็คืออีกาทมิฬนั่นเอง!

ความจริงแล้ว ชนรุ่นหลังไม่รู้ว่าผู้ที่เสนอให้มีศึกล่าสังหารราชันคืออีกาทมิฬ และเป็นอีกาทมิฬที่คอยอำนวยการอยู่เบื้องหลัง ขณะที่อีกาทมิฬเสนอให้เปิดศึกล่าสังหารราชันขึ้น ราชันเซียนฉวี่เจินเป็นผู้แรกที่ขานรับเรื่องนี้ นางคือบุคคลแรกที่ยืนอยู่ข้างอีกาทมิฬและสนับสนุนข้อเสนอของอีกาทมิฬอย่างเต็มที่

หลังจากนั้น ราชันเซียนหมิงเหริน ราชันเซียนเยี่ยนซื่อ ราชันเซียนหวูโก้ว ราชันเซียนทุนเย่อ ราชันเซียนป้าเมียด ราชันเซียนยวี่หลง…ต่างทยอยกันเข้าร่วมกับอีกาทมิฬ

สุดท้าย ภายใต้การอำนวยการของอีกาทมิฬ ศึกล่าสังหารราชันได้ระเบิดขึ้น ภายใต้การขับเคลื่อนของอีกาทมิฬ ราชขันเซียนแต่ละองค์จากเก้าแดนร่วมกับเซียนหวางของสรรพันชาติพันธุ์เข้าสังหารจอมราชันของเผ่าเทพ เผ่ามาร และเผ่าสวรรค์ทั้งสามเผ่า

ศึกครั้งนี้เป็นไปอย่างทารุณโหดร้ายมาก เรียกได้ว่ารบกันจนสุริยันจันทราสลดและอับแสง ทุกสิ่งล้วนพังทลายลง!

ภายใต้ศึกสงครามที่โหดร้ายทารุณ ท้ายที่สุดจอมราชันของเผ่าเทพ เผ่ามาร และเผ่าสวรรค์ทั้งสามเผ่าจำเป็นต้องเจรจารอมชอม พวกเขาได้แต่นั่งโต๊ะเจรจากับราชันเซียนของเผ่ามนุษย์ เนื่องจากขืนสู้รบกันต่อไป เผ่าเทพ เผ่ามาร และเผ่าสวรรค์ทั้งสามเผ่าของพวกเขาก็แบกรับความสูญเสียกับสงครามระดับนี้ไม่ไหว ต้องแลกด้วยผลตอบแทนและการบาดเจ็บล้มตายที่หนักหนาสาหัสมาก!

สุดท้าย ราชันเซียนและจอมราชันทั้งสองฝ่ายลงนามในข้อตกลง ในนามของแต่ละชาติพันธุ์ และต้องปฏิบัติตามข้อตกลงฉบับนี้ตลอดกาล นับจากนั้นเป็นต้นมา เผ่าเทพ เผ่ามาร และเผ่าสวรรค์จึงมีข้อตกลงร่วมกับสารพันชาติพันธุ์ต่างๆ!

ศึกล่าสังหารราชันในครั้งนั้น ฝ่ายสารพันชาติพันธุ์มีอีกาทมิฬตัวนี้ที่เป็นมือมืดคอยบงการอยู่ด้านหลัง ขณะที่เผ่าเทพ เผ่ามาร และเผ่าสวรรค์สามเผ่ามีราชันตี้ซื่อที่มีสิบสองชะตาฟ้าในครอบครองเป็นผู้มาบัญชาการด้วยตนเอง

ในศึกล่าสังหารราชันในครั้งนี้ ราชันซื่อตี้เคยเป็นผู้นำที่แข็งแกร่งที่สุดของเผ่าเทพ เผ่ามาร และเผ่าสวรรค์สามเผ่า และเขาก็เป็นศัตรูกับอีกาทมิฬมาโดยตลอด!

ในศึกล่าสังหารราชันครั้งนั้น ราชันซื่อตี้เคยเป็นผู้นำที่แข็งแกร่งที่สุดในบรรดาเผ่าเทพ เผ่ามาร และเผ่าสวรรค์ทั้งสามเผ่า และตัวเขาคือผู้ที่เป็นศัตรูกับอีกาทมิฬโดยตลอด

ราชันซื่อตี้ไม่เพียงเป็นศัตรูกับอีกาทมิฬมาชาติแล้วชาติเล่าเท่านั้น ความจริงแล้วระหว่างราชันซื่อตี้กับอีกาทมิฬเคยเปิดศึกมาครั้งแล้วครั้งเล่า ศึกที่มีการขัดแย้งรุนแรงมากที่สุดก็คือศึกล่าสังหารราชัน!

ดังนั้นกล่าวได้ว่า การที่อีกาทมิฬล่อลวงลูกสาวของเขาไปนั้น เรื่องนี้กล่าวสำหรับ ราชันซื่อตี้แล้วบุญคุณความแค้นส่วนตัวไม่นับเป็นเรื่องหนักหนาอะไร กระทั่งกล่าวสำหรับราชันซื่อตี้แล้ว ความแค้นเช่นนี้สามารถปล่อยวางได้ทุกเวลา

แต่ว่า การที่ราชันซื่อตี้ถูกลิขิตให้ต้องเป็นศัตรูกับอีกาทมิฬมายุคแล้วยุคเล่านั้น เป็นเพราะตัวราชันซื่อตี้คือหนึ่งในจอมราชันที่อยู่เหนือสุดยอดของเผ่าเทพ เผ่ามาร และเผ่าสวรรค์ เป็นหนึ่งในจอมราชันจของแดนที่สิบที่ได้ครอบครองสิบสองชะตาฟ้าเพียงไม่กี่คนเท่านั้น

ขณะที่อีกาทมิฬยิ่งไม่ต้องพูดถึง เขามีชาติกำเนิดเป็นมนุษย์ จากเก้าแดนมาถึงแดนที่สิบ เพื่อคุณธรรมแล้วเขาย่อมไม่ลังเลที่จะยืนอยู่ข้างของเผ่ามนุษย์ และเขาย่อมยืนอยู่ข้างสารพันชาติพันธุ์อย่างมั่นคงไม่มีเปลี่ยนแปลง

ดังนั้น กล่าวสำหรับราชันซื่อตี้ก็ดี หรือสำหรับอีกาทมิฬก็ช่าง บุญคุณความแค้นระหว่างพวกเขาทั้งสองไม่นับเป็นอะไรอยู่แล้ว ทั้งสองฝ่ายกระทั่งสามารถตัดบุญคุณความแค้นทิ้งไปแล้วนั่งลงดื่มน้ำชาพูดคุยสัพเพเหระกันได้

แต่ทว่า เมื่อไรที่เผ่าเทพ เผ่ามาร และเผ่าสวรรค์ และชาติพันธุ์ต่างๆ เปิดศึกเพื่อความอยู่รอดของอีกฝ่าย ราชันซื่อตี้จะต้องยืนอยู่ข้างฝ่ายของเผ่าเทพ เผ่ามาร และเผ่าสวรรค์ทั้งสามเผ่า ขณะที่อีกาทมิฬก็จะต้องยืนอยู่ข้างฝ่ายของสารพันชาติพันธุ์เช่นเดียวกัน

สืบเนื่องจากการเป็นศัตรูกับอีกาทมิฬมายุคแล้วยุคเล่า จึงทำให้ราชันซื่อตี้รอบคอบยิ่งนัก เนื่องจากเขาเข้าใจในตัวอีกาทมิฬเป็นอย่างดี เขารู้ว่าอีกาทมิฬจะไม่ทำในสิ่งที่ไม่มีความมั่นใจ และรู้ว่าอีกาทมิฬไม่เคยคำนวณผิดพลาด

แม้ว่าการลอบสังหารครั้งนี้ พวกของราชันซื่อตี้จะใช้วิธียอกย้อน โดดยให้บรรดาจอมราชันและเซียนหวางของแดนที่สิบทั้งหมดเห็นด้วยกับการปิดประตูของสิบสามทวีป และทำให้พวกราชันซื่อตี้มีโอกาสซ่อนเร้นอำพรางพัดตำแหน่งเอาไว้

แม้ว่าจะเป็นเช่นนี้ก็ตาม โลกนี้ไม่มีกำแพงที่ไม่มีช่อง โดยเฉพาะสำหรับระดับเช่นพวกเขา ต่อให้ไม่พบในตอนแรก แต่เมื่อเวลาผ่านไป ย่อมสามารถตรวจพบร่องรอยได้อยู่แล้วแน่นอน

ในแดนสิบมีราชันเซียนและเซียนหวางจำนวนไม่น้อยที่หนุนหลังอีกาทมิฬอยู่ บรรดาราชันเซียนและเซียนหวางที่มาจากการบ่มฟักของอีกาทมิฬ ย่อมไม่ต้องสงสัยว่าจะต้องยืนอยู่ข้างฝ่ายของอีกาทมิฬ

ครั้นบรรดาราชันเซียนและเซียนหวางพบร่องรอยแล้ว พวกเขารู้ว่าอีกาทมิฬจะมาที่แดนสิบ ขณะที่จอมราชันของพวกเขาเผ่าเทพ เผ่ามาร และเผ่าสวรรค์จะจัดศึกลอบสังหารอีกาทมิฬขึ้นมา บรรดาราชันเซียนและเซียนหวางจะต้องรุดมาให้การช่วยเหลืออย่างแน่นอน

แต่ว่า จนกระทั่งเวลานี้กลับไม่มีราชันเซียนองค์ใดรุดมาให้การช่วยเหลือ ทำให้ราชันซื่อตี้รู้สึกได้ว่าเรื่องนี้มันน่าประหลาด

แม้จะกล่าวว่า เมื่อครั้งที่ราชันเซียนหมิงเหรินประกาศศึกครั้งสุดท้ายครั้งที่ห้าขึ้น ต่อมามีราชันเซียนฉวี่เจินที่ประกาศศึกครั้งที่หกขึ้น ส่งผลให้ราชันเซียนที่อยู่ในสังกัดของอีกาทมิฬลดน้อยลงเรื่อยๆ โดยเฉพาะพวกราชันเซียนหมิงเหริน ราชันเซียนฉวี่เจินที่ยืนหยัดให้การสนับสนุนและแบ่งเรื่องความดีความชั่วอย่างชัดเจน

แต่อีกาทมิฬยังคงมีราชันเซียนและเซียนหวางที่ให้การสนับสนุนอยู่ในแดนสิบ เมื่อเกิดเรื่องกับอีกาทมิฬขึ้น ต้องมีราชันเซียนและเซียนหวางรุดมาช่วยเหลืออย่างแน่นอน

ปัญหาก็คือ เวลานี้กลับไม่มีราชันเซียนองค์ใดมาให้การช่วยเหลือ ผลเช่นนี้ทำให้ราชันซื่อตี้ถึงกับเป็นกังวลขึ้นมา

มันทำให้ราชันซื่อตี้ถึงกับนึกถึงคำพูดของหลี่ชิเย่ขึ้นมา ขณะที่พวกของราชันซื่อตี้เล่นหมากลอบสังหารเกมนี้นั้น บางทีอีกาทมิฬก็กำลังเดินหมากที่พวกเขาไม่รู้เกมหนึ่งเหมือนกัน

ในเวลานี้ใครเป็นหมาก ใครเป็นผู้เดินหมากก็ยังไม่รู้

เวลานี้ อีกาทมิฬได้ตายแล้ว ทำให้ราชันซื่อตี้รู้สึกมันไม่เหมือนจริง แม้แต่จอมราชันที่ยืนอยู่เหนือสุดยอดเช่นเขายังไม่ค่อยจะมั่นใจนัก

ขณะที่สิบสองจอมราชันกำลังหายใจด้วยความโล่งอก และราชันซื่อตี้กำลังใช้สายตาของเขาสำรวจไปทั่วเก้าชั้นฟ้าสิบแดนดินครั้งแล้วครั้งเล่า หลังจากที่ถู้ลีของหลี่ชิเย่ปลิวกระจัดกระจายไปจนสิ้นแล้วนนั้น ทันใดนั้น ปรากฏดอกบัวผุดขึ้นมาดอกหนึ่ง ดอกบัวดอกนี้มีกลีบดอกสิบแปดกลีบ แปดในสิบแปดกลีบดูจะสว่างสุกใสเป็นพิเศษ เหมือนประณีตและใสสวยงามเป็นประกาย

ทันใดนั้นเอง เสียง “แว้งค์” ดังขึ้น กลีบดอกกลีบที่เก้าสว่างสุกใสขึ้น เหมือนมีอะไรบางอย่างไปจุดติดมันขึ้นมาอย่างนั้น

เมื่อดอกบัวสีขาวดอกนี้ปรากฏขึ้นมา จอมราชันทั้งสิบสองรู้สึกได้ถึงลางสังหรณ์ที่ไม่ดี ขณะที่สีหน้าของราชันซื่อตี้แปรเปลี่ยนไปมากในทันที

“ถอย…” ราชันซื่อตี้ตวาดเสียงดัง พลันลงมือทันที พริบตาเดียวนี้ มือของราชันซื่อตี้ผลักสามชาติภพขวางไปข้างหน้าขนานลำตัว ผลักช่องว่างและกาลเวลาให้เปิดออก กวาดทุกสิ่งทุกอย่างของฟ้าดินออกไป

แต่ว่า นาทีนี้ทุกอย่างดูจะสายเกินไปเสียแล้ว ได้ยินเสียงดัง “ตูม” บนท้องฟ้าปรากฎกฎเกณฑ์แต่ละสายทิ้งตัวลงมา เป็นกฎเกณฑ์ที่ดึกดำบรรพ์ยิ่งนัก กฎเกณฑ์แต่ละสายตลบอบอวลด้วยกลิ่นอายของความขมุกขมัว และพลังจากโลกยุคดึกดำบรรพ์ก่อนที่จะมีการแยกฟ้าดินออกเป็นสองส่วน

อีกทั้งกลิ่นอายขมุกขมัวและพลังจากโลกยุคดึกดำบรรพ์ก่อนที่จะมีการแยกฟ้าดินออกเป็นสองส่วนของกฎเกณฑ์แต่ละสายมีความดึกดำบรรพ์ยิ่งกว่ากลิ่นอายขมุกขมัวและพลังจากโลกยุคดึกดำบรรพ์ก่อนที่จะมีการแยกฟ้าดินออกเป็นสองส่วนของชะตาฟ้า ถ้าหากจะกล่าวว่า กลิ่นอายขมุกขมัวและพลังจากโลกยุคดึกดำบรรพ์ก่อนที่จะมีการแยกฟ้าดินออกเป็นสองส่วนของชะตาฟ้าถือกำเนิดขึ้นตอนแรกเริ่มกำเนิดฟ้าดินล่ะก็ เช่นนั้นแล้ว กลิ่นอายขมุกขมัวและพลังจากโลกยุคดึกดำบรรพ์ก่อนที่จะมีการแยกฟ้าดินออกเป็นสองส่วนของกฎเกณฑ์แต่ละสายต้องถือกำเนิดขึ้นก่อนแรกเริ่มกำเนิดฟ้าดินไปอีกนานมาก

“ตึง…” ชั่วพริบตาเดียวนี้เอง กฎเกณฑ์สัจธรรมที่ดึกดำบรรพ์ยิ่งแต่ละสายได้พุ่งเข้าไปพันธนาการชะตาฟ้าของสิบสองจอมราชัน หวังจะจับเอาชะตาฟ้าสี่สิบสายนั่นไป

“หลีกหนี…” จอมราชันทั้งสิบสองต่างรู้สึกหวาดกลัว คำรามเสียงยาว ตลอดเวลาที่ผ่านมา พวกเขาที่ดำรงอยู่ในฐานะจอมราชันแล้วไม่เคยหวาดกลัว จิตแห่งการบำเพ็ญเพียรก็ไม่มีสิ่งใดที่จะสั่นคลอนได้ แต่ว่าพริบตาเดียวนี้ในใจของจอมราชันต่างเกิดอาการหวาดกลัวขึ้นมา

จอมราชันย่อมเป็นจอมราชัน ทันใดนั้น จอมราชันทั้งสิบสองต่างร่วมมือกันได้อย่างรู้ใจ พวกเขาไม่ได้ทำการตอบโต้กฎเกณฑ์ดึกดำบรรพ์แต่ละสาย แต่ใช้วิธีหลบหลีก และอาศัยวิธีที่ฝืนลิขิตสวรรค์ทำการซ่อนเร้นปิดบังทุกอย่าง หวังซ่อนเร้นชะตาฟ้าของตน เพื่อหลีกเลี่ยงการจับกุมของกฎเกณฑ์ดึกดำบรรพ์แต่ละสาย

พวกเขาที่ก้าวมาถึงระดับนี้เมื่อเห็นกฎเกณฑ์ที่ดึกดำบรรพ์เช่นนี้แล้วก็รู้ได้ทันทีว่ามันคืออะไร รู้ว่ากฎเกณฑ์ลักษณะเช่นนี้ไม่สามารถรับมือได้โดยตรง ได้แต่หลีกเลี่ยงอย่างเดียว

จณะเดียวกัน ราชันซื่อตี้ลงมือได้รวดเร็วสุดที่จะเปรียบเปรย เขาทำการซ่อนเร้นปกปิดโอกาสทุกอย่างในหล้า ปิดกั้นอำพรางพลังทั้งหมด ฉับพลันทำให้ทั่วทั้งอาณาจักรกลายเป็นเงียบสงัดยิ่งนัก

ท่ามกลางความเงียบสงัดเช่นนี้ไม่มีสัจธรรม ไม่มีพลัง ไม่มีทุกสิ่งทุกอย่าง เหมือนว่าที่นี่ไม่มีอะไรเลยสักอย่าง

ทุกสิ่งเกิดขึ้นรวดเร็วเหลือเกิน การร่วมมือเพื่อหลบหลีกของสิบสองจอมราชัน การลงมือปิดกั้นอำพลางของราชันซื่อตี้ ทุกอย่างล้วนแล้วแต่เกิดขึ้นเพียงเสี้ยววินาทีเท่านั้น

“ตึง…” ในเสี้ยววินาทีนี้เอง ขณะที่ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก กฎเกณฑ์ดึกดำบรรพ์แต่ละสายยังคงกักขังและจับตัวชะตาฟ้าเอาไว้ได้หกสาย

ราชันต้าวหลงที่เป็นจอมราชันร่างจริงสี่องค์ชะตาฟ้าถูกจับไปได้คนละสาย ขณะที่จอมราชันที่มาด้วยร่างตัวแทนอีกแปด สองในแปดจอมราชันช้าไปนิดหนึ่ง ชะตาฟ้าถูกกักขังจับเอาไปได้คนละหนึ่งสาย

แม้ว่าสิบสองจอมราชันได้ร่วมมือกันเพื่อหลีกเลี่ยง และราชันซื่อตี้ลงมือปิดกั้นอำพลาง แต่ว่าพวกของราชันสวรรค์ต้าวหลงทั้งสี่มาด้วยร่างจริง แต่พวกเขามีจิตที่แข็งแกร่งเกิน และกฎเกณฑ์กับพลังของพวกเขาเด่นชัดมากเกินไป

ดังนั้น แม้ว่าจะอาศัยการหลบหลีกที่ฝืนลิขิตสวรรค์มากที่สุด และการปิดกั้นอำพลางที่ปราศจากผู้เทียบเทียม ยังคงมีพลังเล็ดลอดออกมาบ้าง ขณะที่อีกสองนั้นมาด้วยร่างตัวแทน พวกเขาเพียงเกิดความหวาดกลัวขึ้นเล็กน้อยเท่านั้น แต่แค่เพียงเล็กน้อยเท่านี้ก็เพียงพอแล้ว

ดังนั้นกฎเกณฑ์ดึกดำบรรพ์แต่ละสายจึงพบจิตและพลังของชะตาฟ้าหกสายนี้ และทำการกักขังและจับชะตาฟ้าหกสายนี้เอาไว้ได้

การที่ชะตาฟ้าถูกกักขังจับเอาไว้ได้ พลันทำให้พวกจอมราชันสีหน้าแปรเปลี่ยนไปมากทีเดียว กล่าวสำหรับพวกเขาแล้ว ชะตาฟ้าสำคัญกว่าทุกสิ่งทุกอย่าง!

Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *