Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล 2493 เก้าทะเลสาบเปลี่ยนสี

Now you are reading Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล Chapter 2493 เก้าทะเลสาบเปลี่ยนสี at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 2493 เก้าทะเลสาบเปลี่ยนสี
กองทัพส่วนกลางตั้งค่ายอยู่ด้านนอกเขาจิ่วเหลียนซาน แต่ไม่ได้ส่งผลกระทบเท่าไรต่อเขาจิ่วเหลียนซาน เนื่องจากทางด้านเขาจิ่วเหลียนซานไม่ได้รับผลกระทบใดๆ อยู่แล้ว ซึ่งสิ่งนี้ก็ทำให้ผู้ที่ต้องการเห็นความคึกครื้นรู้สึกผิดหวังอยู่ในใจ ได้แต่รอคอยอยู่เงียบๆ กับวันที่ทะเลสาบเปลี่ยนสีจะมาถึง

จากการที่วันเวลาใกล้เข้ามาทุกทีๆ ทะเลสาบทั้งเก้าของเขาจิ่วเหลียนซานมีการเปลี่ยนแปลงอย่างเห็นได้ชัด น้ำในทะเลสาบที่เดิมมีสีเขียวนั้น ปรากฏว่าสีของมันเปลี่ยนไปดูเป็นสีเขียวมรกตมากยิ่งขึ้น เหมือนดั่งเป็นมรกตชิ้นหนึ่งอย่างนั้น

“วันที่ทะเลสาบทั้งเก้าเปลี่ยนสีจะมาถึงแล้ว” จากการที่น้ำในทะเลสาบทั้งเก้ากำลังอยู่ระหว่างเปลี่ยนแปลง มีผู้พึมพำขึ้นมา

ขณะที่น้ำในทะเลสาบทั้งเก้าเกิดการเปลี่ยนแปลงนั้น ทำให้ผู้คนจำนวนมากอดที่จะมีชีวิตชีวาขึ้นมา ผู้คนจำนวนไม่น้อยเริ่มมีการจดบันทึกการเปลี่ยนแปลงของน้ำในทะเลสาบ และมีผู้ที่พยายามทำความบรรลุกับทุกๆ การเปลี่ยนแปลงของเขาจิ่วเหลียนซาน

“บางที่นี่อาจเป็นโอกาสครั้งสำคัญ ไม่แน่นักอาจสามารถบรรลุจิ่วมี่ได้ หรือบางทีอาจสามารถได้รับของวิเศษที่ยอดเยี่ยมก็ไม่แน่” มีปรมาจารย์ตระกูลขุนนางโบราณอดที่จะอยากลองดูสักครั้ง

ในเวลานี้ บรรยากาศที่เงียบสงัดของเขาจิ่วเหลียนซานพลันมีชีวิตชีวาขึ้นมาอีก กระทั่งมียอดฝีมือผู้บำเพ็ญตนจำนวนไม่น้อยเริ่มมีการไปมาระหว่างทะเลสาบทั้งเก้า วิ่งเต้นไม่หยุดระหว่างทะเลสาบทั้งเก้า

เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงของเขาจิ่วเหลียนซานนั้นไม่มีการบันทึกที่ชัดเจน ไม่มีบันทึกที่ชัดเจนว่าการเปลี่ยนสีของทะเลสาบทั้งเก้าจะมีของสิ่งใด และจะได้รับผลประโยชน์เช่นใด ทุกสิ่งทุกอย่างเหล่านี้ล้วนแล้วแต่ไม่ได้มีการบันทึกเอาไว้อย่างชัดเจน กระทั่งกล่าวได้ว่า มีใครบ้างที่เคยได้รับประโยชน์จากการเปลี่ยนสีของทะเลสาบบ้างก็ไม่ได้มีการบันทึกเอาไว้อย่างชัดเจน

เรื่องนี้มีบุคคลสองคนกลับถูกผู้คนเอ่ยถึงอยู่บ่อยๆ หนึ่งนั้นคือเจิ้นตี้ อีกหนึ่งคือราชันแท้จริงจิ่วหนิง สำหรับเจิ้นตี้นั้นไม่ต้องพูดถึงให้มากความ ราชันแท้จริงที่ทำให้ระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่เจริญรุ่งเรืองขึ้น เป็นตัวเขาที่นำพาระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่จากเสื่อมถอยขึ้นสูงจุดสูงสุด และทำให้ราชวงศ์โต่วเซิ่นได้ริเริ่มโอกาสที่ยิ่งใหญ่

จะว่าไปแล้วก็เป็นเรื่องบังเอิญ ในยุคของเจิ้นตี้นั้น ให้บังเอิญเจิ้นตี้ก็อยู่ในเขาจิ่วเหลียนซานขณะที่ทะเลสาบทั้งเก้าเปลี่ยนสี

และด้วยเหตุนี้เอง ภายหลังจึงมีผู้คนจำนวนมากคาดเดาว่า ครั้งนั้น เจิ้นตี้ได้รับของวิเศษที่ยอดเยี่ยมมากซึ่งมีเพียงหนึ่งเดียวไม่มีสองมาชิ้นหนึ่ง ขณะที่ทะเลสาบทั้งเก้ากำลังเปลี่ยนแปลง ซึ่งส่งผลให้เจิ้นตี้ก้าวเดินสู่เส้นทางการเป็นราชันแท้จริงที่ปราศจากผู้ต่อกร

และในยุคหลังก็มีคนที่คาดเดาว่า จังหวะที่ทะเลสาบทั้งเก้าเปลี่ยนสีนั้น เจิ้นตี้ได้บรรลุสัจธรรมสวรรค์และมนุษย์ผสานเป็นหนึ่ง ด้วยเหตุนี้เอง ส่งผลให้เจิ้นตี้สามารถวางรากฐานและสร้าง ‘คัมภีร์ไท่ชิงตัน’ ขึ้นมาได้

สิ่งที่ถูกผู้คนกล่าวขวัญถึงมากที่สุดสำหรับราชันแท้จริงจิ่วหนิงก็คือเรื่องของจิ่วมี่ ขณะเดียวกันราชันแท้จริงจิ่วหนิงก็คือราชันแท้จริงปราศจากผู้ต่อกรที่อยู่ใกล้กับยุคปัจจุบันมากที่สุด

ตามตำนานเล่าว่า ในยุคสมัยนั้น ขณะที่ทะเลสาบทั้งเก้าเปลี่ยนสีอยู่นั้นนางเคยบรรลุธรรมที่ตรงนี้ และด้วยเหตุนี้เอง ราชันแท้จริงจิ่วหนิงได้บรรลุความลึกซึ้งยอดเยี่ยมของจิ่วมี่ ส่งผลให้นางกลายเป็นหนึ่งในผู้ที่สำเร็จเคล็ดวิชาจิ่วมี่ครบถ้วนสมบูรณ์ที่มีอบู่เพียงไม่กี่คนเท่านั้นนับแต่ยุคโบราณเป็นต้นมาของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่

สำหรับคนอื่นๆ นั้นก็เคยมีการเล่าลือกัน แต่ทว่า ไม่มีใครสร้างความหวั่นไหวได้เท่ากับเจิ้นตี้ และราชันแท้จริงจิ่วหนิง และไม่ได้มีความเป็นจริงเท่ากับเท่ากับเจิ้นตี้ และราชันแท้จริงจิ่วหนิง ดังนั้น ทุกครั้งที่ทะเลสาบเปลี่ยนสี ผู้ที่ถูกพูดถึงบ่อยที่สุดยังคงเป็นเจิ้นตี้ และราชันแท้จริงจิ่วหนิง

ดังนั้น ทุกครั้งที่ทะเลสาบเปลี่ยนสีก็จะมีผู้บำเพ็ญตนของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่จำนวนมากมาบรรลุธรรม ต่อให้ไม่สามารถบรรลุจิ่วมี่ทั้งเก้า แต่สามารถบรรลุได้เพียงหนึ่งในนั้น และหรือบรรลุจับใจความอะไรบางอย่างมาได้ ก็จะได้รับประโยชน์ไม่มีสิ้นสุดชั่วชีวิตแล้ว

ดังนั้น ทุกๆ ครั้งที่ทะเลสาบทั้งเก้าเริ่มมีการเปลี่ยนสี ผู้บำเพ็ญตนที่อยู่ในเขาจิ่วเหลียนซานจะดีใจเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ผู้บำเพ็ญตนที่อาศัยการพิจารณาไตร่ตรอง และหรืออาศัยการทำความบรรลุก็มีทั้งนั้น

สุดท้าย สีของทะเลสาบทั้งเก้าค่อยๆ คงที่ เมื่อมองจากระยะห่างไกล สามารถมองเห็นได้ว่าทะเลสาบทั้งเก้ามีอยู่เก้าสี อีกทั้งสีแต่ละสีล้วนแล้วแต่เข้มเป็นพิเศษ เป็นต้นว่า หนึ่งในทะเลสาบเป็นสีเขียวอ่อน เวลานี้มันมีสีเขียวอ่อนที่เข้มจนเสมือนดั่งเป็นหยกสีเขียวอ่อนเข้มๆ ชิ้นหนึ่ง ให้ความรู้สึกถึงเย็นยะเยือกเข้าไปกระดูกแก่ผู้คน

หรือเป็นต้นว่าทะเลสาบที่เป็นสีแดง น้ำในทะเลสาบเรียกได้ว่าเป็นสีแดงสดอย่างยิ่ง มองดูเหมือนเป็นเลือดสดๆ เต็มทะเลสาบอย่างนั้น ให้ความรู้สึกถึงกลิ่นคาวเลือดที่โชยมาแตะจมูก ทำให้ผู้คนอดที่จะรู้สึกหวาดหวั่นพรั่นพรึงไม่ได้

“กำลังจะเริ่มแล้ว เตรียมตัวให้พร้อมก็แล้วกัน” ครั้นสีสันของทะเลสาบทั้งเก้าต่างคงที่กันแล้ว บรรดาผู้บำเพ็ญตนของเขาจิ่วเหลียนซานต่างเริ่มทยอยกันเข้าไปในทะเลสาบ

มีบางคนเข้าไปยังทะเลสาบสีเขียวอ่อน และบางคนเข้าไปยังทะเลสาบสีแดง บางคนทำการโดยลำพังคนเดียว ไม่ต้องการแบ่งปันความลับกับผู้อื่น และมีบางคนมาเป็นกลุ่มสามถึงห้าคน หวังจะร่วมศึกษาความลึกซึ้งและยอดเยี่ยมที่อยู่ข้างใน

ตึง…เสียงหนึ่งดังขึ้น ขณะที่ทุกคนต่างยุ่งอยู่กับเรื่องของทะเลสาบที่เปลี่ยนสีอยู่ ทันใดนั้น ปรากฏเสียงกระบี่คำรามที่ดังก้องไปทั่วฟ้าดิน พลันที่กระบี่ส่งเสียงคำรามขึ้นมานั้น เสมือมดั่งกระบี่ทั้งหมดที่อยู่ทั่วหล้าคำรามขึ้นมาพร้อมกันอย่างนั้น

ตึง ตึง ตึงนาทีนี้เอง กระบี่ประจำกายของผู้คนจำนวนมากพลันส่งเสียงคำรามขึ้นมาโดยไม่ทราบสาเหตุ เสมือนหนึ่งถูกอาวุธศักดิ์สิทธิ์อย่างใดอย่างหนึ่งทำให้ส่งเสียงคำรามร่วมกันขึ้นมา

“นี่ นี่คือมีอาวุธศักดิ์สิทธิ์จะปรากฏตัวขึ้นรึ?” การที่กระบี่ประจำกายพลันร่วมส่งเสียงคำรามขึ้นโดยไม่ทราบสาเหตุ ทำเอายอดฝีมือผู้บำเพ็ญตนจำนวนมากของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่ตื่นตระหนกอย่างยิ่ง

ตึง…เสียงกระบี่คำรามดังก้องไปถึงเก้าชั้นฟ้า ในขณะที่กระบี่ส่งเสียงคำรามขึ้นมาอีกครั้งนั้น ทิศทางที่ไกลออกไปอันเป็นที่ตั้งของแคว้นว่านเจิ้น มองเห็นวิถีกระบี่สายหนึ่งพุ่งขึ้นมาอย่างรุนแรง แม้ว่าเป็นเพียงประกายกระบี่สายหนึ่งขณะพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า ก็สามารถทำการกวาดล้างหมื่นยุค เข่นฆ่าไปทั่วหล้า แค่ประกายกระบี่สายหนึ่งก็สามารถสังหารเทพเข่นฆ่ามาร ปราศจากผู้ต่อกรทั่วหล้า

ในชั่วพริบตาเดียวนั่นเอง ปรากฏพลังกระบี่ที่น่าเกรงขามทั่วทั้งระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่ เสมือนดั่งมีกระบี่ทองแดงโบราณเล่มหนึ่งที่โผล่ขึ้นมาช้าๆ ขณะที่กระบี่ทองแดงโบราณโผล่ขึ้นมานั้น เหมือนว่าได้แปดเปื้อนโลหิตเทพแท้จริง และแม้ว่าตัวกระบี่ทองแดงเพียงเปล่งกระกายกระบี่ออกมาสายหนึ่งก็สามารถทำให้เทพมารต้องหัวหลุดจากบ่าในทันที

“นี่คืออะไร…” อย่าว่าแต่เป็นกลุ่มคนรุ่นใหม่เลย แม้แต่ปรมาจารย์ตระกูลขุนนางโบราณยังอดที่จะสั่นเทิ้มไม่ได้ เมื่อมองเห็นประกายสายหนึ่งเช่นนี้ก็สามารถกวาดล้างไปทั่วหล้า กลิ่นอายที่แผ่กระจายออกมาจากประกายกระบี่สายนี้ทำให้ผู้คนต้องตัวสั่นดั่งลูกนก เหมือนว่าต่อให้เป็นเทพแท้จริงที่ปราศจากผู้ต่อกร ยังดูเล็กจิ๋วยิ่งนักภายใต้ประกายกระบี่ลักษณะเช่นนี้

“ค่ายกลโบราณจูเซียน…” สีหน้าระดับบรรพบุรุษสำนักเจ้าลัทธิพลันเปลี่ยนไป และกล่าวด้วยความหวาดผวา เมื่อมองเห็นประกายกระบี่ลักษณะเช่นนี้สายหนึ่งที่พุ่งขึ้นท้องฟ้า กวาดล้างสถานการณ์ทั่วหล้า

“ราชันแท้จริงปาเจิ้นบรรลุค่ายกลโบราณจูเซียนได้แล้ว” ประมุขพรรคขนาดใหญ่รู้สึกเสียวสันหลังวาบ และพึมพำขึ้นมา

“เมื่อค่ายกลโบราณจูเซียนถูกสำแดงขึ้นมา เกรงว่าราชันแท้จริงปาเจิ้นสามารถเอาชนะราชันแท้จริงขั้นสามลัคนาได้ กระทั่งสามารถท้าสู้กับราชันแท้จริงขั้นสี่ลัคนาได้แล้ว” ปรมาจารย์ของสำนักที่สืบทอดกันมาดึกดำบรรพ์อดที่จะพึมพำขึ้นมาและรู้สึกใจหายใจคว่ำ

“การท้าสู้ข้ามรุ่น หาใช่เป็นสิ่งที่น่ากลัวมากที่สุด” ปรมาจารย์ที่เก่าแก่ดึกดำบรรพ์มากกว่านี้ส่ายหน้าเบาๆ และกล่าวว่า “ที่น่ากลัวมากที่สุดยังคงเป็นตัวของค่ายกลโบราณเอง”

ครั้นปรมาจารย์ที่เก่าแก่ดึกดำบรรพ์มากกว่าผู้นี้เอ่ยมาถึงตรงนี้ ถึงกับเพ่งสายตาทั้งสองไปข้างหน้า และกล่าวขึ้นช้าๆ ว่า “ถ้าหากราชันแท้จริงปาเจิ้นบรรลุค่ายกลโบราณจูเซียนแล้วล่ะก็ ย่อมเป็นการบ่งบอกว่าเขาสามารถมีกระบี่พิฆาตเซียนสามเล่มอยู่ในมือ เมื่อกระบี่พิฆาตเซียนสามเล่มสำแดงออกมา เป็นความจริงที่ทำให้ราชันแท้จริงปาเจิ้นสามารถต่อสู้กับราชันแท้จริงขั้นสามลัคนา กระทั่งราชันแท้จริงขั้นสี่ลัคนาได้โดยลำพังคนเดียว ถ้าหากสำแดงค่ายกลโบราณออกมา ขอเพียงถูกขังเอาไว้ภายในค่ายกล และราชันแท้จริงปาเจิ้นสามารถสำแดงความลึกซึ้งยอดเยี่ยมของค่ายกลโบราณได้เต็มที่ หลอมรวมกับหมื่นวิถีฟ้าดิน แปรเปลี่ยนสถานการณ์ฟ้าดินได้ล่ะก็จะมีความน่ากลัวยิ่ง ไม่แน่นักแม้แต่ราชันแท้จริงขั้นสิบสองลัคนาก็ไม่แน่เสมอไปว่าจะเอาชีวิตรอดกลับออกมาจากค่ายกลโบราณจูเซียนนี้ได้”

“น่าสยองขวัญขนาดนี้เชียว?” เมื่อผู้คนได้ยินคำพูดของปรมาจารย์ผู้นี้แล้ว ถึงกับรู้สึกหวาดหวั่นพรั่นพรึงขึ้นมา

“ถูกต้อง ไม่อย่างนั้นล่ะก็ทำไมจึงกล่าวว่าค่ายกลโบราณจูเซียนอยู่เหนือสุดยอดสามค่ายกลใหญ่ของแคว้นว่านเจิ้น สมควรทราบว่าแคว้นว่านเจิ้นนั้นคือสำนักที่อาศัยค่ายกลเป็นหลัก สามสุดยอดค่ายกลนั้นเป็นที่ตื่นตะลึงของผู้คนในหล้า” ปรมาจารย์ที่เก่าแก่ดึกดำบรรพ์ยิ่งกว่าได้กล่าวว่า “หาไม่แล้ว เพราะอะไรเว้นแต่ราชันแท้จริงผู้ก่อตั้งแคว้นว่านเจิ้นแล้ว ไม่มีใครสามารถบรรลุค่ายกลโบราณจูเซียนนี้อย่างแท้จริงได้อีกเลย นี่แหละคือความทรงพลังของค่ายกลโบราณจูเซียน”

“เทียนจือทำได้สำเร็จแล้ว” ปิงฉือหานยวี่ที่อยู่ภายในเขาจิ่วเหลียนซานรู้สึกดีใจกับสิ่งนี้ เมื่อมองเห็นประกายกระบี่ที่พุ่งขึ้นอย่างรุนแรงเช่นนี้ และกวาดล้างสถานการณ์ใต้หล้านั้น เอ่ยขึ้นช้าๆ ว่า “เมื่อฝึกค่ายกลนี้สำเร็จต่อให้เป็นสามมหาเทพถูกขังอยู่ในค่ายกลก็อยากจะหลุดไปได้”

สี่ในห้าแกร่งอื่นๆ ต่างสะดุ้งกับสิ่งนี้เมื่อได้เห็นประกายกระบี่ลักษณะเช่นนี้พุ่งขึ้นอย่างรุนแรง แม้แต่ผู้ดำรงอยู่ในฐานะปรมาจารย์ผู้มีอำนาจสูงสุดก็รู้สึกหวาดหวั่นพรั่นพรึงเช่นกัน เมื่อเห็นประกายกระบี่ที่กวาดล้างสถานการณ์ใต้หล้าเช่นนี้

“อาศัยกำลังของราชันแท้จริงปาเจิ้น กระบี่พิฆาตเซียนสามเล่มยังไม่น่ากลัวเท่าไร ไม่สามารถสั่นคลอนต่อฐานะที่แข็งแกร่งของระดับเทพแท้จริงขั้นอมตะได้” มีปรมาจารย์ผู้มีอำนาจสูงสุดที่หน้าตาหนักแน่นจริงจัง กล่าวขึ้นช้าๆ ว่า “เพียงแต่ไม่รู้ว่าราชันแท้จริงปาเจิ้นสามารถสำแดงพลังอำนาจของค่ายกลโบราณจูเซียนนี้ได้กี่ส่วน หากได้ถึงห้าส่วนเกรงว่าระดับเทพแท้จริงขั้นอมตะที่แข็งแกร่งมากกว่านี้ก็ต้องภาวนาให้กับตัวเองแล้วล่ะ”

ฉินเจี้ยนเหยาเองก็มีท่าทีที่หนักแน่นจริงจังเมื่อมองไปบนท้องฟ้าจากระยะห่างไกล มองเห็นประกายกระบี่ที่พุ่งขึ้นฟ้า สุดท้ายได้แต่ทอดถอนใจเบาๆ และกล่าวขึ้นช้าๆ ว่า “บางทีกระบี่พิฆาตเซียนสามเล่มอาจยังพอสู้กันได้ แต่เมื่อสำแดงค่ายกลโบราณต้องแพ้พ่ายอย่างแน่นอน”

“ยอดเยี่ยมมาก ไม่เสียทีที่เป็นผู้อาศัยค่ายกลเป็นความภาคภูมิใจ” ดาบอริยะกวานไห่ที่สะพายดาบโบราณที่หลังมองเห็นประกายกระบี่ที่พุ่งขึ้นท้องฟ้าจากระยะห่างไกล ได้เอ่ยชื่นชมทีหนึ่ง และกล่าวว่า “กระบี่สามเล่มปรากฏ ค่ายกลโบราณสำแดงขึ้น หนีเถอะ เมื่อใดที่ถูกขังอยู่ในค่ายกล ช้าหรือเร็วก็ต้องถูกค่ายกลที่น่ากลัวนี้บดจนกลายเป็นเนื้อบดแน่นอน”

สำหรับทังเฮ่อเสียงนั้นสีหน้าของเขาเปลี่ยนไป ขณะที่มองดูประกายกระบี่ที่พุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า มือที่กุมทวนยาวนั้นอดที่จะขาวซีดไม่ได้ แขนสั่นเทาทีหนึ่ง นาทีนี้สีหน้าของเขาดูปั้นยากมาก

กล่าวสำหรับระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่แล้ว ผู้ที่สามารถเป็นฮ่องเต้องค์ใหม่ได้นั้น ย่อมไม่เป็นที่สงสัยว่า ผู้ที่มีกำลังแข็งขันมีเพียงตัวเขาทังเฮ่อเสียงกับราชันแท้จริงปาเจิ้นแล้ว

ก่อนหน้านี้ แม้ว่าดูผิวเผินแล้วราชันแท้จริงปาเจิ้นจะได้เปรียบอยู่ไม่น้อย แต่ว่า ผู้ที่ให้การสนับสนุนเขามีมากกว่าราชันแท้จริงปาเจิ้น เมื่อเปรียบกันจริงๆ แล้ว ไม่เห็นว่าราชันแท้จริงปาเจิ้นจะได้เปรียบเขามากมายสักเท่าไร

ถ้าหากว่าปล่อยให้ราชันแท้จริงปาเจิ้นบรรลุค่ายกลโบราณจูเซียนแล้วล่ะก็ ทุกอย่างจะกลับกลายเป็นไม่เหมือนเดิม ซึ่งจะส่งผลให้ราชันแท้จริงปาเจิ้นมีความได้เปรียบอย่างเด็ดขาดในการที่จะบดขยี้เขาได้ เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ความหวังที่จะก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งฮ่องเต้ของเขาก็ดูระริบรี่แล้ว

“ราชันแท้จริงปาเจิ้นจะออกจากการกักตนแล้ว เขาจะมาที่เขาจิ่วเหลียนซานไหมนะ?” ทุกคนต่างเข้าใจดีว่า ราชันแท้จริงปาเจิ้นจะออกจากการกักตนแล้ว เมื่อมองเห็นประกายกระบี่ที่กวาดล้างสถานการณ์ใต้หล้าได้

“เกรงว่าจะใช่” อัจฉริยะบุคคลกลุ่มคนรุ่นใหม่กล่าวขึ้นช้าๆ ว่า “หยางฟูฝานเป็นศิษย์ที่เขาถ่ายทอดวิชามากับมือ เขาจะไม่ยอมปล่อยให้หยางฟู่ฝานตายเปล่าแน่นอน จะต้องแก้แค้นให้กับเขาแน่ เมื่อถึงเวลานั้น พลันที่ค่ายกลโบราณจูเซียนปรากฏ หากถูกขังไว้ในค่ายกลโบราณ ต่อให้เป็นสามมหาเทพก็ยากจะหนีความตายไปพ้น คอยดูก็แล้วกัน มีหนังสนุกๆ แล้ว ฮ่องเต้องค์ใหม่คงกระโดดโลดเต้นได้ไม่นาน”

“หากราชันแท้จริงปาเจิ้นออกจากการกักตน ฮ่องเต้องค์ใหม่แย่แน่เลย” มีผู้ยิ้มเยาะขึ้นมา

ในเวลานี้ ไม่ทราบว่ามีผูคนจำนวนเท่าไรที่กระหายยากให้ราชันแท้จริงปาเจิ้นสังหารฮ่องเตองค์ใหม่เสีย

“ค่ายกลโบราณจูเซียน…” หลิ่วชูฉิงเองก็มีสีหน้าที่เปลี่ยนไป เมื่อเห็นประกายกระบี่ที่พุ่งขึ้นฟ้าอย่างรุนแรง นางก็เคยได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับค่ายกลโบราณจูเซียนมาก่อน

“เรื่องดี มีผู้ส่งของขวัญมาให้ ของขวัญที่ล้ำค่าเช่นนี้หากข้าไม่รับเอาไว้ก็ดูไม่มีน้ำใจเหลือเกิน” หลี่ชิเย่ที่มองเห็นประกายกระบี่ที่พุ่งขึ้นฟ้ารุนแรง เผยให้เห็นรอยยิ้มเต็มใบหน้าขึ้นมา

…………………………………

Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *